I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 28 ภัตตาคาร

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

สิ้นปีที่กำลังจะมาถึง ทำให้เมืองหยางโจวเต็มไปด้วยความคึกครืน สมาชิกของตระกูลจะกลับมาจากนิกายต่างๆ เพื่อมาเยี่ยมเยือนครอบครัว

 

ในตอนสิ้นปี ทุกเมือง และทุกหมู่บ้านของอาณาจักรจะมีการจัดประชุมประจำปีครั้งใหญ่ขึ้น ในโลกของผู้บ่มเพาะพลังการประชุมประจำปีก็เหมือนกับการแสดงความสามารถ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนในครอบครับ

 

ในเมืองหยางโจว ตระกูลใหญ่ๆจะมีการประชุมประจำปีเฉพาะสมาชิกภายในตระกูลของพวกเขา ในระหว่างการประชุมประจำปี ผู้อาวุโสของตระกูลจะตรวจสอบความก้าวหน้าของสมาชิกรุ่นเยาว์ภายในตระกูล ภายในเมืองหยาวโจว ตระกูลที่ทรงอำนาจบางตระกูลจะจัดประชุมระหว่างพวกเขา และตระกูลอื่นๆ เพื่อตรวจสอบศักยภาพ และกำลังรบในอนาคตของตระกูลอื่นๆ

 

ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง มีกลุ่มศิษย์รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่ง พวกเขาทุกคนมาจากตระกูลใหญ่ ในเมืองหยางโจง ศิษย์ที่โดดเด่นได้มารวมตัวกันเพื่อดื่มของมึนเมา และพูดคุยเกี่ยวกับการประชุมประจำปีที่กำลังจะมาถึง

 

“ข้าได้ยินมาว่าจิตวิญญาณของหลินเชียนใกล้ที่จะตื่นขึ้นแล้ว หลังจากที่นางทะลวงผ่านของเขตจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ทำให้นางได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิษย์ภายในของนิกายห้าวเย่ว หลิน อวี่ เจ้าคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” ศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งที่กำลังถือพัดขนนกถาม ทุกๆคนจ้องมองไปที่หลิน อวี่ และต้องการรู้คำตอบ

 

“เรื่องทั้งนี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ตอนที่นางทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับพิธีของพวกเรา ข้าคิดว่าตระกูลหลินคงจะต้องให้นางแสดงความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของนางแน่นอน”

 

หลิน อวี่ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า พ่อของเขาเป็นลุงของหลินเฟิง และเล็งเก้าอี้ประมุขตระกูล ดังนั้นภายในตระกูลหลินเขาจึงมีสถานะที่สูง ทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือราวกับเป็นตัวแทนของตระกูล

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า นางเพิ่งบรรลุของเขตจิตวิญญาณนั่นไม่ใช่ความสำเร็จ ในตระกูลของข้า คนที่ชื่อ กู่เหยียนได้บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณมาตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วแล้ว สมาชิกตระกูลหลินไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ที่เพียงพอ พวกเขามักจะบ่มเพาะพลังในพื้นที่ที่ปลอดภัยของนิกาย” ชายหนุ่มผู้ที่สวมเสื้อสีเหลืองหน้าอยู่ด้านหน้าหลิน อวี่ กล่าว ในเมืองหยางโจว ตระกูลกู่ และตระกูลหลินเป็นศัตรูกันอยู่เสมอ แล้วเขาจะยอมรับผู้คนที่มาจากตระกูลหลินได้อย่างไร?

 

“จะบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณตอนไหนมันก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ตระกูลของข้า เหวิน เจีย ได้บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 แล้ว นอกจากบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง น่าหลันเฟิ่ง แล้วจะมีใครที่จะทัดเทียบเขาได้? ”

 

ชายหนุ่มที่ถือพัดขนนกไม่ลืมที่จะแสดงความคิดเห็นของเขา ตระกูลของเขามีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับผู้ปกครองเมือง และกล่าวว่า “เหวิน เจีย ได้บรระลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 แล้ว ช่างมีพรสววรค์ในการบ่มเพาะพลังอันน่าอัศจรรย์อะไรเช่นนี้”

 

“เจ้าชวนข้ามาที่นี่เพื่อฟังบทสนทนาโง่ๆ และไร้สาระเช่นนี้รึ?” เสียงดังที่ทำให้ความรู้สึกเยือกเย็นดังมาจากข้างหลัง ทำให้ทุกคนหยุดพูด มันเป็นเสียงของหญิงสาวผู้งดงาม และมีกลิ่นอายของน้ำแข็งแผ่ออกมาจากตัวนาง

 

“แน่นอนว่าไม่ใช่เช่นนั้น ข้าเชิญทุกคนมาที่นี่เพื่อบอกข่าวสารบางอย่าง ในปีนี้ วันที่สองของการประชุมประจำปี นอกจากตระกูลของข้า สมาชิกจากสามตระกูลของเมืองหยางโจว และศิษย์ที่โดดเด่นคนอื่นๆ สามารถเข้าร่วมได้ ชิวหลันเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าหมายถึงอะไร?”

 

น่าหลันเฟิ่ง ยิ้มอย่างอบอุ่น ทุกคนเข้าใจ ในอดีตเมืองหยางโจวก็มีการประชุมประจำปีเช่นนี้เหมือนกัน แต่จะจำกัดเฉพาะลูหลานจากสี่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาไม่คิดว่าในปีนี้ผู้อื่นสามารถเข้าร่วมได้ ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการให้ศิษย์รุ่นเยาว์จากตระกูลต่างๆที่อยู่ภายในอาณาจักรเข้าร่วมเพื่อหาบุคคลที่มีพรสวรรค์

 

มีคนกล่าวว่า ชิวหลัน เป็นเด็กกำพร้า แต่ดูเหมือนชื่อเสียงของนางในเมืองหยางโจวจะดีขึ้นแล้ว เป็นเพราะรูปลักษณ์อันงดงามของนาง และอารมณ์อันเย็นชาของนาง แต่ที่สำคัญที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นพรสวรรค์ตามธรรมชาติของนาง

 

ชิวหลัน พลักหน้าของนาง นางกำลังค้นหาความสามารถที่ลูกหลานของสี่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดสามารถทำได้อยู่

 

“นี่นี่ ตอนนี้พิธีใกล้จะเริ่มแล้ว มันช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเศษขยะของตระกูลหลินมีความก้าวหน้าอย่างมาก ถึงขนาดทำให้หลิน หยุน ได้รับบาดเจ็บ ข้าคิดว่าเจ้าเศษขนะนั้นจะเข้าร่วมการประชุมประจำปีนี้ด้วย” ชายหนุ่มที่มาจากตระกูลกู่กล่าว ด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของเขา เขารู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นที่ผุดขึ้นมาภายในตัวเขา

 

“กู่ซง เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร? ตระกูลหลินของข้า มีศิษย์ที่โดดเด่นมากมายเข้าร่วมการประชุม ทำไมพวกข้าถึงต้องให้เจ้าเศษขยะนั้นเข้าร่วมด้วย?” หลิน อวี่ ตอบกลับ ถ้าหลินเฟิงเข้าร่วมการประชุมประจำปีมันจะต้องทำให้ตระกูลถูกหัวเราะเยาะ

 

“เห้ เจ้ากำลังเรียกสมาชิกของตระกูลของเจ้าว่าเป็นเศษขยะ…..มันดูไม่เหมาะสมนะ” กู่ซง ตอบกลับและยิ้ม

 

“เศษขยะ ยังไงก็เป็นเศษขยะ เหตุใดจึงไม่เหมาะสม? นอกจากนี้ข้าซึ่งเป็นสมาชิกหลักของตระกูลด้วยสายเลือด ในไม่ช้าข้าก็เหมาะสมที่จะเป็น……” หลิน อวี่ไม่พูดจบประโยคเพราะเหตุผลบางอย่างทำให้เขาหยุดพูด เขาเพียงพูดพึมพัมและไม่ได้พูดต่อ

 

ในขณะนั้น เศษขยะที่พวกเขากำลังพูดถึง กำลังขี่ม้า และใกล้จะถึงเมืองหยางโจวแล้ว

 

หลังจากที่หลินเฟิงได้เดินทางมา 10 วันแล้วนั้น ใบหน้าของหลินเฟิงยังคงไม่ปรากฏอาการเหนื่อยล้าแต่อย่างใด

 

เมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่ในเมืองหยางโจว เขาดูแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อน การแสดงออกทางสีหน้าของเขาแข็งกระด้างและดูเหมือนกับคนที่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากชีวิต

 

หลินเฟิงสะพายฝักดาบไว้ด้านหลัง เข็มขัดสีเงินที่พันรอบเอวของเขาส่องแสง ขณะอยู่บนหลังม้า ทำให้หลินเฟิงเป็นจุดสนใจจากผู้คนจำนวนมาก เพราะเขาสวมเครื่องแต่งกายของนิกาย บางทีเขาอาจจะเป็นสมาชิกของตระกูลที่มีอำนาจอยู่ในเมือง ผู้ที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ในนิกาย และกำลังกลับมาเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจำปี

 

“เดินต่อไป” หลินเฟิงกล่าว เพราะม้าของเขาชะลอความเร็วลง เมื่อใกล้จะถึงเมืองหยางโจว

 

หลินเฟิงเดินผ่านภัตตาคาร มีเสียงดังมาจากด้านบนของตึก แม้ว่าเสียงที่เขาได้ยินจะเบา แต่หลินเฟิงสามารถได้ยินเสียงที่ดังออกมาได้อย่างชัดเจน หลินเฟิงเงยหน้ามองขึ้นไป และเห็นคนๆหนึ่งมองมาที่เขาเช่นกัน

 

“เห~ ใครกันที่อยู่ข้างล่าง…? นั้นมันนายน้อยจากตระกูลหลินมิใช่หรือ? มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญยิ่งนักที่เจ้าปรากฏตัวมาในช่วงเวลานี้

 

ชายหนุ่มมองลงไปที่หลินเฟิงอย่างเย้ยหยัน หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีใบหน้าผู้คนจำนวนมากปรากฏที่หน้าต่างชั้นบนสุด ในบรรดาพวกเขามีใบหน้าที่มืดมน และดูเหมือนจะคุ้นเคย

 

“หลิน อวี่” หลินเฟิงคิด หลิน อวี่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา และมีสถานะที่สูงภายในตระกูลหลิน แต่เขามาถึงขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณแล้ว เขาไม่ได้มีพรสวรรค์เทียบเท่ากับคนอื่นๆภายในตระกูล ดังนั้นเขาจึงใช้ความจริงที่ว่าเขาเป็นสายเลือดหลักของตระกูล เพื่อยกระดับสถานะของเขาให้เหนือกว่าคนอื่นๆ

 

“หึ…” หลิน อวี่ ไม่มีความเคารพต่อหลินเฟิงแม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้วด้วยความโกรธ เพราะคนอื่นๆจะใช้หลินเฟิง เพื่อเยาะเย้ยตระกูลหลิน

 

“หลินเฟิง พวกข้าเป็นกลุ่มศิษย์ที่มาชุมนุมกันก่อนที่การประชุมประจำปีจะเริ่มขึ้น ขึ้นมาข้างบน และมานั่งกับพวกเราสิ” อย่างที่คิดไว้ กู่ซง ได้เชิญหลินเฟิงมาเข้าร่วมกับพวกเขา เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เจตนาที่ดี

 

“หลินเฟิง เจ้าเดินทางมาไกลมาก เจ้าควรกลับบ้าน และไปพักผ่อนซะ ” หลิน อวี่กล่าว เพราะเขาไม่อยากจะเห็นหลินเฟิง มาเข้าร่วมกับพวกเขา

 

หลินเฟิงยิ้มแดกดันในใจ สถานะของเขายังคงเป็นนายน้อยของตระกูลหลิน หลินเฟิงเห็นหลิน อวี่ไม่แสดงความสุภาพต่อเขาแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่หลิน อวี่จะไม่แสดงความสุภาพ แต่เขากลับพูดคุยกับเขาอย่างไม่สุภาพ

 

“ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ใบหน้าของเจ้าก็มีแต่ความไม่พอใจ” หลินเฟิงคิด จากนั้นเขาก็มองไปที่ กู่ซง และกล่าวว่า ” ก็ได้ ข้าจะขึ้นไปข้างบน”

 

“ช้าก่อน ช้าก่อน” เสียงของหลิน อวี่เย็นชาขึ้น และกล่าวเพิ่มเติมว่า : “หลินเฟิง เจ้าไม่ควรมาที่นี่ พูดตามตรงเจ้าควรวิ่งกลับบ้านไปซะ”

 

“เจ้ากล้าดียังไง” หลินเฟิงตระโกน และมองไปที่นัยน์ตาของหลิน อวี่ และกล่าวเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงที่เย็นช้าว่า : “เจ้าคิดว่าเจ้ามีสถานะเช่นไรภายในตระกูล ถึงทำให้เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้?”

 

หลินเฟิงไม่ใช่คนขี้ขลาด และอ่อนแอ เหมือนแต่ก่อน พ่อของเขามีสถานะที่สูงมากภายในตระกูลเขาเป็นถึงประมุขตระกูลหลิน แล้วหลิน อวี่มีสิทธิที่จะข่มเขาได้เช่นไรภายใต้ลำดับสถานะของตระกูลหลิน ถ้าหลินเฟิงไม่ใช่ผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่ง คนอื่นๆคงจะข่มขู่ฆ่าเขา เมื่อพ่อของเขาไม่อยู่

 

เมื่อหลิน อวี่้เห็นหลินเฟิง พูดคุยกับเขาแบบนี้ ทำให้โกรธเกรี้ยวอย่างมาก เขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ คำตอบเช่นนี้มันจะไม่มีความหมายเมื่อถูกพูดออกมาจากปากคนที่อ่อนแอ ใบหน้าของหลิน อวี่เปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความโกรธ เขาไม่รู้ว่าจะตอบหลินเฟิงไปเช่นไร สถานะของหลินเฟิงสูงส่งกว่าเขามากภายในตระกูล เขาเป็นถึงนายน้อยของตระกูล แม้ว่าหลิน อวี่จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา แต่เขาก็ไม่มีสิทธิที่จะดูถูกหลินเฟิง แม้ว่าเขาจะถูกหลินเฟิงทำให้อับอายต่อหน้าผู้อื่นก็ตาม

 

“เห~ นี่หรือหลินเฟิง ผู้ที่เป็นนายน้อยของตระกูลหลิน” กู่ซง หวังให้พวกเขาทั้งสองทะเราะกัน ดังนั้นเขาจึงทำให้หลิน อวี่โกรธมากขึ้น

 

ในเวลานั้นหลินเฟิงได้ลงจากม้า และส่งมอบบังเหียนให้เจ้าของร้านภัตตาคาร จากนั้นเขาเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม และมุ่งหน้าไปยังห้องส่วนตัวที่มีหลิน อวี่อยู่ข้างใน

 

มี 8 คนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ทุกคนเป็นศิษย์รุ่นเยาว์จากตระกูลที่มีอำนาจต่างๆ

เมื่อพวกเขาเห็นหลินเฟิงเข้ามา ไม่มีใครคนไหนพูดออกมาแม้แต่น้อย ทุกคนนั่งเงียบๆ และจิบไวน์ของตน พวกเขาทุกคนไม่สนใจหลินเฟิงแม้แต่น้อย แม้แต่กู่ซง ผู้ที่เป็นคนเชิญหลินเฟิงขึ้นมาเมื่อตะกี้นี้ยังคงนั่งนิ่ง และยิ้ม

 

“หึ เจ้าเศษขยะทำตัวเองให้เป็นคนโง่เขลา โดยคำเชิญชวนจากนายน้อยของตระกูลกู่ เจ้ามีสถานะอะไรถึงทำให้ตระกูลของข้าต้องถูกขบขัน?” หลิน อวี้ กล่าวและไม่มองหลินเฟิงแม้แต่น้อย ราวกับพูดกับตัวเอง

 

“ลูกชายของประมุขตระกูล นั้นคือสถานะของเขาไง หลิน อวี่ บางทีเจ้าอาจจะลืมเลือนไปบ้าง แต่เจ้าเศษขยะนั้นเป็นลูกชายของประมุขตระกูลหลิน” กู่ซง เตือนความจำหลิน อวี่ เขาสนุกกับสถานการณ์เช่นนี้มาก ที่ทำให้ตระกูลหลินต้องเสียหน้า

หลินเฟิงยิ้ม ทุกคนกำลังมองไปที่กู่ซง หลินเฟิงก้าวเดินออกไปไม่กี่ก้าวไปที่กู่ซง

 

“ข้าขอนั่งได้ไหม?”

 

“อะไรถึงทำให้เจ้าคิดว่าสามารถนั่งในห้องนี้ได้กัน?” เหวินซาน พูดอย่างหยาบคาย ในเมืองหยางโจว มี 4 ตระกูลที่ทรงอำนาจ ตระกูลที่เป็นเจ้าเมืองเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด มีความขัดแย้งระหว่างสามตระกูลใหญที่สุดในเมือง ตระกูลกู่ และตระกูลหลินมีความขัดแย้งต่อกันอย่างมาก ดังนั้นตระกูลกู่จึงไม่พลาดโอกาสที่จะโจมตีตระกูลหลิน ตระกูลเหวิน ก็ไม่พลาดโอกาสนี้ด้วยเช่นกัน

 

“โอ้ เจ้าต้องการจะพูดอะไร?” หลินเฟิงเมินเหวินซาน และถามกู่ซง

“เจ้าไม่เข้าใจรึ? เจ้ามันเศษขยะ เจ้าไม่มีสิทธิที่จะนั่งกับพวกข้า” กู่ซง กล่าวกับหลินเฟิงอย่างดูถูก หลินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก ว่าทำไมสถานะของเขาถึงต่ำต้อยขนาดนี้เมื่อเทียบกับคนพวกนี้

 

“อ่อ อย่างนี้นี่เอง พวกเจ้ากำลังทำให้ข้าเพลิดเพลินใช่ไหม?” หลินเฟิง กล่าวโดยที่เขาไม่สูญเสียความนึกคิดไปแต่อย่างใด เขายังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม

 

“ย่อมได้ เตรียมรับความพ่ายแพ้ซะ ” กู่ซง ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว เขาคิดว่าหลินเฟิงจะยอมจำนน และทำให้ตระกูลหลินอับอายขายหน้า

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments