I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 44 บุ่มบ่าม!

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

เมืองหยางโจว บนถนนหลักของเมืองมีกลุ่มคนจำนวนมากกำลังชุมนุมกันอยู่ บรรยากาศภายในเมืองครึกครื้น และเสียงดังมาก

 

“6 คน รวมชิวหลันด้วยแล้วล่ะก็…..ยังขาดไปอีกที่หนึ่ง มันน่ากลัวเกินไปแล้ว พวกเขาแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งมาก ข้าหวังว่าคนสุดท้ายจะเป็นข้า” ชายหนุ่มคนหนึ่งในฝูงชนกล่าวอย่างมั่นใจ

“ฝันไปเถอะ… พวกเขาได้เลือกคนที่แปดแล้ว; นั่นคือเซี๋ยนฟาง เซี๋ยนฟางอยู่ขั้นที่ 9 ขอบเขตพลังปราณ เขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆในตระกูล ก่อนหน้านี้ถึงเขาจะไม่ได้รับเลือกก็เถอะ… แต่ตอนนี้เขายืนกรานที่จะเข้าร่วมเพราะเขาโกรธที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วม แล้วเจ้าจะต่อสู้กับเซี๋ยนฟางได้อย่างไร?” คนที่ยืนอยู่ข้างๆเขากล่าว

 

“น่ากลัวยิ่งนัก” ชายหนุ่มกล่าว

 

เมื่อชายหนุ่มได้ยินชื่อ “เซี๋ยนฟาง” ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกหดหู่มาก ดูเหมือนว่าครั้งนี้ประมุขตระกูลไม่ได้เลือกเขา

 

ตระกูลน่าหลานได้จัดการประลองยุทธ์ทุกปี แต่ปีนี้นอกเหนือจากตระกูลอันยิ่งใหญ่ทั้ง 4 ตระกูล ยังมีตระกูลอื่นๆอีกที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหยางโจว ศิษย์ที่โดดเด่นจากตระกูลเล็กๆ ก็สามารถเข้าร่วมได้ แต่ตระกูลเล็กๆเหล่านั้นจะสามารถส่งศิษย์เข้าร่วมได้แค่ 8 คนเท่านั้นในการเข้าร่วมประลองยุทธ์ ในกฏเดียวกัน ตระกูลที่อยู่ภายในเมือง ตระกูลน่าหลาน,ตระกูลกู่,ตระกูลหลิน และตระกูลเหวิน ก็สามารถส่งศิษย์ได้สูงสุด 8 คน ศิษย์พวกนี้ควรจะเป็นตัวแทนของศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหยางโจว พวกเขาจะทำให้การประลองยุทธ์แข่งขันกันด้วยเกรียรติของเมืองและตระกูล และจะทำให้ศิษย์ที่โดดเด่นของตระกูลแสดงความสามารถต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก

 

แต่น่าเสียดาย ตระกูลน่าหลาน และตระกูลใหญ่อีกสามตระกูลได้เลือกผู้เข้าร่วมแล้ว ชิวหลันได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วม เพราะนางแข็งแกร่งมาก ณ ตอนนี้มีเจ็ดคนแล้วซึ่งหมายความว่าตระกูลจะต้องเลือกศิษย์คนสุดท้ายเข้าร่วมประลองยุทธ์ และคนสุดท้ายนี้น่าจะเป็นเซี๋ยนฟาง

 

เซี๋ยนฟางสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน เขามีรูปร่างที่ผอม และมีใบหน้าที่หยิ่งทะนง ในขณะนั้นเขาเดินกอดอก เดินออกจากกลุ่มฝูงชน และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ผู้เข้าร่วมคนสุดท้ายคือข้าเอง”

 

เมื่อฝูงชนเห็นถึงความหยิ่งทะนงของเขา ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และความเสียใจ รุ่นเยาว์บางคนต้องการที่จะต่อสู้ตัวต่อตัวกับเขา แต่เมื่อคำนึงถึงความแข็งแกร่งของตัวเองแล้วนั้นพวกเขาต้องระวัง เซี๋ยนฟางมองไปยังฝูงชนนับร้อยอย่างดูถูก

 

“เศษขยะทำไมช่างมากมายเช่นนี้ พวกเจ้าทั้งหมดล้วนขี้ขลาดตาขาว ไม่แปลกเลยว่าทำไมพวกเจ้าถึงไม่ถูกเลือก และเป็นข้าคนนี้ที่ถูกรับเลือกให้เข้าร่วม” เซี๋ยนฟางกล่าวอย่างเยาะเย้ย จากนั้นเขาก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่ ภายในห้องโถงใหญ่ มีผู้คนอยู่เจ็ดคนนั่งนิ่งสงบ หนึ่งในนั้นคือชิวหลัน ส่วนหกคนที่เหลือเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วม

 

“เจ้านั้นมันหยิ่งทะนงจริงๆเหมือนในข่าวลือเลย”

 

“ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่โหดร้ายอย่างมากกับฝ่ายตรงข้าม และใช้วิธีการที่โหดร้ายเพื่อที่จะได้รับชัยชนะ”

 

“แล้วใครกันที่จะกล้าท้าทายเขา? ผลจากการท้าทายเขามีแต่จะหายนะ”

 

“ไม่แน่ บางทีเขาอาจจะทำลายการบ่มเพาะพลังของฝ่ายตรงข้าม”

 

ฝูงชนแสดงความคิดเห็นไปต่างๆนาๆ แม้ว่าจะมีหลายคนเกลียดเซี๋ยนฟาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากที่จะพูด เซี๋ยนฟางทั้งโหดร้าย และโหดเหี้ยม ในหมู่ผู้คนที่อยู่ในขอบเขตพลังปราณมีน้อยคนนักที่จะสามารถเอาชนะเขาได้ ดังนั้นจึงทำให้เขาเป็นคนที่หยิ่งยโส เขาสนุกกับการข่มขู่ผู้ที่อ่อนแอกว่าเขา

 

เหล่าผู้คนที่อยู่ในฝูงชนไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงดูเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่เพื่อรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

 

“เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อน” กล่าวอย่างเสียงดัง ในขณะที่ฝูงชนเงียบสงบทำให้เสียงที่กล่าวชัดเจน และดังมาก ฝูงชนประหลาดใจอยู่สักพัก และจากนั้นเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา ชายหนุ่มคนนี้สวมเสื้อคลุมสีขาว แม้ว่าเสื้อคลุมของเขาจะดูไม่มีราคามากนัก แต่เขาดูสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาสะพายดาบยาวไว้ด้านหลังของเขา ร่างกายของเขาดูแข็งแรงมาก แต่ก็ดูอ่อนโยน เขาให้กลิ่นอายลึกลับแก่ทุกคนที่มองเขา

 

นัยน์ตาของเขามีความล้ำลึกอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างหน้าตาและวัยของเขาดูไม่สอดคล้องกับความรอบรู้ของเขา เมื่อฝูงชนเห็นเขาพวกเขาก็รู้สึกชื่นชม และรู้สึกว่าตัวเองนั้นต่ำต้อย

 

ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวคือหลินเฟิง หลังจากที่เขาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขารู้ว่าจะมีการคัดเลือกสำหรับการประลองยุทธ์ที่กำลังจะมาถึง ทำให้เขารีบมายังที่นี่

 

เซี๋ยนฟางมองไปที่หลินเฟิง เขาก็ยังคงกอดอกอยู่ เขามองไปที่หลินเฟิงอย่างหยิ่งยโสขณะยิ้ม และพูด

 

“เจ้ากำลังบอกให้ข้ารอ?”

 

“ถูกต้อง” หลินเฟิงกล่าว เขาไม่ค่อยเข้าใจการแสดงออกของเซี๋ยนฟาง เขาพยักหน้าอย่างไม่แยแส

 

เซี๋ยนฟางยังคงยิ้ม และมองไปที่หลินเฟิงราวกับเขาเป็นผู้มีพระคุณต่อหลินเฟิง แม้ว่าหลินเฟิงจะอายุน้อยกว่าเขาไม่กี่ปี จากนั้นเขายิ้มและกล่าว: “เจ้ารู้ผลลัทธ์ที่ทำให้ข้าต้องรอหรือไม่?

 

หลินเฟิงยิ้ม และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง มีผู้คนจำนวนมากคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ และคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ และดูเหมือนคนประเภทนี้จะชื่นชอบแสดงพลังของตัวเองกับผู้ที่อ่อนแอกว่า

 

หลินเฟิงเริ่มเดินตรงไปยังเซี๋ยนฟางด้วยท่าทีสงบบนใบหน้า

 

ฝูงชนกำลังสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้น และจ้องมองหลินเฟิง เจ้าบ้านั้นมันจะทำอะไร? เขาน่าจะมีอายุประมาณ 16 ปี ดังนั้นเขาน่าจะอยู่ขั้นที่ 7 หรือ 8 ของขอบเขตพลังปราณ แต่เขากลับคิดว่าตัวเองสามารถปะมือกับเซี๋ยนฟางผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในหมู่ตระกูลเล็กๆในเมืองหยางโจว และถือว่าเขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งในเมือง

 

เจ้าเด็กหนุ่มนั้นต้องการท้าทายเซี๋ยนฟาง……แต่เฉพาะผู้ที่มากพรสวรรค์ และเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหยางโจวเท่านั้นที่สามารถท้าทายเขาได้

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าต้องการที่จะเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ข้าไม่แน่ใจว่าจะชื่นชมความกล้าหาญของเจ้าดีหรือไม่ แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำตอนนี้มันเป็นเรื่องที่โง่มาก…เนื่องจากเจ้าต้องการที่จะท้าทายข้า ข้าจะทำลายการบ่มเพาะพลังของเจ้าสำหรับความโง่เขลาของเจ้าที่คิดว่าตัวเองอยู่ในระดับเดียวกับข้า” เซี๋ยนฟางกล่าวอย่างเกลียดชัง

 

“ชิ้งงงงงงง!”

 

เสียงโลหะของดาบตัดผ่านอากาศ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยแสงสว่างจ้าทั่วพื้นที่ด้านหน้าเซี๋ยนฟาง ทันทีหลังจากนั้นเซี๋ยนฟางล้มลงกับพื้น และเริ่มกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับโอดครวญ มีเลือดไหลออกมาจากปากของเขา เขากระอักเลือดอย่างหนัก เพียงไม่นานเลือดก็กลบปากของเขาแล้ว เซี๋ยนฟางพยายามพยุงตัวเองให้ยืนขึ้น แต่เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ และลุกเข่าลงด้วยเข่าข้างเดียว เลือดไหลออกมาจากปากของเขาไม่หยุด…..หยดเลือดไหลลงสู่พื้นอย่างไม่รู้จบ

 

จากนั้นหลินเฟิงก็เก็บดาบเข้าไปในฝัก

 

เหล่าผู้คนในฝูงชนล้วนรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาทั้งหมดสั่นด้วยความตื่นเต้น และความหวาดกลัว เขา….เขาชนะเซี๋ยนฟางด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว?

 

“แข็งแกร่งยิ่งนัก!” ชายคนหนึ่งกล่าวเขาสั่นกลัวไปถึงกระดูกสันหลังของเขา เขาไม่เพียงแค่เยาว์วัย แต่เซี๋ยนฟางไม่สามารถตอบโต้เขาได้แม้แต่น้อย หลินเฟิงได้แสดงความเมตตาของเขา และความใจดี เมื่อเขาใช้ดาบ มิฉะนั้นป่านนี้เซี๋ยนฟางคงตายไปแล้ว

 

“เจ้าช่างพูดอวดดีเสียจริง เจ้าควรจะระมัดในคำพูดของเจ้าให้มากขึ้น” หลินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น และทิ้งเซี๋ยนฟางไว้เบื้องหลัง ขณะที่มันยังคงคุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นหลินเฟิงก็เดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่ เซี๋ยนฟางจ้องมองหลินเฟิงอย่างเกลียดชัง…หลินเฟิงไม่ชำเลืองมองเขาแม้แต่น้อยราวกับเขาไม่มีค่าพอ ขณะที่เซี๋ยนฟางจ้องมองหลินเฟิงจากด้านหลัง เซี๋ยนฟางได้คิดไปต่างๆนาๆ

 

”เจ้าช่างพูดอวดดีเสียจริง เจ้าควรจะระมัดในคำพูดของเจ้าให้มากขึ้น” เขาพูดประโยคที่หลินเฟิงพูดกับเขาซ้ำไปซ้ำมา

 

เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดคิดไม่คาดฝัน ท้องฟ้ากว้างใหญ่ และมหาสมุทรลึก ใครจะรู้ว่ามันจะกว้างใหญ่ และลึกเพียงใด ผู้บ่มเพาะพลังบางคนเชื่อว่าตัวเองโชคดี หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองเป็นปลาตัวเล็กๆในบ่อขนาดใหญ่ ผู้บ่มเพาะพลังเฉกเช่นเซี๋ยนฟางที่อยู่ในขั้นที่ 9 ของขอบเขตพลังปราณเหมือนกับกบที่อยู่ก้นบ่อ เพราะฉะนั้นผู้ที่อ่อนแอไม่ควรจะทำตัวหยิ่ง และยั่วยุคนอื่น และดาบของหลินเฟิงก็ได้มอบบทเรียนอันลึกซึ้งให้แก่มัน ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้

 

ขณะที่เซี๋ยนฟางพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นยืน เซี๋ยนฟางมองยังแผ่นหลังของหลินเฟิง และโค้งคำนับ เขาไม่ได้จะโจมตีทีเผลอ แต่เขากลับเคารพหลินเฟิง เขารู้สึกขอบคุณที่หลินเฟิงได้สอนบทเรียนแก่เขา เพราะความหยิ่งยโสของเขาอาจทำให้เขาต้องตายได้ มันเป็นบทเรียนที่มีค่ามากสำหรับเขา: เส้นทางการบ่มเพาะพลังไม่ใช่เป็นหนทางเพื่อยั่วยุคนอื่น และไม่ใช่ทำให้ตัวเองถูกคนอื่นยั่วยุปราศจากการตอบโต้

 

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฝูงชนจำนวนมากรู้สึกงงงวย แต่ก็มีบางคนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตามหลินเฟิงก็ไม่ได้เห็นการแสดงออกของผู้คนเหล่านั้น เขายังไม่ได้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แต่การแสดงออกของคนทั้ง 7 ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นเขาใกล้เข้ามา ชิวหลันรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ในภัตตาคารนกหวีด นางเคยเห็นเขา และรู้เรื่องของหลินเฟิงมากมาย นอกจากนี้นางยังรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับหลินเฟิงในตระกูลหลิน

 

“ข้าจะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ในปีนี้” หลินเฟิงกล่าวอย่างผ่อนคลาย แต่เขาก็ยังเคร่งขรึม ขณะมองไปที่ชิวหลัน เขาเป็นคนกล้าหาญ และตรงไปตรงมา เขายืนกรานว่าจะเข้าร่วม

 

“ช่างบุ่มบ่ามยิ่งนัก!” ศิษย์ที่นั่งถัดจากชิวหลันกล่าวขณะทุบโต๊ะ ทำให้โต๊ะที่ทำจากไม้แตกเป็นเสี่ยงๆ

 

”เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถสนทนากับชิวหลันได้ตามที่เจ้าต้องการเช่นนั้นรึ” ศิษย์คนหนึ่งกล่าวอย่างฉุนเฉียว เขาชื่อ อู๋เสี่ยว ทุกๆคนล้วนหลงไหลในความงดงามของชิวหลัน นอกจากนี้นางยังแข็งแกร่งมาก และมีพลังมากกว่าขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 พลังของเซี๋ยนฟางไม่มีอะไรสามารถเทียบนางได้

 

เขาได้เห็นวิธีการที่หลินเฟิงมอบความพ่ายแพ้ให้กับเซี๋ยนฟางด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ราวกับมันเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับหลินเฟิง เขาได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหลินเฟิง ดังนั้นในขณะนี้ การแสดงออกของอู๋เสี่ยวทำเพื่อให้ชิวหลันหันมาสนใจเขา

 

หลินเฟิงชำเลืองมองอู๋เสี่ยว จากนั้นเขาก็เดินผ่านมันไป หลังจากนั้นอู๋เสี่ยวก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณอันแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะสู้

 

แสงสีขาวของดาบแทงอู๋เสี่ยวอย่างรวดเร็วทำให้เขาไม่มีเวลาพอที่จะตอบสนองได้ทัน เขาหงุดหงิดอย่างมากที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ทัน

 

หลังจากที่หลินเฟิงทะลวงผ่านไปยังขอบเขตจิตวิญญาณ ทำให้หลินเฟิงรวดเร็ว และคล่องแคล่วมากกว่าแต่ก่อนที่เคยเป็น หลินเฟิงคว้าคอของอู๋เสี่ยวและลากเขาไปที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่

“ทำไมเศษขยะเช่นเจ้าถึงได้เข้าร่วมการประลองยุทธ์ได้? ทั้งๆที่เจ้าไร้ประโยชน์ขนาดนี้

 

หลินเฟิงพูดเสียงดัง และเตะร่างของอู๋เสี่ยวบินออกจากห้องโถงใหญ่ และกลิ้งลงไปตามบันได ไปยังจัตุรัสกลางที่มีฝูงชนยืนอยู่มากมายหลายคน…

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments