I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Reverend Insanity / Gu Daoist Master ตอนที่ 2: หวนคืนด้วยความรู้ 500 ปี

| Reverend Insanity / Gu Daoist Master | 3809 | 2360 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 2 หวนคืนด้วยความรู้ 500 ปี

Tr. Coffee Prince

 

 

ตำนานกล่าวไว้ว่าสายธารแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งค้ำจุนให้โลกยังคงหมุนต่อไป แต่ด้วยวิญญาณกาลเวลา คนผู้หนึ่งกลับสามารถเดินทางย้อนห้วงมิติแห่งวัฏสงสารทั้งปวงกลับไปในอดีตได้อย่างน่าอัศจรรย์

มีเรื่องเล่าขานมากมายที่ทั้งสนับสนุนและขัดแย้ง บางคนไม่เชื่อและบางคนก็ตั้งข้อสงสัยขึ้นมา มีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่เชื่อถือมัน

เพราะความจริงที่ว่าเมื่อผู้ใดต้องการใช้พลังแห่งวิญญาณกาลเวลา คนผู้นั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตและระดับการบ่มเพาะของตนเองทั้งหมด

แน่นอนว่ามันเป็นราคาที่แพงเกินไปซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าจ่าย นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่สามารถยอมรับได้ก็คือหลังจากที่พวกเขาจ่ายค่าธรรมเนียมไปแล้ว มันไม่มีผู้ใดที่สามารถรับรองได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

ดังนั้นแม้ว่าจะมีวิญญาณแห่งกาลเวลาอยู่จริงแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าใช้และไม่เคยมีผู้ใดใช้มันมาก่อน

สำหรับฟางหยวน หากเขามิได้อยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาก็ไม่คิดที่จะใช้มันอย่างเร่งด่วนเช่นนั้น อย่างไรก็ตามไม่ว่าฟางหยวนจะเชื่อหรือไม่ ความจริงก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาในขณะนี้เรียบร้อยแล้ว เขาได้เกิดใหม่จริงๆ!

“น่าสงสาร…ข้าเสียเวลามากมายไปกับความพยายามที่ไร้สาระ ฆ่าคนนับแสน สร้างความขุ่นเคืองให้แก่สวรรค์ ปลุกระดมผู้คนให้ลุกขึ้นมาแก้แค้น ข้าต้องผ่านความยากลำบากมามากมายเพียงเพื่อบ่มเพาะวิญญาณดวงหนึ่ง” ฟางหยวนถอนหายใจ เพราะแม้ว่าเขาจะได้เกิดใหม่ แต่วิญญาณกาลเวลาไม่ได้ตามเขามาด้วย

กล่าวได้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดและยิ่งใหญ่ที่สุด ในขณะที่จิตวิญญาณคือแก่นแท้แห่งสวรรค์และพิภพ

จิตวิญญาณมีอยู่หลากหลายรูปแบบจนมิอาจนับได้ถ้วน มันทั้งแปลกประหลาดและลึกลับ วิญญาณบางดวงก็สามารถปลดปล่อยพลังได้เพียงครั้งเดียวในขณะที่บางดวงก็ปลดปล่อยพลังได้หลายครั้งก่อนจะดับสลายไป

สำหรับวิญญาณกาลเวลา มันเป็นบางสิ่งที่สามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียวก่อนที่จะอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ

“แต่ถึงแม้มันจะหายไปแล้วอย่างไร? มิใช่ว่าข้าสามารถบ่มสร้างมันขึ้นมาได้เช่นนั้นหรือ? ในเมื่อชีวิตก่อนหน้าข้าเคยทำได้ แล้วเหตุใดชีวิตนี้ข้าจะทำมันอีกครั้งมิได้?” เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความเสียใจที่เกิดขึ้นจึงมลายหายไปโดยพลัน หัวใจของเขากระทั่งถูกเติมเต็มด้วยเปลวไฟแห่งความทะเยอทะยานปรารถนา

แม้ว่าเขาจะสูญเสียวิญญาณกาลเวลาไป แต่เขาก็ได้เกิดใหม่ นอกจากนั้นเขายังมีสมบัติบางอย่างที่ติดตัวเขามาที่นี่ด้วย

นั่นก็คือความทรงจำและประสบการณ์ตลอด 500 ปีของเขา!

ดังนั้นมันก็มิได้แย่จนเกินไป มิใช่หรือ?

อย่างน้อยความทรงจำของเขาก็เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าที่ยังไม่มีผู้ใดค้นพบในช่วงเวลานี้ ทุกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ รวมถึงการคงอยู่ของบุคคลสำคัญ ซึ่งบางคนก็ซ่อนเร้นความสามารถ บางคนก็เป็นอัจฉริยะ บางคนกระทั่งยังไม่เกิดในเวลานี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรู้ในการบ่มเพาะและประสบการณ์ในการต่อสู้ตลอด 500 ปีที่ผ่านมายังคงแจ่มชัดอยู่ในห้วงสำนึกของเขา

ด้วยความทรงจำทั้งหมดนี้เขาสามารถเปลี่ยนสถานการณ์และฉกฉวยโอกาสที่จะเกิดขึ้น ด้วยการวางแผนที่ดี เขาจะสามารถก้าวไปได้ไกลเกินกว่าชีวิตก่อนหน้าของเขาอย่างแน่นอน

“แต่ข้าควรจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆอย่างไรบ้าง…..” ฟางหยวนเป็นคนฉลาดและมีเหตุผล ดังนั้นขณะนี้เขาจึงยืนรวบรวมความคิดอยู่ริมหน้าต่างและเผชิญหน้าอยู่กับละอองฝนในยามค่ำคืนอันชุ่มฉ่ำ

อย่างไรก็ตามยิ่งเขาคิดมากเท่าใด คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันมากขึ้นเท่านั้น 500 ปีเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเองก็ยังไม่สามารถจดจำได้ หรือแม้จะเป็นสถานที่เก็บสมบัติลับที่เขายังจำได้ดี แต่มันก็ยังคงต้องรอคอยให้ถึงเวลาที่เหมาะสม และบางสถานที่ก็จะเผยตัวออกมาเพียงบางเวลาเท่านั้น

“เรื่องเร่งด่วนที่สุดก็คือการบ่มเพาะ ตอนนี้ข้ายังไม่แม้แต่จะสามารถก่อกำเนิดทะเลวิญญาณในร่างกายของข้าได้ ข้ายังไม่ได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางของผู้ใช้วิญญาณแม้แต่ก้าวเดียวและยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ดังนั้นข้าต้องรีบบ่มเพาะและสร้างรากฐานให้แก่ตนเองเพื่อให้สามารถเอาชนะประวัติศาตร์และคว้าเอาสิ่งที่ดีที่สุดมาครองให้ได้”

ไม่ควรลืมว่าการเข้าไปในสถานที่เก็บสมบัติล้ำค่าต่างๆโดยปราศจากรากฐานที่แข็งแกร่งพอ มันก็เหมือนกับเด็กน้อยที่เดินเข้าไปในถ้ำหมาป่า มันคือการมองหาที่ตายชัดๆ

ดังนั้นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขก็คือพลังอำนาจ

หากเขาบ่มเพาะช้าเกินไปดังเช่นในชีวิตก่อนหน้า มันจะสายเกินไปสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง

“หากต้องการบ่มเพาะอย่างรวดเร็วที่สุด ข้าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจากตระกูล ด้วยระดับของข้าในขณะนี้ ข้าไม่มีพลังความสามารถที่จะข้ามผ่านภูเขาที่อันตรายไปได้ เพราะแม้แต่หมูป่าธรรมดาก็สามารถเอาชีวิตของข้าได้แล้ว ข้าต้องบ่มเพาะไปให้ถึงขอบเขตผู้ใช้วิญญาณระดับสาม ในเวลานั้นข้าจะมีวิธีป้องกันตัวและสามารถออกไปจากภูเขาแห่งนี้ได้”

ด้วยสายตาของคนแก่อายุห้าร้อยปีที่บ่มเพาะพลังในเส้นทางแห่งปีศาจ ภูเขาชิงเหมาเป็นเพียงสถานที่เล็กจ้อย หมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลก็เป็นดั่งกรงที่ขังเขาเอาไว้

แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง การถูกจำกัดเสรีภาพด้วยกรงขังชนิดนี้ก็นำมาซึ่งบางอย่างที่เรียกว่า ความปลอดภัย

“อืม ข้าจะอยู่ในกรงนี้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ตราบเท่าที่ข้ากลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม เวลานั้นข้าจะออกจากภูเขาที่น่าเวทนาแห่งนี้ได้ โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันเผยลิขิตสวรรค์ ข้าจะสามารถเริ่มต้นเส้นทางของผู้ใช้วิญญาณได้หลังจากนั้น”

เมื่อนึกถึงพิธีเผยลิขิตสวรรค์ ความทรงจำแย่ๆในอดีตของเขาก็ย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง

“พรสวรรค์เช่นนั้นหรือ…หึ…” เขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับหัวเราะเย็นชา

ทันใดนั้นประตูห้องของเขาก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินเข้ามา

“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงยืนตากฝนอยู่ริมหน้าต่างเช่นนั้น?”

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างผอมบางและมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับฟางหยวนเป็นอย่างมาก

ฟางหยวนหันหน้ากลับไปและหรี่ตามองใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้

“เป็นเจ้า? แฝดผู้น้องของข้า” คิ้วของเขายกตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่การแสดงออกของเขาจะเปลี่ยนเป็นไม่แยแส ในขณะที่ฟางเจิ้งก้มศีรษะของเขาและมองลงไปที่ปลายเท้า นี่คือบุคลิกของเขา

“ข้าเห็นหน้าต่างห้องพี่ใหญ่เปิดเอาไว้ ข้าจึงคิดว่าจะเข้ามาปิดมัน พรุ่งนี้เป็นวันเผยลิขิตสวรรค์ ท่านอาจจะไปสายหากยังไม่รีบเข้านอน หากท่านลุงกับท่านป้ารู้เข้า พวกท่านคงจะเป็นห่วงมาก”

ฟางเจิ้งไม่แปลกใจกับการแสดงออกอันเย็นชาของฟางหยวนในเวลานี้ เพราะตั้งแต่เด็ก พี่ชายของเขาก็เป็นเช่นนี้มาตลอด บางครั้งเขาก็คิดว่าบางทีเหล่าอัจฉริยะคงเป็นเช่นนี้กระมัง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องต่างจากคนธรรมดาใช่หรือไม่? แม้ว่าฟางเจิ้งจะมีใบหน้าเหมือนกับพี่ชายของเขา แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงมดตัวหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับฟางหยวน

พวกเขาเกิดมาพร้อมกัน ใบหน้าเหมือนกัน แต่สวรรค์กลับไร้ความยุติธรรมหรือไม่? เมื่อคนผู้พี่เป็นถึงอัจฉริยะฟ้าประทาน แต่คนผู้น้องกลับเป็นเพียงคนธรรมดาราวกับธุลีดินก้อนหนึ่ง

ทุกคนรอบตัวฟางเจิ้งมักเรียกเขาว่า “น้องชายของฟางหยวน” ลุงกับป้าของเขาก็มักบอกให้เขาเอาแบบอย่างจากพี่ชาย เรียนรู้จากพี่ชายของเขา แม้แต่เวลาที่เขามองเข้าไปในกระจก เขายังรู้สึกเบื่อหน่ายกับใบหน้าที่สะท้อนออกมาเป็นอย่างมาก

ความคิดเหล่านี้ถูกเก็บสะสมมาตลอดหลายปี ยิ่งนานวันก็ยิ่งมากขึ้น และมันก็ราวกับเป็นหินก้อนใหญ่ที่กดทับหัวใจของเขาเอาไว้กระทั่งหลายปีที่ผ่านมาศีรษะของเขาจึงได้ลดต่ำลงมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ

“ห่วง?” ฟางหยวนลอบหัวเราะอยู่ภายในใจ เขายังจดจำได้ดีว่าพ่อแม่ของเขาตายในภารกิจหนึ่งของตระกูล หลังจากเขาและน้องชายอายุสามขวบ พวกเขาก็กลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในนามผู้ปกครอง ลุงและป้าของเขาคว้าเอามรดกตกทอดจากพ่อแม่ของเขาไปทั้งหมด ในขณะที่ไม่แยแสและยังลงไม้ลงมือกับเขาและน้องชายของเขาอย่างทารุณอีกด้วย

เดิมทีหลังจากข้ามมายังโลกใบนี้เขาวางแผนว่าจะเป็นเพียงคนธรรมดาและปิดผนึกความสามารถของตนเองเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ความยากลำบากทำให้ฟางหยวนไม่มีทางเลือกและต้องระเบิดพรสวรรค์ของตนเองออกมาในที่สุด

ด้วยสติปัญญาและความทรงจำที่ครอบครองบทกวีโบราณที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกก่อนหน้า เขาจึงสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย

แต่เป็นเพราะแรงกดดันจากคนรอบตัว เขาจึงต้องแสร้งทำเป็นเย็นชาเพื่อปกป้องตนเอง อย่างไรก็ตามมันได้กลายเป็นบุคลิกและความคุ้นชินของเขาไปในที่สุด

เป็นเพียงช่วงเวลาหลังจากนั้นที่ลุงกับป้าของเขาหยุดใช้ความรุนแรงกับพวกเขาอีกต่อไป เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นและดูมีอนาคตที่สดใส ลุงกับป้าจึงเริ่มไยดีพวกเขามากขึ้น ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการลงทุน!

อย่างไรก็ตามมันน่าขบขันที่น้องชายของเขากลับไม่เคยเห็นความจริงข้อนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ฟางเจิ้งยังถูกลุงกับป้าล่อลวงและปลุกฝังความไม่พอใจในตัวฟางหยวนลงไปในหัวใจของเขา แม้ว่าขณะนี้ฟางเจิ้งจะยังดูราวกับเป็นเด็กดีและซื่อสัตย์ แต่จากความทรงจำของฟางหยวน หลังจากที่ทุกคนค้นพบว่าฟางเจิ้งมีพรสวรรค์ในนภาที่หนึ่ง ผู้คนในตระกูลต่างพยายามดูแลบ่มเลี้ยงเขาด้วยทุกสิ่งที่มี เป็นเวลานั้นที่ความเกลียดชังที่ถูกฝังลึกไว้ภายในหัวใจของเขาได้ถูกปลดปล่อยออกมาและสร้างความยากลำบากให้แก่ฟางหยวนอยู่เสมอ

สำหรับตัวเขา ฟางหยวนที่ทุกคนคิดว่ามีพรสวรรค์ในนภาที่หนึ่ง แท้จริงแล้วเขากลับมีพรสวรรค์เพียงนภาที่สามเท่านั้น

โชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิตผู้คน

ดังเช่นพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ แฝดผู้พี่มีพรสวรรค์เพียงนภาที่สามแต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะมานานหลายปี ตรงข้ามกับแฝดผู้น้องที่ถูกมองข้ามมาตลอดกลับกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ในนภาที่หนึ่งอย่างไม่มีผู้ใดคาดคิด

ผลลัพธ์จากพิธีเผยขิลิตสวรรค์ทำให้ทุกคนตกใจ และมันก็ทำให้จุดยืนของคู่พี่น้องกลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิง

แฝดผู้น้องกลายเป็นมังกรที่ทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ในขณะเดียวกันแฝดผู้พี่ก็ราวกับเป็นวิหคเพลิงที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นพิภพ

หลังจากนั้นเป็นต้นมาฟางหยวนจึงถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากผู้เป็นน้องชาย ลุงกับป้า และทุกคนในตระกูลมาตลอด

แล้วเขาเกลียดมันหรือไม่?

ฟางหยวนในชีวิตก่อนหน้า เขาเกลียดมัน เขาเกลียดความไร้สามารถของตนเอง เขาเกลียดชังตระกูลที่ไร้หัวใจ เขาเกลียดชังความอยุติธรรมทั้งมวล แต่ตอนนี้? เขามีประสบการณ์ 500 ปี และด้วยสิ่งนี้ เขาสามารถวิเคราะห์แยกแยะและเข้าใจถึงเรื่องต่างๆได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่มีรู้สึกเกลียดชังต่อโลกหล้า ไม่มีความรู้สึกใดๆ และไม่มีกระทั่งคลื่นเล็กๆที่ก่อตัวอยู่ภายในหัวใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

มีสิ่งใดต้องไม่พอใจ?

เมื่อคิดถึงมุมมองของน้องชายและลุงกับป้า ฟางหยวนเข้าใจความนึกคิดของพวกเขาเป็นอย่างดี นอกจากนี้เขายังเข้าใจสมาชิกนิกายแห่งคุณธรรมต่างๆที่ปิดล้อมเขาในอีกห้าร้อยปีข้างหน้าเช่นเดียวกัน

ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง มีเพียงคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตได้นานที่สุด นี่เป็นกฎของโลกทุกใบ ทุกคนต่างต้องดิ้นรนและพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ ดังนั้นสงครามและการฆ่าฟัน มันจึงเป็นบางสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ ถูกต้องหรือไม่?

ประสบการณ์ 500 ปีทำให้เขามองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน และความปรารถนาเดียวที่ยังคงอยู่ภายในหัวใจของเขามาตลอดก็คือ ชีวิตอมตะ!

ดังนั้นเมื่อมีบางคนขัดขวางเส้นทางของเขา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เขาก็จะสังหารผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่มันอาจจะเป็นความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่เกินไปจนทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นศัตรูของเขาและโดดเดี่ยวเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว

และนี่ก็คือบทสรุปของเขาหลังจากมีชีวิตอยู่มาถึง 500 ปี

‘การแก้แค้นไม่ใช่ความตั้งใจของข้า แต่เส้นทางปีศาจก็ไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถประนีประนอมได้’ เมื่อฟางหยวนคิดได้เช่นนี้ช่วยไม่ได้ที่เขาจะหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปมองน้องชายของเขาและกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ”

หัวใจของฟางเจิ้งสั่นสะท้าน เขารู้สึกว่าสายตาของผู้เป็นพี่ชายราวกับใบมีดน้ำแข็งอันแหลมคมที่เสียบแทงเข้าไปยังส่วนลึกภายในหัวใจของเขา

ภายใต้การจ้องมองดังกล่าวเขารู้สึกราวกับเปลือยกายอยู่ท่ามกลางพายุหิมะและไม่สามารถเก็บความลับเอาไว้ได้อีกต่อไป

“เช่นนั้น แล้วเจอกันพรุ่งนี้ พี่ใหญ่” ฟางเจิ้งพูดได้เพียงเท่านี้ก่อนจะปิดประตูลงและเดินจากไป

 


ติดตามความเคลื่อนไหวที่เร็วกว่าได้ที่เฟสบุ๊ค นิยายฆ่าเวลา >>


 

 

(0 votes) 0/5
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments