I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 46 เริ่มต้นการประลองยุทธ์

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

เวทีประลองมีขนาดใหญ่มาก และมีเวทีประลองเล็กๆหลายเวที ตระกูลน่าหลานจะนั่งสูงกว่าตระกูลอื่นๆ พวกเขาราวกับขุนศึกมองลงมาเบื้องล่าง นอกจากนี้ยังมีตระกูลที่ทรงอำนาจอื่นๆอีก เช่น ตระกูลกู่ ตระกูลหลิน ตระกู่เหวิน และชิวหลันมีบทบาทสำคัญมากในหมู่ตระกูลเล็กๆ ในขณะนั้น ในหมู่สมาชิกตระกูลน่าหลานมีชายชราคนหนึ่งนั่งติดกับน่าหลานซงกำลังลุกขึ้นยืน และเริ่มจ้องมองเวทีต่อสู้

 

“วันนี้เป็นการประลองยุทธ์ประจำปีของพวกเรา วัตถุประสงค์ของการประลองยุทธ์ครั้งนี้ คือ การทอสอบความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะพลังรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหยางโจว ดังนั้นมันจะไม่มีการแสดงความเมตตาใดๆ ผู้ที่แพ้จะได้รับอนุญาตให้ยอมจำนน และในกรณีที่มีคนยอมแพ้ การต่อสู้จะถูกยกเลิกทันที ถ้าไม่มีใครยอมจำนนการต่อสู้ก็จะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ หรือตาย”

 

เมื่อชายชราพูดจบ ทำให้ฝูงชนเกิดความแตกตื่น… การต่อสู้จะดำเนินต่อไปจนกระทั่งต้องมีคนตายหากไม่มีใครยอมแพ้…โหดเหี้ยมยิ่งนัก!

 

มีผู้บ่มเพาะพลังบางคนที่ภูมิใจในตัวเองมาก และหยิ่งยโส ให้ความสำคัญกับชื่อเสียง และศักดิ์ศรี การที่พ่ายแพ้จากการต่อสู้โดยการขอยอมแพ้เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากสำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนจำนวนน้อยมากที่เต็มใจยอมจำนน แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าไม่มีโอกาศชนะ แต่พวกเขาก็ต้องสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี และเกียรติยศของพวกเขา แต่ประโยคที่ชายชรากล่าวทำให้ฝูงชนต้องคิดอย่างรอบคอบ ไม่มีการยับยั้ง และสามารถต่อสู้จนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งได้ ถ้าฝ่ายตรงข้ามทั้งสองมีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันแล้วใครจะเป็นคนกล่าวยอมแพ้ พวกเขาสามารถต่อสู้กันได้เรื่อยๆ อาจจะจบลงด้วยความเกลียดชัง และความขมขื่นต่อฝ่ายตรงข้าม

 

“ช่างเป็นวิธีที่ฉลาด และหลักแหลมนัก!” หลายคนสนับสนุนคำพูดของชายชรา เห็นได้ชัดว่าชายชราได้วางแผนที่จะเพิ่มความเกลียดชังระหว่างตระกูลอื่นๆ โดยบังคับให้พวกเขาดูสมาชิกที่มีพรสวรรค์ตายดีกว่าที่จะยอมแพ้ เขาทำเช่นนี้เพื่อยับยั้งความเกลียดชังระหว่างคนรุ่นหลัง แต่เพิ่มความเกลียดชังให้กับคนรุ่นก่อนๆ ด้วยวิธีนี้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็จะไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ตระกูลน่าหลานได้ เพราะพวกเขาเป็นตระกูลเจ้าภาพที่จัดการประลองยุทธ์ขึ้น ทำให้พวกเขาตั้งกฏขึ้นมาเองได้ แต่ก็หมายความว่าสมาชิกของตระกูลน่าหลานก็อาจถูกฆ่าตายภายในเวทีประลองได้เช่นกัน ฝูงชนรู้ว่าพวกเขาจะต้องเห็นบางคนถูกฆ่าตาย จากตระกูลต่างๆของเมืองหยางโจว และดูเหมือนพวกเขาจะหว่านเมล็ดแห่งความเกลียดชังอีกครั้งหนึ่ง น่าหลานซงอยากเห็นตระกูลอื่นๆเกลียดชังกัน แม้ว่าตระกูลใหญ่อีก 3 ตระกูลจะรู้ว่าน่าหลานซงวางแผนอะไร พวกเขาไม่มีทางเลือกได้แต่เห็นด้วย

 

เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการเสียหน้า เพราะพวกเขาได้รับเลือกให้เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง สิ่งเดียวที่พวกทำได้คือบอกศิษย์รุ่นเยาว์ของพวกเขา ให้ดิ้นรนเพื่อชัยชนะด้วยกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี นอกจากนี้ชายชรายังกล่าวว่า ผู้ใดที่ปรารถนายอมแพ้ การต่อสู้จะสิ้นสุดทันที ดังนั้นกฏมันจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันไม่สามารถแย้งกับทางเลือกที่ได้รับได้…แต่ใครจะยอมรับว่าตระกูลของตนเองต่ำต้อยกว่าตระกูลฝ่ายตรงข้าม?

 

“ข้าเขียนรายชื่อผู้เข้าร่วมการประลองยุทธ์ในปีนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่ามีผู้ใดคัดค้านการทำหน้าที่ของข้าหรือไม่” ชายชรากล่าวขณะมองไปยังสมาชิกของตระกูลที่ทรงอำนาจทั้งสามตระกูล

 

“ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดโดยตระกูลน่าหลาน…แน่นอนข้าเห็นด้วย” ประมุขตระกูลกู่กล่าว แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจกับกฏพวกนั้นมากนัก

 

“การประลองยุทธ์ที่ผ่านมาก็ถูกจัดโดยตระกูลน่าหลาน และควบคุมจัดการโดยพวกเขาเช่นกัน แม้แต่ในตอนนี้ก็เช่นกัน”

 

“ข้าไม่มีข้อคัดค้านใดๆ” หลินป้าเต้ากล่าว เขาไม่คัดค้านตระกูลน่าหลานแม้แต่น้อย

 

“ข้าเป็นตัวแทนของตระกูลน่าหลาน และข้าขอขอบคุณประมุขตระกูลทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ” ชายชรากล่าวขณะมองสมาชิกของสามตระกูล และประกาศว่า: “กฏเป็นเช่นนั้น และจะถูกนำมาใช้ทุกๆการประลองรอบแรก: ผู้พ่ายแพ้จะต้องถูกขับไล่ ผู้ชนะสามารถดำเนินการแข่งขันต่อได้”

 

“และตอนนี้ ข้าจะประกาศว่าการต่อสู้จะเป็นเช่นไร ทุกคนที่ได้ยินชื่อของตัวเองสามารถยืนอยู่เวทีประลองได้ ส่วนผู้ที่ไม่ถูกเรียกสามารถลงไปจากเวที และรอได้ บนเวทีประลองของน่าหลาน, น่าหลานเฟิ่ง จะต่อสู้กับเหวินซิน จากตระกูลหวิน; บนเวทีตะวันออก, กู่หยุนจากตระกูลกู่ ต่อสู้กับหลินอู๋ จากตระกูลหลิน; บนเวทีทางทิศใต้, หลิน อวี่ จากตระกูลหลิน ต่อสู้กับเหวินเฟิง จากตระกูลเหวิน; เวทีประลองตะวันตก, น่าหลานจู่ ต่อสู้กับ เฟิงเฉียน ; บนเวทีทิศเหนือ, ตั๋วมิ่ง ต่อสู้กับ กู่ชิง จากตระกูลกู่”

 

มีเวทีประลอง 5 เวที และต่อสู้ 10 คนในคราวเดียว มีจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด 40 คน 4 รอบก็เพียงพอที่จะกัดจัดพวกเขาออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อให้เหลือ 20 คน บรรดาผู้ที่ไม่ได้ถูกเรียกชื่อได้ก้าวลงมาจากเวที ขณะที่ผู้คนที่ถูกเรียกชื่อกำลังไปยังเวทีประลองของตน

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เหวินซิน ช่างโชคร้ายยิ่งนัก ต้องต่อสู้กับน่าหลานเฟิงในรอบแรก”

 

แม้ว่าเหวินซินจะไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาไม่โอกาศชนะน่าหลานเฟิงแม้แต่น้อย

 

“ข้าได้ยินว่าหลินอู๋ จากตระกูลหลินแข็งแกร่งมาก เขาบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 เรียบร้อยแล้ว เขาจะต้องเป็นผู้ชนะในเวทีตะวันออกอย่างแน่นอน”

 

“บนเวทีทิศใต้ เหวินเฟิงควรจะชนะการต่อสู้ บนเวทีทิศเหนือ เฟิงเฉียนน่าจะเป็นผู้ชนะ ในเวทีประลองสุดท้ายแม้ว่าตั๋วมิ่งจะเป็นคนที่ลึกลับมาก เพราะเขาสวมหน้ากาก แต่กู่ชิงเขาแข็งแกร่งมาก ช่างโชคร้ายนักที่ตั๋วมิ่งต้องต่อสู้กับเขา”

 

การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่มต้น แต่ฝูงชนมากมายก็มั่นใจในผลลัพธ์ที่พวกเขาได้คาดเดา หลังจากที่ฝูงชนทุกคนรู้ว่าศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นคนของเมืองหยางโจว ทำให้พวกเขารู้จุดแข็ง และจุดอ่อนของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง

 

แต่ในเวทีทางทิศเหนือ ตั๋วมิ่งเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก เพราะเขาสวมหน้ากาก พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อของเขาแม้แต่ครั้งเดียว และมีกลิ่นอายที่น่าดึงดูดรอบๆตัวเขา เขามีความลึกลับมาก และโชคร้ายนักที่เขาต้องต่อสู้กับกู่ชิง เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว อันที่จริงกู่ชิงอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตพลังปราณแล้ว มีผู้บ่มเพาะพลังไม่กี่คนเท่านั้นในขอบเขตพลังปราณที่สามารถต่อสู้กับเขา และเอาชนะได้ ศัตรูที่แท้จริงของเขาส่วนใหญ่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณ กู่ชิงเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในภูมิภาคนี้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ตั๋วมิ่งจะเอาชนะกู่ชิงได้

 

การคาดการณ์ของฝูงชนค่อยข้างแม่นยำ เหวินซินไม่ได้ต่อสู้กับน่าหลานเฟิ่ง และต้องขอยอมแพ้ แม้ว่าศักดิ์ศรีของเขาจะสำคัญ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับน่าหลานเฟิ่งมันไม่มีอะไรที่ต้องละอายใจ การต่อสู้กับน่าหลานเฟิ่งแน่นอนมันหมายถึงความตาย

 

เวทีตะวันออก และตะวันตก ผลลัพธ์ของการต่อสู้ค่อยๆทะยอยออกมาเรื่อยๆ และการคาดการณ์ของฝูงชนล้วนถูกต้อง หลินอู๋,เหวินเฟิง และเฟิงเฉียน ชนะคู่ต่อสู้ของพวกเขา และเดินหน้าเข้าสู่การประลองรอบต่อไป เฉพาะการต่อสู้ในเวทีทางทิศเหนือเท่านั้น ที่ยังคงดำเนินต่อไป และทำให้ผู้ชนเริ่มนิ่งเงียบ

 

ในสายตาของกู่ชิง ตั๋วมิ่งเป็นตัวตนที่ไร้ค่า เขามองตั๋วมิ่งราวกับมดพร้อมที่จะถูกบดขยี้ใต้ฝ่าเท้าของเขาบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง กู่ชิงยังคงมองไปยังการต่อสู้ในเวทีอื่นๆ แทนที่เขาจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามของตัวเอง อย่างไรก็ตามเขาสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามของตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ ดังนั้นเขาจึงต้องการทำความคุ้นเคยรูปแบบการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามในเวทีประลองอื่นๆก่อน

 

“ข้าจะไม่สู้กับน่าหลานเฟิ่ง ดังนั้นข้าหวังว่าจะไม่ถูกจับเป็นคู่ต่อสู้กับนางในการต่อสู้รอบถัดไป หลินอู๋ และเหวินเฟิงมันง่ายมากที่จะชนะพวกเขา แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ เฟิงเฉียนดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก แต่ข้าก็สามารถที่จะจัดการเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ชัยชนะของข้าช่างง่ายดายนักถ้าต้องต่อสู้กับพวกมันทั้งสามคน……”

 

กู่ชิง กำลังขบคิด ราวกับว่าชายหนุ่มที่สวมหน้ากากสีเงินที่อยู่เบื้องหน้าเขาไม่มีตัวตนอยู่ และคิดเกี่ยวกับการต่อสู้รอบถัดไป

 

ในที่สุด เฟิงเฉียนก็คว้าคอฝ่ายตรงข้ามของน่าหลานจู่ได้ น่าหลานจู่ไม่ต้องการต่อสู้ต่อ และยอมจำนวน ทำให้ความสนใจของทุกๆคนอยู่บนเวทีทางทิศเหนือ

 

“มันจบแล้ว ทำไมถึงรวดเร็วเช่นนี้!” ฝูงชนกล่าวอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าการประลองรอบแรกกำลังถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

 

“กู่ชิง หยุดทำให้เสียเวลาได้แล้ว” ประมุขตระกูลกู่กล่าวอย่างไม่แยแส เพราะกู่ชิงสามารถจบการต่อสู้เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ

 

“เอาล่ะ ข้าควรจะทำตามคำขอของประมุขตระกูล” กู่ชิงตอบ จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่หลินเฟิงผู้ที่ซ่อนตัวตนอยู่เบื้องหลังหน้ากากสีเงิน และพูดอย่างเย็นชาว่า:

 

“ลงไปจากเวทีประลองซะ เจ้าไม่มีค่าพอที่จะสู้กับข้า”

 

หลินเฟิงแตะหน้ากากของเขา ทำให้กู่ชิงเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นนัยน์ตาของเขา และเห็นใบหน้าของเขาเล็กน้อย แต่มันก็ไม่สามารถมองเห็นการแสดงออกสีหน้าของเขาได้

 

หลินเฟิงยังคงทำตัวเฉยเมยต่อกู่ชิง เขาไม่ได้รีบต่อสู้ และยังคงสงเกตการต่อสู้จากเวทีอื่นๆ ตอนนี้เขาไม่ต้องกังเวลอะไรอีกแล้ว กู่ชิงเป็นคนที่หยิ่งยโสมาก และบอกกับเขาว่าไม่มีค่าพอที่จะต้องสู้ด้วย และให้ลงไปจากเวทีซะ ตามคติของหลินเฟิงผู้ใดเครารพเขา มันก็จะได้รับความเมตตาจากเขา แต่กู่ชิงไม่มีความเคารพต่อเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“เจ้าได้ยินคำพูดของข้าหรือไม่? ข้าบอกให้เจ้าลงไปจากเวทีซะ…..ไปให้พ้นหน้าข้าซะ! ถ้าเจ้าไม่ฉลาดพอที่จะลงจากเวทีไปด้วยตัวเอง ถ้างั้นข้าจะฆ่าเจ้าทันที” กู่ชิงเห็นหลินเฟิงยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทำให้เขาขมวดคิ้ว

 

บุคคลที่มีพรสวรรค์ในตระกูลที่ทรงอำนาจ จะเกลียดผู้บ่มเพาะพลังที่คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ และมากจากตระกูลที่ต่ำต้อย หากปราศจากผู้ที่สนับสนุนอันแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกเขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนัก และมีการพัฒนาการเพียงนิดเดียว แล้วผู้บ่มเพาะพลังที่มาจากตระกูลที่ต่ำต้อยจะกลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์ได้เช่นไร ถ้าหากพวกเขาไม่ได้อยู่ในตระกูลที่ทรงอำนาจ? ผู้คนชื่นชอบตั๋วหมิงที่ไม่ได้มาจากตระกูลที่ทรงอำนาจ และไม่มีชื่อเสียง และทำให้ตระกูลของเขามาถึงจุดๆนี้ได้ ด้วยเหตุผลนี้กู่ชิงจึงเกลียดผู้บ่มเพาะพลังประเภทนี้มาก และถือว่าพวกเขานั้นต่ำต้อย

 

“ข้ายังคงไม่เปลี่ยนใจ ข้าจะคว้าโอกาสนั้น และทำให้เจ้าพ่ายแพ้” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทำให้ฝูงชนทุกคนประหลาดใจ หลังจากนั้นก็มีบางคนยิ้ม หรือว่าเขาจะเป็นคนสติไม่ดี?

 

ชิวหลันไม่ได้หัวเราะ นางคิดว่าหลินเฟิงเป็นคนที่ลึกลับมาก เขาดูแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์ นางได้เห็นวิธีการที่หลินเฟิงทำให้อู๋เสี่ยวพ่ายแพ้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

 

“กู่ชิง…ข้าหวังว่าเจ้าคงเตรียมพร้อมแล้วที่จะเผชิญความตาย” เฟิงเฉียนตะโกนผู้ที่กำลังจดจ่อกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวทีทางทิศเหนือ เขาตระหนักว่าพฤติกรรมของกู่ชิงจะนำพาเขาไปสู่ความตาย หลังจากได้รับบทเรียนจากหลินเฟิงแล้ว เขาจะต้องเติบโตขึ้น และตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเอง การที่ทำตัวไร้ความเคารพต่อหลินเฟิง หลินเฟิงก็จะไม่มอบความเมตตาใดๆให้

 

ใบหน้าของกู่ชิงเปลี่ยนไป เขาไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลินเฟิงที่พูดคุยกับเขา เขาไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้ ผู้ที่ไม่ได้มาจากตระกูลที่ทรงอำนาจเช่นเดียวกับเขา กล้าที่จะพูดกับเขาเช่นนี้ เขาเป็นศิษย์ลำดับที่สองของตระกู่ ในหมู่ศิษย์ขอบเขตพลังปราณ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่ง และมีพรสวรรค์มากจากสมาชิกคนอื่นๆในตระกูลกู่ของเขา

 

“จัดการมัน” กู่ฉิงกล่าวเสียงดัง และเยือกเย็นทำให้ทุกคนสั่นเทา หลินเฟิงจะต้องพ่ายแพ้ คำพูดของกู่ฉิง หมายความว่าเขาต้องการให้กู่ชิงฆ่าหลินเฟิง

 

“ขอรับ” กู่ชิงกล่าว เขาสังเกตเห็นว่าพ่อของเขาผู้ที่เป็นประมุขตระกูลกำลังโกรธเกรี้ยวอย่างมาก เขาเริ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เขาไม่ต้องการให้หลินเฟิงมีโอกาสที่จะยอมจำนน

 

“หมัดพิษ!” กู่ชิงตะโกน

 

กำปั้นของเขาส่งเสียงดังออกมา ขณะที่มันเริ่มทะลุทะลวงผ่านอากาศราวกับว่าเขาต้องการที่จะทำลายบรรยากาศแตกออกเป็นชิ้นๆ

 

แต่หลินเฟิงยังคงนิ่งราวกับภูผา ในขณะที่หมัดพิษกำลังเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ แต่จู่ๆก็มีแสงสว่างส่องประกายอยู่ข้างหน้าของเขา การฟาดฟันดาบของหลินเฟิงมันรวดเร็วเกินไปกว่าที่ทุกคนจะสามารถสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้

 

ราวกับเวลาหยุดลง และทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่มีใครในหมู่ฝูงชนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าทำไมกู่ชิงถึงหยุดเคลื่อนไหว ทันใดนั้นร่างของกู่ชิงค่อยๆร่วงหล่นกระแทกพื้น และศีรษะเริ่มหลุดออกจากร่างของเขา ทำให้ฝูงชนที่จ้องอยู่ตกอยู่ในความเงียบอย่างสมบูรณ์…

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments