I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Reverend Insanity / Gu Daoist Master ตอนที่ บทที่ 12 สุราไผ่เขียว

| Reverend Insanity / Gu Daoist Master | 927 | 2338 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 12 สุราไผ่เขียว

Tr. Coffee Prince

 

“ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับมรดกของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ หากข้าสามารถหาเขาพบ ปัญหาทุกอย่างของข้าก็จะได้รับการแก้ไข แต่หากไม่ การบ่มเพาะของข้าจะเชื่องช้าไปอีกมาก และข้าก็จะถูกคนรุ่นเดียวกันทิ้งห่างออกไปมากขึ้น ข้าไม่เข้าใจ! ข้าใช้เวลาทั้งสัปดาห์พยายามดึงดูดวิญญาณสุราร่ำร้องให้ออกมาแต่เหตุใดมันจึงไม่เป็นผล?”

ฟางหยวนขมวดคิ้ว มันเหมือนกับเขาตักอาหารเข้าปากแต่ไม่สามารถรับรู้รสชาติของมันได้

ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นมาจากโต๊ะของนักล่าทั้งหก ฟางหยวนหันหน้าไปมองพวกเขาและพบว่าพวกเขากำลังสนุกสนานและเมามายกันอยู่อย่างเต็มที่ บรรยากาศรอบตัวพวกเขาดูเปล่งประกาย ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“น้องชายจาง มาดื่มกันอีกถ้วย”

“พี่ชายหง พวกเราขอดื่มให้กับความสามารถของท่าน! ท่านจับหมูป่าผิวดำด้วยตัวของท่านเพียงผู้เดียว! ถ้วยนี้ท่านต้องดื่มมันให้หมด!”

“พี่น้องขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ข้าไม่สามารถดื่มได้อีกต่อไปแล้ว”

“พี่หง บางทีท่านอาจจะไม่ชอบสุราชนิดนี้ เสี่ยวเอ้อ! เอาเหล้าชั้นดีมาเดี๋ยวนี้!”

เสียงดังโวยวายบ่งบอกว่าพวกเขาเมามายอย่างหนัก ในเวลานี้เสี่ยวเอ้อจึงเร่งเข้ามากล่าวว่า “พวกเรามีสุราชั้นดีแต่ราคาของมันกลับแพงมาก”

“เจ้าคิดว่าพวกเราไม่มีเงินจ่ายเช่นนั้นหรือ?” เมื่อได้ยินถ้อยคำของเสี่ยวเอ้อ พวกเขาจึงลุกขึ้นโวยวายในทันที พวกเขามีร่างกายใหญ่โตทั้งสูงและแข็งแกร่งที่มาพร้อมกับความดุดันราวกับคนป่า

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้เสี่ยวเอ้อจึงรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ผู้น้อยไม่กล้า แท้จริงแล้วสุราที่พวกเรามีอยู่สามารถแลกเปลี่ยนได้ด้วยหินวิญญาณเพียงสองก้อนเท่านั้น”

นักล่ากลายเป็นตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ หินวิญญาณสองก้อนไม่ใช่ราคาถูกๆ มันเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวถึงสองเดือน แม้นักล่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการล่าสัตว์แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น สำหรับหมูป่าผิวดำหนึ่งตัวที่พวกเขาล่าได้มันก็มีค่าเทียบเท่ากับหินวิญญาณเพียงครึ่งก้อนเท่านั้น

สำหรับนักล่าแล้วการใช้หินวิญญาณสองก้อนไปกับการดื่มสุราถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและไร้สาระอย่างที่สุด

“นี่มันไม่แพงเกินไปหน่อยหรือสำหรับสุราเพียงไหเดียว?”

“เสี่ยวเอ้อ เจ้าใช่โกหกพวกเราอยู่หรือไม่?”

เหล่านักล่าตะโกนออกมา แต่เสียงของพวกเขากลับแฝงไว้ด้วยความอับอายเล็กน้อยและมันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถลบล้างความอับอายเหล่านี้ออกไปได้

สำหรับเสี่ยวเอ้อ เขาทำได้เพียงปิดปากเงียบเท่านั้น

เป็นเพียงเวลานี้เองที่นักล่าผู้หนึ่งได้กล่าวออกมาว่า “พี่น้อง อย่าได้จ่ายมากไปกว่านี้เลย ข้าดื่มไม่ไหวแล้ว พวกเราค่อยกลับมาดื่มอีกครั้งในคราวหน้าจะดีกว่า”

“พี่ชาย อย่าได้กล่าวได้เช่นนั้น”

“นี่มัน…”

นักล่าบางคนยังคงตะโกนเสียงดัง แต่บางคนก็เริ่มเงียบเสียงลงและไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาจึงค่อยๆนั่งลงทีละคนทีละคน เห็นเช่นนี้เสี่ยวเอ้อจึงตระหนักได้ในทันทีว่าเขาคงไม่สามารถขายสุราได้แล้ว อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย

เพียงเมื่อเสี่ยวเอ้อกำลังจะล่าถอยกลับไป เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งจึงได้ดังขึ้นมาจากโต๊ะที่อยู่ในมุมมืด “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าตะโกนเสียงดังแต่กลับไม่สามารถจ่ายค่าสุราได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ควรจะหุบปากและกลับไปซะ”

เมื่อกลุ่มนักล่าได้ยินเช่นนี้ มันจึงช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะโกรธและตอบโต้กลับไป “ผู้ใดบอกว่าพวกเราไม่สามารถจ่ายได้? เสี่ยวเอ้อ เอาเหล้ามา ข้าจะจ่ายด้วยหินวิญญาณสองก้อน!”

“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว โปรดรอสักครู่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เขารีบตอบรับและวิ่งไปหยิบไหสุราออกมาในทันที มันดูเหมือนสุราทั่วไปแต่เมื่อเปิดมันออกมาแล้ว กลิ่นอันสดชื่นและกลมกล่อมของมันจึงได้โชยฟุ้งไปทั่วทั้งห้องอาหารแห่งนี้ในทันที แม้แต่ชายชราที่นั่งอยู่เพียงผู้เดียวยังต้องหันหน้ามาตามกลิ่นอันน่าหลงใหลนี้อย่างช่วยไม่ได้

นั่นเป็นสุราชั้นดีอย่างแน่นอน

“นายท่าน นี่คือสุราชั้นยอดของเรา สุราไผ่เขียว ทั้งหมู่บ้านมีเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ครอบครองมันซึ่งก็คือพวกเรา นายท่านโปรดสูดดมกลิ่นของมัน” เสี่ยวเอ้อสูดหายใจลึก เพียงแค่ได้สูดดมใบหน้าของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

ฟางหยวนส่ายศีรษะ ชัดเจนว่าเสี่ยวเอ้อของโรงเตี้ยมแห่งนี้ช่างคุยโตโอ้อวดยิ่งนัก

ในหมู่บ้านมีโรงเหล้าอยู่สามแห่งและพวกเขาก็ขายเพียงสุราทั่วไปเท่านั้น ซึ่งฟางหยวนก็ซื้อสุราเหล่านั้นมาตลอดเจ็ดวันเพราะสภาพคล่องด้านการเงิน

อย่างไรก็ตามแม้นักล่าทุกคนจะรู้สึกพึงพอใจกับกลิ่นหอมของมันแต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกสำนึกเสียใจที่ต้องสูญเสียหินวิญญาณไปถึงสองก้อน

‘ข้าซื้อสุราไหนี้ด้วยความหุนหันพลันแล่น แต่เสี่ยวเอ้อผู้นี้ก็ได้เปิดไหสุราออกมาแล้ว มันจึงไม่สามารถคืนได้อีกต่อไป’

นักล่ารู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาทำกลับเป็นการใช้มือตบลงบนโต๊ะเสียงดังก่อนจะกล่าวออกมาว่า “นี่เป็นสุราที่ดี พี่น้องโปรดดื่มตามที่พวกเจ้าต้องการ วันนี้ข้าจ่ายเอง!”

ในจังหวะนี้เสียงของชายหนุ่มในมุมมืดพลันดังขึ้นอีกครั้ง “ไหเล็กๆมันจะสักเท่าใดกัน หากเจ้าแน่จริงก็จงสั่งอีกสักไหเป็นไร?”

นักล่าโกรธจัดเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เขาลุกขึ้นและจ้องมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้นในทันที “น้องชาย เจ้าจะพูดมากเกินไปแล้ว ตอนนี้จงยืนขึ้นและมาต่อสู้กับข้า!”

“โอ้? เช่นนั้นข้าก็จะยืนขึ้น” ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินออกมาจากมุมมืด เขามีรูปร่างผอมสูงและผิวที่ขาวซีด เขาแต่งตัวด้วยชุดสีขาวที่ดูสะอาดเรียบร้อย บนศีรษะของเขาคาดไว้ด้วยผ้าสีฟ้าชิ้นหนึ่ง ส่วนรองเท้าของเขาเป็นรองเท้าไม้ที่มีเชือกผูกรัดเอาไว้

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือเข็มขัดสีเขียวที่มีหัวเข็มขัดทำด้วยทองแดงและปรากฏตัวอักษรคำว่า หนึ่ง สลักอยู่บนนั้น

“ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง?” เหล่านักล่าตระหนักดีว่าชุดประเภทนี้หมายถึงสิ่งใด พวกเขาจึงสูดหายใจลึก ในขณะเดียวกันความโกรธบนใบหน้าของพวกเขาก็ได้อันตรธานหายไปในทันที

“ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการต่อสู้กับข้าเช่นนั้นหรือ? มาสิ เข้ามาทุบตีข้า” ชายหนุ่มผู้นั้นเดินตรงเข้าไปหากลุ่มนักล่าอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้ม ในขณะที่เหล่านักล่ากลายเป็นร่างกายแข็งทื่อราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง

“บางทีหากพวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันอาจจะทำได้ดีกว่า” ชายหนุ่มยังคงเย้ยหยันต่อไป

การแสดงออกของเหล่านักล่าเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แม้ใบหน้าของพวกเขาจะยังคงแดงก่ำจากฤทธิ์สุรา แต่บนหน้าผากของพวกเขากลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจำนวนมากและรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก

ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยิบไหสุราไผ่เขียวขึ้นมาและสูดดมก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ยอดเยี่ยม กลิ่นหอมมาก”

“หากนายท่านพึงพอใจ โปรดดื่มมันได้ตามต้องการ นี่ถือเป็นคำขอโทษที่พวกเราได้ล่วงเกินนายท่านไปก่อนหน้านี้” นักล่าที่ท้าทายเขาก่อนหน้าเร่งกล่าวออกมาและส่งยิ้มให้กับเขา

การแสดงออกบนใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง และโยนไหสุราทิ้งลงพื้นไปในทันที “พวกเจ้าคิดว่ามีสิทธิขอโทษข้าเช่นนั้นหรือ? เมื่อพวกเจ้าเป็นนักล่าก็คงต้องร่ำรวยมากกว่าข้าจึงสามารถจ่ายค่าสุราได้ด้วยหินวิญญาณถึงสองก้อนใช่หรือไม่? พวกเจ้ากล้าที่จะโอ้อวดต่อหน้าข้า พวกเจ้าคิดว่าตนเองคู่ควรเช่นนั้นหรือ?”

“พวกเราไม่กล้า พวกเราไม่กล้า”

“การล่วงเกินนายท่านเป็นความผิดใหญ่หลวงนัก”

“พวกเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดามิอาจเปรียบเทียบกับนายท่านได้ โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”

นักล่าเหล่านี้หยิบหินวิญญาณของพวกเขาออกมาและยื่นส่งให้แก่ชายหนุ่มในทันที แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หินวิญญาณที่พวกเขามีก็เป็นเพียงเศษหิน หินก้อนใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็มีขนาดเพียงหนึ่งในสี่ของหินวิญญาณเต็มก้อนทั่วไปเท่านั้น

ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มไม่ได้รับหินวิญญาณเหล่านี้แต่เขาก็ยังไม่หยุดเย้ยหยัน เขาใช้ตาเหยี่ยวของเขากวาดมองไปรอบห้องอาหาร แน่นอนว่าเหล่านักล่าต่างก้มศีรษะลง เช่นเดียวกับชายชราที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาหันหน้าไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงการปะทะสายตากับชายหนุ่มผู้นี้

มีเพียงฟางหยวนเท่านั้นที่เฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ

ชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่อยู่เป็นเครื่องแบบของผู้ใช้วิญญาณ สำหรับฟางหยวนเขาจะยังไม่ได้รับชุดเช่นนี้จนกว่าจะจบการศึกษาจากสถานศึกษาของหมู่บ้าน

คำว่า หนึ่ง บนหัวเข็ดขัดก็คือระดับของผู้ใช้วิญญาณคนนั้น อย่างไรก็ตามจากภาพลักษณ์ของเขา เขาดูมีอายุประมาณยี่สิบปีหรือมากกว่านั้น

สำหรับผู้ใช้วิญญาณ พวกเขาจะเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่อายุสิบห้า ดังนั้นการเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับที่หนึ่งในช่วงอายุยี่สิบปี มันจึงหมายความว่าเขามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สี่เท่านั้น มันเป็นระดับที่แย่ยิ่งกว่าฟางหยวน มีความเป็นไปได้มากว่าชายผู้นี้จะเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณสายสนับสนุน ไม่ใช่ผู้ใช้วิญญาณสายต่อสู้

อย่างไรก็ตามแม้มันจะเป็นกรณีนั้น มันก็ยังมีช่องระหว่างผู้ใช้วิญญาณกับมนุษย์ธรรมดาอยู่อย่างใหญ่หลวง

“หากมีอำนาจก็จะอยู่ด้านบน นี่คือธรรมชาติของโลกใบนี้และไม่ว่าโลกใบใดก็ตาม ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก และปลาตัวเล็กก็จะกินกุ้งที่ตัวเล็กยิ่งกว่า มันเป็นเพียงว่าโลกวิญญาณใบนี้เปิดเผยให้เห็นได้ชัดเจนมากกว่าก็เท่านั้น” ฟางหยวนพึมพำกับตนเองอยู่อย่างลับๆ

“เอาหล่ะ เจียงหยา เจ้าได้สอนบทเรียนให้กับพวกเขาแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาให้แก่มนุษย์ธรรมดาเหล่านี้มากนัก เพราะหากข่าวแพร่กระจายออกไป แม้เจ้าจะไม่กลัวเสียหน้า แต่ข้ากลัว” เสียงของคนอีกผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในมุมมืดกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เมื่อทุกคนได้ยิน พวกเขาก็ตระหนักได้ในทันทีว่ามันเป็นเสียงของหญิงสาว

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า เจียงหยา หยุดเย้ยหยันและหมุนตัวเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา แต่ในขณะที่เขาเดินกลับเขายังคงกล่าวออกมาอีกครั้งด้วยความประสงค์ร้าย “หากพวกเจ้าต้องการจะดื่มต่อ ก็จงดื่มสุราไผ่เขียวให้หมด”

นักล่าทุกคนลดศีรษะของพวกเขาลงและทำตัวราวกับเด็กน้อยที่เชื่อฟังผู้อาวุโสหลังจากถูกตำหนิ

กลิ่นสุราไผ่เขียวฟุ่งกระจายไปทั่วทั้งโรงเตี้ยมและทำให้นักล่ายิ่งรู้สึกเสียใจที่สูญเสียหินวิญญาณไปถึงสองก้อน นอกจากนั้นพวกเขาก็ยังไม่ได้ลิ้มรสสุราล้ำค่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย

ฟางหยวนใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างสะดวกสบาย ขณะเดียวกันเมื่อเขาสูดกลิ่นหอมของสุราไผ่เขียวเข้าไป และก็หยิบหินสีเทาสองก้อนออกมาวางลงบนโต๊ะ “เสี่ยวเอ้อ เอาสุราไผ่เขียวมาให้ข้า” เขากล่าวออกมาอย่างไม่แยแส

ราวกับเวลาหยุดอยู่กับที่ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในโรงเตี้ยมแห่งนั้นพลันหยุดนิ่งลงในพริบตา

ชายหนุ่มที่ชื่อเจียงหยาหยุดเท้าลงในทันทีพร้อมกับใบหน้าที่กระตุกขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม เขาพึ่งเสร็จจากการตักเตือนเหล่านักล่า แต่ขณะนี้ฟางหยวนกลับต้องการสุราไผ่เขียว นี่มันก็เหมือนกับการตบหน้าเขาอย่างรุนแรงนั่นเอง

เขาหันกลับมาและหลี่ตามองฟางหยวน

ด้านฟางหยวน เขาก็จ้องมองตอบกลับไปอย่างไม่แยแสและปราศจากความเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น

ดวงตาของเจียงหยากระพริบในขณะเดียวกันความเย็นชาในสายตาของเขากลับค่อยๆเลือนหายไป เขาสัมผัสได้ถึงทะเลวิญญาณในร่างกายของฟางหยวน หลังจากนั้นรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมกับคำพูดที่สุภาพและเป็นมิตร “เป็นน้องชายนี่เอง”

เห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนของเจียงหยา ทุกคนตระหนักรู้ได้ในทันทีว่าเหตุใดฟางหยวนจึงไม่มีความเกรงกลัวผู้ใช้วิญญาณผู้นั้นแม้แต่น้อย และนั่นเป็นเพราะว่าเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ใช้วิญญาณเช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะยังศึกษาอยู่ในสถานศึกษา แต่ตำแหน่งของเขาก็แตกต่างไปจากเดิมแล้วอย่างสิ้นเชิง

“นายท่าน นี่คือสุราไผ่เขียวของนายท่านขอรับ” เสี่ยวเอ้อยิ้มกว้าง ในขณะที่ฟางหยวนพยักหน้าให้กับผู้ใช้วิญญาณหนุ่มผู้นั้นก่อนที่จะรับสุราไผ่เขียวมาจากมือของเสี่ยวเอ้อและเดินออกจากโรงเตี้ยมไปในทันที

 


ติดตามความเคลื่อนไหวที่เร็วกว่าได้ที่เฟสบุ๊ค นิยายฆ่าเวลา >>


 

 

(0 votes) 0/5
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments