I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Reverend Insanity / Gu Daoist Master ตอนที่ บทที่ 13 ป่าไผ่ภายใต้แสงจันทร์

| Reverend Insanity / Gu Daoist Master | 915 | 2368 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 13 ป่าไผ่ภายใต้แสงจันทร์

Tl. Coffee Prince

 

ประมาณสามร้อยปีก่อนมีสุดยอดอัจฉริยะเกิดขึ้นในตระกูลแสงจันทร์ เขามีพรสวรรค์และบรรลุเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าตั้งแต่ยังเยาว์ อนาคตของเขาสว่างสดใสและเป็นความหวังสูงสุดของตระกูลแสงจันทร์

ในประวัติศาสตร์ของตระกูล เขาเป็นบางคนที่ถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดและเขาก็คือหัวหน้าตระกูลแสงจันทร์รุ่นที่สี่

แต่น่าเสียดายที่เขาสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องทุกคนในหมู่บ้านตั้งแต่ยังเยาว์เช่นกัน เขาต่อสู้อย่างห้าวหาญกับผู้ใช้วิญญาณระดับห้า นักบวชปีศาจสุราดอกไม้ กระทั่งนักบวชปีศาจต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต

ในเวลานั้นด้วยความเมตตาของหัวหน้าตระกูลรุ่นที่สี่ มันจึงทำให้นักบวชปีศาจสามารถลอบทำร้ายเขาได้อย่างมิคาดคิด เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นหัวหน้าตระกูลรุ่นที่สี่จึงได้สังหารเขาลงในที่สุด แต่ถึงกระนั้นตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

โศกนาฏกรรมนี้ถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังรู้สึกว่ามันยังมีช่องโหว่ขนาดใหญ่อยู่ในเรื่องราวเหล่านี้

ในชีวิตก่อนหน้าของเขา อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้บุรุษผู้พ่ายรักจะเมามายอยู่นอกหมู่บ้าน กระทั่งกลิ่นสุราได้ดึงดูดวิญญาณสุราร่ำร้องให้ออกมาหาเขา

บุรุษผู้นั้นตามไล่ล่าวิญญาณสุราร่ำร้องไปจนได้พบกับซากศพของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง เวลานั้นเขาได้รีบเร่งกลับไปแจ้งข่าวกับตระกูลและทำให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาในที่สุด

หลังจากความโกลาหลสงบลง เขาก็ยังได้รับผลประโยชน์จากมันด้วยเช่นกัน เขาได้รับวิญญาณสุราร่ำร้องและมันก็เป็นเหตุให้การบ่มเพาะของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คนรักเก่าของเขากลับมาหาและเขาก็กลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนพูดถึงกันอย่างแพร่หลายในช่วงเวลานั้น

เมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เรื่องราวจะค่อยๆถูกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่จากความทรงจำของฟางหยวน เขาพบว่าเรื่องราวของบุรุษผู้พ่ายรักที่ค้นพบสมบัติยังมีความจริงบางอย่างที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้เบื้องหลัง

“เดิมทีข้าไม่ได้คิดถึงสิ่งนี้ แต่หลังจากไตร่ตรองอยู่หลายวัน ข้าจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง” ในความมืดแห่งค่ำคืน ฟางหยวนเดินไปยังป่าไผ่นอกหมู่บ้านและตรวจสอบเบาะแสที่เคลือบแคลงอยู่ภายในหัวใจของเขา

“หากข้าค้นพบมรดกของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ ข้าจะกลับไปรายงานตระกูลหรือไม่? โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องเกียรติยศใดๆ เพราะไม่ว่าผู้ใด ทุกคนย่อมมีบางสิ่งที่เรียกว่าความโลภอยู่ในหัวใจทั้งสิ้น แล้วสิ่งใดที่ทำให้ชายพ่ายรักผู้นั้นทรยศต่อความตะกละตะกลามในหัวใจของเขากระทั่งเต็มใจที่จะละทิ้งผลประโยชน์ทั้งหมดและรายงานเรื่องนี้ไปยังผู้อาวุโสของตระกูล?”

ความจริงมักถูกซุกซ่อนอยู่ภายในม่านหมอกแห่งประวัติศาสตร์เสมอ ฟางหยวนเค้นความคิดไตร่ตรองเบื้องหลังของสิ่งเหล่านี้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถคลี่คลายปมปัญหาข้อนี้ของมันออกมาได้เมื่อเบาะแสทั้งหมดที่เขามีอยู่มันน้อยจนเกินไป นอกจากนั้นมันยังอาจกลายเป็นเรื่องเท็จได้เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพึ่งพามันได้อย่างเต็มที่

“เมื่อข้าซื้อสุราไผ่เขียวมาแล้ว ข้าจึงเหลือหินวิญญาณอยู่เพียงสองก้อนเท่านั้น หากข้าไม่สามารถค้นหาสมบัติได้พบ ข้าจะประสบปัญหาร้ายแรงจริงๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของข้าแล้ว”

หากเป็นบุคคลอื่น พวกเขาอาจจะหลบซ่อนอยู่ในมุมที่ปลอดภัยโดยการรักษาหินวิญญาณที่เหลือของพวกเขาเอาไว้ แต่สำหรับฟางหยวน เขาไม่มีหินวิญญาณพอที่จะปรับแต่งวิญญาณของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดิมพันเพิ่มแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตามมันกลับเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับบุคคลที่ก้าวเดินในเส้นทางแห่งปีศาจ เพราะพวกเขามักจะชื่นชอบสิ่งที่มีความเสี่ยงเสมอ

ค่ำคืนล่วงเลยถึงยามดึกสงัด

หมู่เมฆที่หนาทึบปกคลุมจันทร์เสี้ยวเอาไว้เบื้องหลัง

เนื่องเพราะฝนที่ตกลงมาหลายวัน มันจึงลบล้างกลิ่นอายอันแปลกปลอมทั้งหมดออกไปและทิ้งไว้เพียงอากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์เท่านั้น เมื่ออากาศบริสุทธิ์ มันจึงเป็นดั่งกระดาษขาวที่มีประสิทธิภาพในการเติมแต่งสีสันและกระจายกลิ่นของสุราไผ่เขียวออกไป นั่นเป็นเหตุผลแรกที่ทำให้ฟางหยวนเต็มไปด้วยความมั่นใจในคืนนี้

การค้นหามาถึงเจ็ดวัน นั่นทำให้ฟางหยวนแน่ใจว่าซากร่างของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ไม่ได้อยู่ในบริเวณเหล่านั้น นี่เป็นเหตุผลข้อที่สองสำหรับความเชื่อมั่นของเขา

ในป่าไผ่เต็มไปด้วยต้นไผ่สีเขียวและยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยดอกไม้สีขาวบนพรมหญ้าที่ดูราวกับไร้จุดสิ้นสุด

สุราไผ่เขียวถือเป็นสุราอันดับหนึ่งของหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลแห่งความมั่นใจข้อที่สามของฟางหยวน และในเวลานี้เขาก็ได้เปิดไหสุราออกมาเรียบร้อยแล้ว

“ด้วยเหตุผลทั้งสามข้อนี้ หากข้าจะประสบความสำเร็จ มันก็ต้องสำเร็จในค่ำคืนนี้” ฟางหยวนให้กำลังใจตนเองก่อนจะค่อยๆเทสุราไผ่เขียวลงไปยังหินก้อนหนึ่ง หากกลุ่มนักล่าก่อนหน้ามาเห็นฉากนี้ พวกเขาคงจะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาในทันที นี่มันเป็นสุราที่ต้องใช้หินวิญญาณถึงสองก้อนเพื่อแลกมันมา โอ้ สวรรค์ นี่เขาบ้าไปแล้วชัดๆ!!

แต่ฟางหยวนแน่นอนว่า ไม่แยแส

กลิ่นหอมโชยพัดออกไปอย่างรวดเร็วในยามราตรี สายลมอันอ่อนโยนนำพากลิ่นละมุนล่องลอยไปในป่าไผ่ที่กว้างใหญ่ ฟางหยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ แต่หลังจากรอคอยอยู่ชั่วขณะ มันก็ยังคงไร้การตอบสนองใดๆ

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยก่อนจะเดินห่างออกไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร

ในจุดนี้เขาก็ยังคงทำดังเช่นเดิมคือเทสุราลงไปบนพื้นและรอคอย

เขาทำสิ่งเดียวกันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและย้ายสถานที่ไปในหลายๆตำแหน่ง สุดท้ายแล้วสุราไผ่เขียวจึงได้เหลือติดก้นไหอยู่อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว” ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะคว่ำไหสุราและเทสุราไผ่เขียวทั้งหมดลงบนพื้นหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้

ฟางหยวนยืนรอด้วยความคาดหวังพร้อมทั้งกวาดตามองไปรอบๆ

ในความมืดมิดแห่งราตรีกาล

เขายืนอยู่ในความเงียบสงัดที่สามารถได้ยินเสียงหายใจของตนเองอย่างชัดเจน ในขณะที่ความหวังเล็กๆของเขาค่อยๆมอดดับลงไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลย

“มันล้มเหลว” ฟางหยวนพึมพำกับตนเอง “วันนี้ข้ามีข้อดีทั้งสามประการอยู่รวมกัน แต่ข้าก็ยังคงล้มเหลว ข้าไม่แม้แต่จะได้ได้เห็นเงาของวิญญาณสุราร่ำร้อง นี่หมายความว่าในอนาคตโอกาสประสบความสำเร็จของข้าจะยิ่งต่ำลงไปอีก ตอนนี้ข้าเหลือหินวิญญาณเพียงสองก้อนเท่านั้นและข้ายังต้องปรับแต่งวิญญาณแสงจันทร์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว”

ในความเสี่ยง แน่นอนว่ามันย่อมมีโอกาสที่จะล้มเหลว และบ่อยครั้งที่ผลลัพธ์มักจะไม่เป็นไปตามที่ผู้คนต้องการ ฟางหยวนชื่นชอบความเสี่ยง แต่เขาไม่ได้เสพติดความเสี่ยง เขาก็ไม่ใช่บางคนที่ยอมเสี่ยงกับเรื่องที่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เขาจะพิจารณาถึงความน่าจะเป็นโดยใช้ปัญญาเสมอ เขามีขีดจำกัด และรู้จักความสามารถของตนเองเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามตอนนี้ประสบการณ์ห้าร้อยปีของเขากำลังตะโกนบอกกับเขาว่าถึงเวลาหยุดแต่เพียงเท่านี้

บางครั้งชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง บ่อยครั้งที่เรื่องราวต่างๆ ดูสมบูรณ์แบบ แต่สุดท้ายแล้วมันกลับล้มเหลวแม้จะใส่ความพยายามลงไปอย่างเต็มความสามารถแล้วก็ตาม

“ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่นี่ก็คือเสน่ห์ของชีวิต” ฟางหยวนยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายศีรษะก่อนจะก้าวเดินกลับไป

แต่ในเวลานั้น

สายลมพลันกรรโชกแรงขับไล่หมู่เมฆให้ล่องลอยออกไปจากท้องฟ้าในยามค่ำคืนและเผยให้เห็นจันทร์เสี้ยวที่ทอประกายแสงอันอ่อนโยนลงมาอาบย้อมร่างกายของฟางหยวนเอาไว้ทั้งหมด

ความมืดมิดหายไปในพริบตา ดอกไม้จำนวนมากส่องประกายขึ้นมาราวกับเกล็ดหิมะสีขาวบริสุทธิ์ นกเริ่มส่งเสียงขับขานขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพียงตัวเดียว เมื่อนกทั้งหมดส่งเสียงสอดผสานตอบสนองซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่จิ้งหรีดเรไรบนภูเขาก็ได้ร่วมวงบรรเลงประสานเสียงกันอย่างมีชีวิตชีวา

ฝูงหิ่งห้อยบินอยู่กลางอากาศพร้อมกับส่องแสงสีแดงขึ้นมาท่ามกลางป่าไผ่ภายใต้แสงจันทร์

ธรรมชาติอันงดงามและยิ่งใหญ่โอบกอดฟางหยวนเอาไว้อย่างแนบแน่น

โดยไม่รู้ตัวฟางหยวนหยุดเท้าของเขาและดื่มด่ำกับสรวงสวรรค์แห่งนี้

ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมอ่อนๆของสุราไผ่เขียวก็ได้ล่องลอยอยู่ท่ามกลางสายลมที่โชยพัด เมื่อได้สูดกลิ่นหอมอันน่าหลงใหลของมันอีกครั้ง ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม

โดยไม่ได้ตั้งใจเขาหันหน้าขึ้นมองจุดแสงสีขาวดุจดังเกล็ดหิมะอันบริสุทธิ์สดใสที่อยู่เบื้องหน้า

ภายใต้แสงจันทร์ จุดแสงสีขาวที่ราวกับไข่มุกติดอยู่กับต้นไผ่สีเขียวที่อยู่ไม่ไกลห่างจากเขามากนัก

ฟางหยวนกระพริบตาสองสามครั้งก่อนที่ร่างกายของเขาจะเริ่มสั่นเทาพร้อมกับหัวใจที่สะท้านไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง

วิญญาณสุราร่ำร้อง!


ติดตามความเคลื่อนไหวที่เร็วกว่าได้ที่เฟสบุ๊ค นิยายฆ่าเวลา >>


 

(0 votes) 0/5
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments