I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 47 ดาบของตั๋วมิ่ง

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

ฝูงชนจ้องมองไปยังศพของกู่ชิงที่กองอยู่บนเวทีทางทิศเหนือ เขาถูกสังหารด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวและยังรวดเร็วเกินกว่าที่จะมองเห็น กู่ชิงจะแข็งแกร่งและทรงพลัง แต่เขายังถูกสังหารในพริบตา แม้ว่าจะได้รับโอกาสให้ยอมจำนน

 

“ดาบนั่น… มันรวดเร็วเกินไป! มันคือทักษะอะไรกัน!” ชายคนหนึ่งอ้าปากค้างจนน้ำลายเกือบไหลออกมา พวกเขาไม่แม้จะเห็นการเคลื่อนไหวหรือทักษะของชายสวมหน้ากากด้วยซ้ำเพราะมันรวดเร็วจนเกินไป มีเพียงสิ่งเดียวที่พอคาดเดาได้คือความเร็วที่น่าเหลือเชื่อและความแม่นยำที่น่ากลัว

 

เฉพาะผู้ที่ฝึกฝนทักษะจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบที่จะทำการโจมตีอย่างแม่นยำเช่นนี้ได้ ดาบของเขาคลายกับเงาลึกลับที่หลบเลี่ยงการสังเกตจากฝูงชน พวกเขาจ้องมองที่หลินเฟิงและคิดถึงแสงที่เพิ่งเห็น เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ทักษะดาบในเสี้ยววิและลงมือด้วยพลังที่น่ากลัว เขาสังหารกู่ชิงได้อย่างง่ายดาย

 

“แข็งแกร่ง!” เฟิงเฉียนจ้องมองไปที่หลินเฟิง เขาจิตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหากว่าเขาเป็นผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับหลินเฟิง เขาคงไม่ทันสังเกตแม้เพียงปลายดาบก่อนที่ศีรษะของเขาจะหลุกออกจากบ่าแน่นอน แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลงมุมมองของเฟิงเฉียน เขามั่นใจและเคารพในความแข็งแกร่งของหลินเฟิง แม้ว่าเขาจะมีเวลาบ่มเพาะพลังอีก 2-3 ปี เขาก็ไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับหลินเฟิงในตอนนี้เด็ดขาด

 

กู่ฉิงยืนขึ้นและจ้องมองไปบนเวทีประลอง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เมื่อมองไปยังศพของลูกชาย เขาปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา กู่ชิงตายแล้ว… หนึ่งในรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลกู่ตายแล้ว เขาไม่สามารถตอบสนองได้ทันต่อดาบของฝ่ายตรงข้ามได้ กู่ฉิงเครียดแค้นหลินเฟิงจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

“เจ้ากล้าสังหารลูกชายข้า!” กู่ฉิงคำรามออกด้วยเสียงที่ทรงพลังทำให้จิตใจของผู้คนสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่กู่ฉิงที่กำลังโกรธ ม่านตาของหลินเฟิงกลายเป็นดำสนิทและกล่าวตอบว่า ” ตอนที่ข้ายืนอยู่บนนี้และยังไม่ได้ทำอะไร ท่านเป็นคนพูดแทรกขึ้นมาเองไม่ใช่หรือว่าให้เขารีบๆสังหารข้า? ทำไมท่านโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้?”

 

เมื่อกู่ฉิงได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขายังคงจมอยู่ในความเงียบ กู่ฉิงต้องการให้กู่ชิงสังหารหลินเฟิง แล้วหลินเฟิงจะไม่สังหารกู่ชิงได้อย่างไร? สำหรับมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิต เนื่องจากกู่ชิงเป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลกู่และยังต้องการที่จะสังหารหลินเฟิง แต่อย่างไรก็ตามเขากลับถูกสังหารโดยหลินเฟิงแทน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ชอบธรรม แต่มันก็ถือเป็นความผิดในสายตากู่ฉิง

 

” ดีมาก เจ้าทำได้ดีจริงๆ! เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว!” กู่ฉิงกล่าวอย่างไม่แยแส เขาไม่พยายามปกปิดความตั้งใจฆ่าของเขา

 

เหล่าฝูงที่ได้ยินต่างเห็นใจหลินเฟิง แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งและสามารถสังหารรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของตระกูลกู่ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ก็ไม่มีทางที่ตระกูลกู่จะปล่อยให้เขามีชีวิตรอดไปได้

 

“นามของข้าคือ ตั๋วมิ่ง ” หลินเฟิงกล่าวขณะจ้องมองเข้าไปในตาของกู่ฉิง จากนั้นเขาก็ลงจากเวทีและยังกล่าวอีกว่า ” ถ้าตระกูลกู่ต้องการที่จะขวางทางข้า ข้าจะประดับเวทีประลองด้วยหัวของพวกมัน ”

 

“เอ่อ…. ”

 

ฝูงชนกลายเป็นโง่งมด้วยคำพูดของหลินเฟิง มันเหมือนกับว่าเขาได้ท้าทายตระกูลกู่และถ่มน้ำลายลงบนหน้าของพวกเขา ชายที่ชื่อตั๋วมิ่งบ้าบิ่นเกินไป เขาช่างหยิ่งยโสยิ่งนัก

 

เขาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา มันน่าประหลาดใจมากที่เขากล้าที่จะท้าทายตระกูลกู่ที่ยิ่งใหญ่ ตั๋วมิ่งกล่าวเขาจะสังหารเหล่าตระกูลกู่ทุกคนที่มาขวางทางของเขา แบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาได้ท้าทายทุกคนในตระกูลกู่

 

รุ่นเยาว์ของตระกูลกู่ที่ได้ยินสิ่งที่ตั๋วมิ่งได้อย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาต่างอยู่ในความสับสนและสาปแช่งด้วยความโกรธ แม้ว่าพวกเขาจะสาปแช่งด้วยถ้อยคำที่รุนแรงออกมาแต่พวกเขาก็ยังคงเป็นกังวล พวกเขาคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการไม่ไปขวางทางตั๋วมิ่ง เขาสังหารกู่ชิงด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว… ในตระกูลกู่ นอกจากขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว เกรงว่าจะไม่มีใครต่อกรกับตั๋วมิ่งได้ ทางที่ดีที่สุดคือให้ตั๋วมิ่งต่อสู้กับสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลกู่ กู่เหยียน ถ้าทำเช่นนั้นอาจจะแก้แค้นให้กับกู่ชิงได้

 

พวกเขาไม่มีข้อกังขาในความแข็งแกร่งของกู่เหยียน เขาเป็นผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจิตวิญญาณ ตั๋วมิ่งไม่มีทางที่จะเอาชนะเขาได้แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมากก็ตาม

 

“ถ้าข้าได้เจอกับมัน ข้าจะมอบความตายที่โหดเหี้ยมให้กับมันเอง ” กู่เหยียนกล่าวขณะยืนอยู่ท่ามกลางสมาชิกตระกูลกู่และจ้องมองไปยังตั๋วมิ่งด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยจิตสังหารที่เยือกเย็น กู่เหยียนต้องการที่จะสังหารตั๋วมิ่งเพื่อที่จะกู้หน้าให้กับตระกูล

 

รอบแรกไม่ได้ใช้เวลานานนักและในที่สุดมันก็จบลง ผู้ประลองเหลือ 20 คน จะมีการประลองมากกว่า 2 ครั้งในแต่ละเวที และจะเหลืออยู่เพียงแค่ 10 คนบนเวที

 

ในรอบนี้ หลินเฟิงไม่ได้เผชิญหน้ากับสมาชิกตระกูลกู่ แต่เขาต้องเจอกับรุ่นเยาว์ที่น่าอัศจรรย์ของตระกูลน่าหลาน น่าหลานเฉิน

 

“ถ้าเจ้าสามารถสู้ได้ จงสู้ แต่ถ้าเจ้าคิดว่าไม่ไหว ก็จงยอมแพ้เสีย” น่าหลานเฟิงกล่าวกับน่าหลานเฉิน ก่อนที่จะกลับไปนั่งในท่าทีที่หยิ่งยโสขณะจ้องมองไปยังเวทีประลองทิศเหนือ

 

“ขอรับ” น่าหลานเฉินพยักหน้า แต่เขาก็ยังกระตือรือร้นที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างกู่ชิง เขาอยู่ในรอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 และคิดว่าชื่อเสียงของกู่ชิงยังไม่เป็นที่น่าพอใจ น่าหลานเฉินยังคิดว่ากู่ชิงประมาทตั๋วมิ่งมากเกินไป ทำให้เขาตกตายอย่างรวดเร็ว คราวนี้ น่าหลานเฉินจะต้องมอบความพ่ายแพ้ให้แก่ตั๋วมิ่งและจะสร้างชื่อเสียงและความนับถือให้กับตัวเอง

 

หลินเฟิงผู้ที่อยู่ภายใต้หน้ากากจ้องมองไปยังน่าหลานเฟิงอย่างเย็นชา ถ้าพวกเขาได้สู้กัน มันจะไม่จบเพียงแค่ยอมจำนนเด็ดขาด

 

 

หลินเฟิงไม่มีทางลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ที่ตระกูลน่าหลานส่งคนมาไล่ล่าและต้องการที่จะสังหารเขา ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพราะเขาปฏิเสธที่จะให้น่าหลานเฟิงร่วมโต๊ะ

 

“ข้าจะใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่ข้ามีเพื่อมอบความพ่ายแพ้ให้กับเขา ข้าจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าตระกูลของข้ามีชื่อเสียงและทรงพลังแค่ไหนเมื่อเทียบกับตระกูลที่เหลือ” น่าหลานเฉินกล่าวขณะที่มองไปยังหลินเฟิงและพร้อมที่จะต่อสู้

 

“ก็ได้ มาเริ่มกันเลย” หลินเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา เขาต้องการที่จะดูเหมือนกันว่าตระกูลน่าหลานนั้นจะทรงพลังสักแค่ไหน

 

“จิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์”

 

แม้ว่าน่าหลานเฉินต้องการที่จะปกป้องชื่อเสียงตระกูลน่าหลานและสร้างชื่อให้กับตัวเอง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะต่อกรกับหลินเฟิงด้วยความประมาท ดังนั้นเขาจึงปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมา เบื้องหลังของเขาปรากฏจิตวิญญาณรูปแขนขนาดใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่พุ่งทะยานไปสู้ท้องฟ้าราวกับมันต้องการที่จะปีนป่ายไปให้ถึงสรวงสวรรค์

 

“เฉพาะคนที่มีสายเลือดโดยตรงจากน่าหลานเท่านั้นที่จะมีจิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์ มันช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก!”

 

“กล่าวกันว่าจิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์ สามารถที่จะมอบความแข็งแกร่งดั่งพระเจ้าได้ ตั๋วมิ่งจะสามารถต่อกรกับจิตวิญญาณที่ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

“เพียงหมัดเดียวจะนำพาเขาไปสู่ความตาย”

 

เพราะเขาปลดปล่อยจิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว น่าหลานเฉินจึงมีความมั่นใจอย่างมาก และยังโจมตีอย่างโหดร้ายไปที่หลินเฟิง

 

“หมัดศักดิ์สิทธิ์!”

 

น่าหลานเฉินคำราม หมัดของเขายังไม่ถึงเป้าหมาย ออร่าจากหมัดได้ฉีกกระชากอากาศ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพลังธาตุ

 

“แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้! นั่นคือความแข่งแกร่งของจิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกครอบครองโดยสมาชิกตระกูลน่าหลานเท่านั้น”

 

“ไม่เพียงแต่น่าหลานเฉินจะอยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 แต่ยังสามารถใช้พลังธาตุได้แล้ว..”

 

ฝูงชนต่างตกตะลึง หลินเฟิงถูกห้อมล้อมด้วยพลังปราณที่แข็งแกร่งจากหมัดและอากาศรอบตัวของเขาเริ่มบิดเบี้ยว เงาหมัดมากมายเต็มไปทั่วท้องฟ้า

 

“รนหาที่ตาย” หลินเฟิงกล่าว ประกายแสงสีเงินพาดผ่านอากาศ ทั่วทั้งบรรยากาศเต็มไปด้วยแสงมากมาย เงาหมัดขนาดใหญ่หายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงประกายแสงที่ถูกปลดปล่อยออกจากดาบของหลินเฟิงที่ยังคงเปล่งประกาย

 

การแสดงออกทางสีหน้าของน่าหลานเฉินเปลี่ยนไป เขาไม่หยุดที่จะปล่อยหมัดต่อไปเรื่อยๆในขณะที่กำลังถอยหลัง เขาเตรียมพร้อมหากการโจมตีแรกของเขาล้มเหลว

“ตาย”

 

หลินเฟิงกล่าวเพียงหนึ่งคำ น่าหลานเฉินราวกับว่าหัวใจของเขาถูกแทง จู่ๆ ก็มีประกายแสงพุ่งออกมาจากดาบ ทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศและเจาะลึกเข้าไปที่ลำคอของน่าหลานเฉิน ร่างของเขาถูกส่งบินออกไป และกระแทกลงบนพื้นศีรษะของเขาถูกยึดกับเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อย มีรูขนาดใหญ่ที่คอ ตาของเขาเบิกกว้างและเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

จิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์สร้างปาฏิหาริย์ที่น่าตกใจ… แต่ดาบของหลินเฟิงสามารถที่จะทำลายมันลงได้อย่างง่ายดาย”

 

“การโจมตีของดาบทรงพลังมาก และผู้ใช้ยังทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์”

 

เมื่อฝูงชนเห็นร่างของน่าหลานเฉินกองอยู่กับพื้น พวกเขารู้สึกสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลังและจ้องมองไปยังหลินเฟิง ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็สามารถที่จะสังหารฝั่งตรงข้ามได้

 

น่าหลานซง ผู้นำตระกูลน่าหลาน แสดงสีหน้าที่น่ากลัวและจ้องมองไปยังหลินเฟิง

“เจ้ากล้าหาญมาก ที่กล้าสังหารสมาชิกตระกูลน่าหลาน” หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ น่าหลานเฟิงก็ตระโกนออกไปด้วยความโกรธ

 

หลินเฟิงเงยศีรษะขึ้นและจ้องมองไปยังน่าหลานเฟิง จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าว “ตอนนี้ข้าเข้าใจกฎของพวกเจ้าแล้ว ตระกูลน่าหลานได้รับอนุญาตให้สังหารผู้อื่น แต่ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ที่จะสังหารคนจากตระกูลน่าหลาน พวกเจ้านี่มันไร้ยางอายเสียจริง”

 

“เจ้า…” น่าหลานเฟิงโกรธเกรี้ยวและสงบลง นางไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร

 

“รอจนกว่าเจ้าจะได้เจอกับข้า” น่าหลานเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าที่มืดมน ดวงตาที่งดงามของนางเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

หลินเฟิงไม่สนใจคำกล่าวของน่าหลานเฟิง เขาหันหลังและก้าวลงจากเวที เขาไม่อยากที่จะโต้เถียงเหมือนเด็กๆ

 

“ตั๋วมิ่ง… เขาดูเหมือนกับเพชรฆาต ในตอนที่เขาจับดาบ”

 

ทุกคนจับจ้องไปที่หลินเฟิงด้วยตื่นตะลึง เฉพาะผู้ที่ไม่กลัวความตายเท่านั้นที่จะกล้ายั่วโทสะของน่าหลานเฟิง

 

บรรดาผู้ประลองที่เหลือต่างกังวล พวกเขาทั้งหมดถอนหายใจและหวังว่าจะไม่ต้องเจอกับหลินเฟิง นั่นคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา กับบุคคลที่ทรงพลังที่สามารถสังหารผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ถ้าต้องเผชิญหน้ากับคนแบบนั้นมีเพียงอย่างเดียวคือต้องยอมแพ้ก่อนที่การต่อสู้จะได้เริ่มขึ้น

 

รอบที่ 2 จบลงอย่างรวดเร็วและเหลือเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น 10คนจาก 5 เวทีประลอง

 

“พักสักครู่ แล้วเราจะเข้าสู่รอบที่ 3 ” ชายชราคนหนึ่งขึ้นไปประกาศบนเวที

 

ฝูงชนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พวกเขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวในการต่อสู้ครั้งต่อไป เหลือเพียง 10 คน ทุกตระกูลยังเหลือสมาชิกหลัก ตระกูลหลินเหลือผู้เข้าร่วม 2 คน เทียบกันแล้ว ตระกูลกู่เหลือเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น เหล่าผู้ที่ยังเหลืออยู่คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในการประลองยุทธ์ อย่างไรก็ตามทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังชายสวมหน้ากาก ตั๋วมิ่ง

 

“รอบนี้จะเป็นการแสดงความสามารถของผู้แข็งแกร่งที่เหลือ”

 

“มันชัดเจนอยู่แล้วว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน น่าหลานเฟิง, หลินเชียน และเหวินเจีย ควรจะเป็น 3 คนที่แข็งแกร่งที่สุด จากนั้นก็จะเป็นกู่เหยียนและชิวหลัน ถัดไปอีกก็น่าจะเป็นหลินหงแห่งตระกูลหลินที่ทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว ถึงแม้ตั๋วมิ่งจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่ได้ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะหลินหง”

 

“ถ้าเข้าโชคดี เขาอาจจะอยู่ในลำดับ 7 แต่ถ้าเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น เขาอาจจะขึ้นไปได้เหนือกว่านั้น”

 

ฝูงชนกำลังพูดถึงการจัดอันดับ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดการคาดการณ์ของคนเหล่านี้ควรจะถูกต้อง ถ้าหากตั๋วมิ่งเข้าร่วมการประลองหลังจากที่ทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว อันดับของเขาต้องพุ่งทะยานขึ้นอย่างแน่นอน

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments