ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปงูน้อยค่อยๆขยับ มันอ้าปากออกอย่างช้าๆ ทันใดนั้นหมอกสีดำถูกมันดูดกลืนเข้าไป
มันกำลังกินหมอกสีดำเข้าไป…
หลินเฟิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตวิญญาณของเขากำลังมีการเปลี่ยนแปลง ภายในตัวงูน้อยเต็มไปด้วยหมอกสีดำ
จิตวิญญาณงูของเขายังคงกลืนกินหมอกสีดำอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมันกินหมอกสีดำเข้าไปมากเท่าไร ตัวมันก็ยิ่งโตขึ้นเท่านั้น
หนวดเริ่มขยับเข้าหางูน้อยแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับมัน ที่แปลกประหลาดก็คือ งูน้อยก็กลืนกินหนวดเข้าไปด้วยเช่นกัน หลินเฟิงตกตะลึง จิตวิญญาณงูของเขากำลังเขมือบทุกอย่าง?
เมื่อหลินเฟิงต้องเผชิญกับสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณที่โหดร้ายและคิดว่าเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าจิตวิญญาณงูที่ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเพียง ‘ขยะ’ จะตื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน และกลืนกินหมอกสีดำอย่างหิวโหย
มีบางสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับดวงตายักษ์ที่ดุร้ายราวกับมีบางอย่างผิดปกติ มันแสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน
จากนั้นหมอกสีดำและหนวดเริ่มเคลื่อนตัวออกไป และพยายามสลัดให้หลุดจากงูน้อยที่หิวโหย
“กร๊าซซซซซซ…”
หลินเฟิงกลายเป็นตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณงูของเขากำลังตื่นเต้น มันเปิดปากที่ดุร้าย ข้างในยังคงหลงเหลือเศษหนวดและหมอกสีดำที่ยังอยู่ในขั้นตอนการย่อย
ดูเหมือนว่านี่จะยังไม่เพียงพอสำหรับจิตวิญญาณงู มันตัวใหญ่กว่าก่อนหน้านี้มากนัก จากเดิมที่มันมีขนาดเพียงแค่ 30 ซม.เท่านั้นแต่ตอนนี้มันยาวถึง 1 เมตร ดูเหมือนว่าเจ้างูที่ตะกละตะกลามตัวนี้พยายามที่จะกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
หมอกปีศาจยังคงกรีดร้องขณะพยายามต่อสู้กับจิตวิญญาณงูแต่อย่างไรก็ตามร่างกายของมันยังคงถูกกลืนกินไปเรื่อยๆ
มันปล่อยหลินเฟิงออกไป แต่หมอกสีดำของมันยังคงถูกกินอย่างช้าๆ
“กร๊าซซซซ….” งูน้อยพยายมกลืนกินหมอกสีดำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็ลอยกลับไปหาหลินเฟิง
แม้ว่าจิตวิญญาณงูจะยังตัวเล็กอยู่แต่มันก็ถือว่าตัวใหญ่กว่าก่อนหน้านี้มาก จากนั้นมันก็ค่อยๆเลื้อยไปรอบๆไหล่ของหลินเฟิงและหลับไหล
“มันกลืนกินหมอกปีศาจตัวนั้น?”
ดวงตาของหลินเฟิงเบิกกว้างด้วยความตกใจ หมอกสีดำหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่… นี่… เนี่ยอะไรจิตวิญญาณขยะ?
หลินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก แต่ทันใดนั้นเองราวกับพลังมหาศาลกำลังบุกทะลวงเข้าไปในร่างของเขาและเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆภายในหัว หลินเฟิงรู้สึกกราวกับว่าวิสัยทัศน์รอบตัวเริ่มเบลอ จากนั้นก็หมดสติไป
หลินเฟิงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็อยู่ในถ้ำเสียแล้ว มันเป็นถ้ำที่ดูคล้ายกับสัตว์อสูรที่ดุร้าย
” ตู้มมมม!! “
ทันใดนั้นร่างหายของหลินเฟิงราวกับถูกบดขยี้และทำให้เขากลัวอย่างมาก ความหวาดกลัวเข้าครอบงำจิตใจพร้อมกับความเจ็บปวดทรมานที่ไม่สามารถอธิบายได้
หัวใจของหลินเฟิงกระหน่ำเต้น ทันใดนั้นจิตวิญญาณแห่งความมืดของเขาก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับจิตวิญญาณแห่งสวรรค์ สติของเขาเริ่มกลับมา จิตวิญญาณสวรรค์ของเขายังคงลอยอยู่ต่อหน้าในรูปแบบของตำรา
หลักจากนั้นจิตวิญญาณงูก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน มันมีความยาวประมาณ 1 เมตร ร่างกายของมันดูแข็งแกร่งขึ้น เหมือนก่อนหน้านี้มันยังคงดูตัวเล็กอยู่และยังหลับอยู่ที่ไหล่ของหลินเฟิง ดูราวกับว่ามันต้องการที่จะประจบประแจงเขา
จิตวิญญาณงูของเขาตื่นขึ้นแล้ว!
มีบางสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นทำให้หลินเฟิงสั่นสะท้านตั้งแต่หัวจรดเท้า บนหลังของเขามีใบหน้าปรากฏขึ้น มันมีดวงตาสีดำที่เย็นชา
“หมอกปีศาจ…”
หลินเฟิงยังคงสั่นและพยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เป็นไปได้อย่างไร? ในขณะที่เขาถูกกลืนกินโดยหมอกปีศาจ จิตวิญญาณงูของเขาก็ตื่นขึ้นอย่างกระทันหัน
จิตวิญญาณดวงที่สาม ?
แปลกประหลาดเกินไป!… เขาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เขามีพรสวรรค์ที่เหล่าทวยเทพประทานมาให้ ในทวีปนี้จะมีสักกี่คนที่มีประสบการณ์เช่นนี้ จากผู้คนนับล้านอาจจะมีเพียงคนเดียวที่มีจิตวิญญาณถึงสองดวง แต่หลินเฟิงกลับมีถึงสามดวง มันน่าเหลือเชื่อเกินไป? หรือเขาจะเป็นบุตรแห่งพระเจ้า?
จิตวิญญาณสามดวง…. เขาสามารถทำให้ผู้คนสั่นกลัวเพียงแค่เอ่ยถึง หรือเขาอาจทำให้เหล่าศัตรูตกใจจนตายได้
มีแสงสีขาวที่่อ่อนโยนไหลเข้าและออกจากร่างกายของหลินเฟิง ดูเหมือนว่าจะเป็นพลังปราณจากสวรรค์และปฐพี มันรายล้อมตัวเขาและไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย
“ข้าทะลวงสู่ขั้นที่ 2 ขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว?”
สมองของหลินเฟิงยังคงไม่สามารถประมวลผลได้ทันจากสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมาแต่ก็ยังอยู่ในท่าทีสงบ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์และพลังที่น่ากลัวของสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเขา
หลินเฟิงต้องใช้สมาธิอย่างสูงในการทำความเข้าใจสิ่งที่้เกิดขึ้นทั้งหมด
“ดูเหมือนว่าเจ้างูน้อยนี้จะช่วยให้ข้าสามารถใช้พลังของสัตว์อสูรที่มันกลืนกินมาได้ นอกจากนี้ดูเหมือนว่ามันจะดูดซับส่วนหนึ่งไปเป็นพลังของตัวเองและเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง”
หลินเฟิงนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา
จิตวิญญาณขยะ?
ผู้คนมากมายหัวเราะเยาะหลินเฟิงเพราะคิดว่าจิตวิญญาณของเขาไร้ประโยชน์ แต่กลับกลายเป็นว่ามันทรงพลังมาก ถ้าผู้คนที่หัวเราะเยาะและรังแกเขามาตลอด รู้ว่าจิตวิญญาณถูกประนามว่าเป็นขยะมีความสามารถที่ขัดกับสวรรค์เช่นนี้ พวกเขาคงจะกระอักเลือดตายเป็นแน่!
“บัดซบ มันราวกับว่าข้าเพิ่งจะปีนขึ้นมาจากหลุมศพของตัวเอง ข้าจะต้องหลุดพ้นจากความยากลำบากที่ข้าได้รับมาถึงตอนนี้!”
หลินเฟิงเรียกจิตวิญญาณกลับเข้ามา เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและร้องไห้เป็นเวลานาน เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด เขาเพียงแค่วิเคราะห์สถานการณ์โดยพิจารณาจากประสบการณ์และความรู้ในอดีตเท่านั้น
“เขี้ยวสวรรค์ เขี้ยวเหล่านี้สามารถกลืนกินได้ทุกอย่าง ถือว่าเป็นชื่อที่ดี” หลินเฟิงกล่าว เป็นชื่อที่ดีที่สุดที่เขาสามารถตั้งให้กับจิตวิญญาณงูน้อยของเขา, เขี้ยวสวรรค์
“ม่อเสีย ถ้าข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าจะไม่ขอใช้ชื่อหลินเฟิงอีกต่อไป!”
หลินเฟิงยืนขึ้นพร้อมกับจิตสังหารที่น่าสยดสยองในดวงตา
หลินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อากาศในลำคอของเขาสัมผัสได้ถึงสิ่งสกปก มันคล้ายกับกลิ่นอายของสัตว์อสูรที่ดุร้าย
หลินเฟิงมองรอบๆด้วยความระมัดระวัง ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในถ้ำของสัตว์ร้าย มันทำให้เขารู้สึกกังวลและอึดอัดอย่างมาก
หลินเฟิงรีบวิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ด้านนอกเป็นป่าขนาดใหญ่ ต้นไม้บางส่วนถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ ดูเหมือนว่าต้นไม่เหล่านั้นจะถูกสัตว์อสูรเหยียบย้ำขณะที่เดินผ่าน กลิ่นอายที่ดุร้ายยังคงอบอวนไปในอากาศ หลินเฟิงยังรู้สึกได้ว่าผืนดินสั่นสะเทือนตลอดเวลา เขาได้ยินเสียงคำรามเข้ามาใกล้จากระยะไกล
มันดูเหมือนคลื่นของเหล่าสัตว์อสูรที่บ้าคลั่ง
หลินเฟิงเพิ่งเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ แต่เขารู้ดีว่ายังมีกลุ่มอื่นที่รายล้อมไปด้วยสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง หุบเขาวายุทมิฬเต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่ทรงพลัง
หลินเฟิงปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งความมืดออกมา ดวงตาของเขากลายเป็นสีดำสนิท ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาถูกยกระดับขึ้น เขาสามารถมองเห็นและรู้สึกถึงสภาพแวดล้อมรอบข้างได้อย่างชัดเจน สมองของเขากำลังประมวลผลสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ปราณที่แข็งแกร่งของสัตว์อสูรกำลังหมุนวนอยู่รอบเท้าของหลินเฟิงและเริ่มปกคลุมตัวเขา หลินเฟิงเข้าสู่สภาวะจิตใจที่ยอดเยี่ยม การถูกห่อตัวด้วยพลังปราณที่แข็งแกร่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถมองเห็นหลินเฟิงได้จากภายนอก
มันคือพลังของหมอกปีศาจที่หลินเฟิงได้รับมา พลังของมันแข็งแกร่งอย่างมาก นี่เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถมองเห็นร่างจริงของหมอกปีศาจได้ จะเห็นเพียงหมอกสีดำขนาดใหญ่เท่านั้น หลินเฟิงต้องขอบคุณจิตวิญญาณของเขาที่กลืนกินหมอกปีศาจ และได้พลังของมันมา ทักษะของหมอกปีศาจถูกประทับลงไปในใจของหลินเฟิงและสามารถนำมันออกมาใช้อย่างเป็นธรรมชาติ
ในหุบเขาวายุทมิฬมีสัตว์อสูรจำนวนมากมายจนน่าเหลือเชื่อ พวกมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะสัตว์อสูรบางตัวนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก หลินเฟิงจึงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เขาใช้พลังปราณเพื่อสร้างกลิ่นอายที่เหมือนกับสัตว์อสูรที่ดุร้ายด้วยความสามารถใหม่ของเขา
เหล่าสัตว์อสูรวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปทุกที่ในหุบเขาวายุทวิฬ จำนวนสัตว์ร้ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก พวกมันกำลังวิ่งไปยังชานเมืองราวกับต้องการยึดครองที่นั่น
ในขณะนั้น ปราณที่หมุนรอบหลินเฟิงทำให้เขาดูเหมือนกับมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรจริงๆ เขาก้าวเดินต่อไป
สัตว์อสูรตัวเล็กและอ่อนแอบางตัววิ่งผ่านหลินเฟิง แต่ที่น่าแปลกใจ สัตว์อสูรตัวเล็กที่ดูน่ากลัวเหล่านี้ กลับส่งเสียงเล็กๆที่ดูน่ารักออกมา ราวกับว่าพวกมันกำลังแสดงความเคารพต่อหลินเฟิง ในโลกของสัตว์อสูร พวกมันถูกปกครองโดยกฎแห่งป่า : ผู้อ่อนแอจะกลายเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง
แม้แต่สัตว์อสูรในระดับจิตวิญญาณบางตัวที่พบกับหลินเฟิงยังต้องวิ่งหนี สัตว์อสูรเหล่านั้นอย่างน้อยจะต้องเป็นระดับขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 5 ซึ่งน่าเกรงขามอย่างมาก อย่างไรก็ตามสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณธรรมดาจะเทียบกับหมอกปีศาจได้อย่างไร
“ในส่วนลึกของหบุเขาทมิฬช่างน่ากลัวเสียจริง”
หลินเฟิงตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของส่วนลึกหุบเขาวายุทมิฬ มันช่วยไม่ได้ที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังบรรลุเพียงแค่ขอบเขตพลังปราณและเข้ามาที่นี่โดยปราศจากความเกรงกลัว ทำไมเขาโง่เขลาถึงเพียงนี้? ถ้าหากตอนนั้นต้องเผชิญกับสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณที่หิวโหยเขาคงตายไปแล้ว
แน่นอน ในสายตาของสัตว์อสูรระรับจิตวิญญาณ ผู้บ่มเพาะขอบเขตพลังปราณเป็นเพียงแค่มดปลวก บางทีอาจจะไม่ได้อยู่ในสายตาของสัตว์อสูรเหล่านั้นด้วยซ้ำ มันก็เหมือนกับที่สัตว์อสูรชั้นต่ำไม่ได้อยู่ในสายตาของหลินเฟิง
“นี่ถือว่าเป็นโอกาสดี ทำไม่ข้าถึงไม่ล่าสัตว์อสูรเหล่านี้เพื่อรวบรวมของล้ำค่า?”
หลินเฟิงรู้สึกกังวลและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน สัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณไม่เหมือนกับผู้บ่มเพาะมนุษย์ พวกมันดูดซับปราณจากสวรรค์และปฐพี และวัตถุดิบที่ได้รับจากพวกมันถือว่ามีค่าอย่างมาก ถ้านำของเหล่านี้ไปมอบให้กับผู้อาวุโสของนิกาย พวกเขาสามารถสกัดเป็นเม็ดยาหรือสร้างเป็นอาวุธระดับจิตวิญญาณได้ นอกจากนี้พลังบางส่วนของสัตว์อสูรสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการบ่มเพาะพลังได้อีกด้วย
เม็ดยารักษาที่ดีสามารถสมานแผลรวมถึงกระดูกได้อย่างรวดเร็ว…. มีบางคนกล่าวว่าอาจจะถึงขั้นคืนชีพให้กับผู้ที่ยืนอยู่หน้าปากเหวความตายได้
อาวุธที่ดีจะเพิ่มความสามารถในการโจมตีและป้องกัน ได้ในเวลาเดียวกันเมื่ออยู่ในสนามรบ
สิ่งเหล่านี้สามารถได้รับจากสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง นี่คือเหตุผลที่คนส่วนมากเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะล่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง พวกเขาต้องการวัตถุดิบเหล่านี้เพื่อความร่ำรวย
หลินเฟิงรู้สึกราวกับว่าตอนนี้เขายากจนอย่างมาก นอกเหนือจากดาบอ่อนซึ่งได้รับจากผู้พิทักษ์เป๋ย และเม็ดยาที่ผู้พิทักษ์คงมอบให้แล้วเขาไม่มีอะไรเลย เขาไม่เคยนึกถึงความมั่งคั่งและสิ่งจำเป็นอย่างอื่นมาก่อน