I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 67 เรียกร้องความสนใจ

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

“ถึงข้าจะเป็นคนใจร้อน แต่ข้าก็ยังมีชีวิตมาจนถึงวันนี้” หลินเฟิงยิ้มอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าที่ราวกับปีศาจ
“ฮ่าๆ ข้าพบเศษสวะมากมายในอดีต แต่ก็ไม่เคยพบเศษสวะที่ใจร้อนและรนหาที่ตาย” อวี๋ฮ่าวกล่าวอย่างหยิ่งยโส จากนั้นก็เสริมต่อว่า ” ถ้าเจ้าต้องการที่จะตายจริงๆ ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง รอจนกว่าการสอบศิษย์ภายในจะจบลงแล้วข้าจะจัดการกับเจ้า!”

 

ศิษย์ธรรมดาแทบจะไร้ค่าในสายตาของคนส่วนใหญ่ภายในนิกาย แม้ว่าพวกเขาจะถูกฆ่าตายแต่ก็ไม่มีใครสนใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในลานประลองแห่งชีวิตที่หุบเขาแห่งความป่าเถื่อน

 

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าสังหารข้าก่อนการทดสอบศิษย์ภายในจะจบลง”

 

หลินเฟิงกล่าวขณะพยักหน้าราวกับกำลังตัดสินใจบางอย่าง อวี๋ฮ่าวมึนงงและไม่รู้ว่าหลินเฟิงหมายถึงอะไร ทันใดนั้นหลินเฟิงก็เดินตรงไปยังลานประลองแห่งชีวิต

 

“หลินเฟิง เจ้ากำลังทำอะไร?” จิ้งยวิ๋นตะโกนด้วยความตกใจกลัว

 

“จิ้งยวิ๋น เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวหลินเฟิง ชายคนนี้เต็มไปด้วยปาฏิหาริย์” หานหมานกล่าวขณะพยายามปลอบโยนจิ้งยวิ๋น แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเป็นสหายกันเมื่อไม่นานมานี้ แต่หานหมานก็ชื่นชมหลินเฟิงมาจากหัวใจ เขาอาจจะเป็นคนบ้าบิ่น แต่ก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เขาให้ความสำคัญกับมิตรภาพและไม่ลังเลที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อสหาย ทุกครั้งที่พวกเขาพบเจอกับหลินเฟิง หลินเฟิงจะทำให้พวกเขาแปลกใจอยู่เสมอ

 

จิ้งยวิ๋นพยายามที่จะไม่กังวล นางจ้องมองไปที่หานหมานและพยักหน้า ถูกต้อง ดูเหมือนหลินเฟิงจะกำลังทำเรื่องที่อันตรายและไม่สามารถคาดเดาได้อีกครั้ง

 

จิ้งยวิ๋นช่วยไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับหลินเฟิง การขึ้นไปยังลานประลองแห่งชีวิตและท้าทายศิษย์ภายใน มันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าใครก็ตามที่ต้องการจะเป็นศิษย์ภายในคนผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ วิธีเดียวที่จะกลายเป็นศิษย์ภายในคือการที่จะต้องแข็งแกร่งกว่าศิษย์ภายในในปัจจุบัน

 

“หืมม?” อวี๋ฮ่าวขมวดคิ้วและยังคงไม่เข้าใจ แต่หานหมานและจิ้งยวิ๋นเข้าใจว่าหลินเฟิงต้องการจะทำอะไรเพราะพวกเขาเป็นสหายกัน…. นอกจากนี้ อวี๋ฮ่าวเองก็หยิ่งยโสมาก เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าหลินเฟิงกล้าที่จะท้าทายเขา?

 

อวี๋ฮ่าวยิ้มให้กับหลิ่วเฟยที่เดินลงจากลานประลอง เขาเดินตรงไปหานาง หญิงสาวที่งดงามมักจะต้องการความสนใจและใครจะทำมันได้ดีกว่าเขา?

 

ลานประลองแห่งชีวิตมีขนาดใหญ่มาก เหล่าศิษย์สามารถต่อสู้กันได้บนส่วนต่างๆของลานประลอง แม้ว่าการต่อสู้ถูกเลือกโดยการสุ่ม แต่พวกเขาก็สามารถเลือกต่อสู้กับคนที่ต้องการได้

 

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้คนมากเกินไปบนลานประลองก็ไม่ใช่เรื่องดี นอกจากนี้มันยังเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เฝ้าดูเนื่องจากสามารถจดจ่อไปกับการประลองได้ ถ้าการต่อสู้มีมากเกินไปมันจะกลายเป็นความวุ่นวาย

 

แน่นอน ว่าไม่มีใครวางแผนที่จะขึ้นไปยังลานประลอง ศิษย์ธรรมดาไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองมากนัก การประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองสูงเกินไปอาจทำให้ผู้อาวุโสของนิกายไม่ค่อยพอใจ มีเพียงอัจฉริยะที่แท้จริงและมีพรสวรรค์มากที่สุดเท่านั้น ที่จะกล้าปีนป่ายขึ้นไปบนลานประลองและสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คน

 

ในขณะที่หวังหม่างก้าวขึ้นไปบนลานประลองแห่งชีวิต

 

แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นบางคนก้าวขึ้นมาบนเวทีด้วยเช่นกัน

 

” เฮ้ สหาย ” หวังหม่างตะโกนขณะยิ้มให้หลินเฟิง เขาเป็นศิษย์ธรรมดาอันดับที่ 3 เขาแข็งแกร่งมากและมีความหยิ่งยโสราวกับว่าไม่เห็นโลกอยู่ในสายตา หวังหม่างคิดว่าหลินเฟิงจะสังเกตเห็นว่าเขาอยากที่จะขึ้นไปบนลานประลองและปล่อยให้เขาขึ้นไปก่อน

 

แต่สิ่งที่หวังหม่างไม่คาดคิดคือหลินเฟิงจ้องมองมาที่เขาและพยักหน้าทักทาย จากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปบนลานประลองอย่างไม่แยแส จริงๆแล้วมันราวกับว่าหลินเฟิงไม่ยอมปล่อยให้หวังหม่างเดินขึ้นไปก่อน

 

หวังหม่างขมวดคิ้ว เขามีชื่อเสียงมากในหมู่ศิษย์ธรรมดา เขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะไม่ไว้หน้าเขาและไม่ยอมให้เขาขึ้นไปก่อน เขาต้องการที่จะเปิดปากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หวังหม่างกลายเป็นโกรธเกรี้ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

“ไอปัญญาอ่อนเอ้ย” หวังหม่างกล่าวด้วยโทนเสียงต่ำและเต็มไปด้วยความโกรธ เขารีบกลับไปในที่ๆเขายืนก่อนหน้านี้ การกระทำของหลินเฟิงถือว่าเป็นการอวดดีอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าขึ้นมาแทรกแบบนี้

 

หวังหม่างไม่ได้เป็นคนเดียวที่ประหลาดใจ แม้แต่ฝูงชนเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ทันใดนั้นเอง ดวงตาของพวกเขาเริ่มเบิกกว้าง พวกเขากลายเป็นสับสนและเริ่มตระหนักถึงตัวตนของชายหนุ่มผู้นั้น

 

“นั่นเขา ไม่ใช่ว่าถูกหมอกปีศาจกลืนกินไปแล้ว….? เขายังมีชีวิตอยู่!” คนที่เคยเห็นหลินเฟิงกล่าว พวกเขาประหลาดใจอย่างมากที่เห็นหลินเฟิงยังไม่ตาย

 

หานหมาน, จิ้งยวิ๋นและพั่วจวินต่างก็ประหลาดใจเช่นกันกับฏิกิริยาของคนรอบข้าง

 

อย่างไรก็ตาม ก็ยังปรากฏรอยยิ้มขนาดใหญ่บนใบหน้าของหานหมาน เขาเริ่มตระหนักได้ว่าหลินเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่าเขามาก เขาชื่นชมหลินเฟิงเสมอมาและเชื่อว่าความแข็งแกร่งของหลินเฟิงคือปาฏิหาริย์จากสวรรค์

 

ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน ใบหน้าของม่อเสียกลายเป็นซีดขาว เป็นไปได้อย่างไร? ทำไมหลินเฟิงถึงยังมีชีวิตอยู่?

 

หลินเฟิงเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาและถูกกลืนกินโดนหมอกปีศาจ… เป็นไปได้อย่างไรที่เขายังมีชีวิตอยู่?

 

” นั่นเขา! ” เหมือนกับทุกๆคน หนานกงหลิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความโล่งใจ ตอนนี้เขาคงจะสามารถบอกกับผู้พิทักษ์เป๋ยและผู้พิทักษ์คงว่าหลินเฟิงปลอดภัยและการลงโทษม่อเสียคงจะไม่รุนแรงมากนัก

 

“ฮ่าๆๆ เจ้าหนูนั่นยังไม่ตาย!” เสียงหัวเราะดังออกมาจากหอดวงดาราที่ชายชรานั่นอยู่ น้ำเสียงของเขาดูปลื้มปิติอย่างมาก

 

“เจ้ายังคงทำให้ข้าประหลาดใจอยู่เสมอ เจ้าหนู” ผู้พิทักษ์เป๋ยยิ้ม ครั้งแรกที่พบกับหลินเฟิง เขาได้สร้างความประทับใจแก่ชายชรา ครั้งที่สองหลินเฟิงทำให้กลองจากหน้าผาจ้านกู้ดังขึ้น สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้พิทักษ์เป๋ยและผู้พิทักษ์คงอย่างมาก…. และคราวนี้ เขาถูกกลืนกินโดยหมอกปีศาจ แต่ก็สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้โดยไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาช่างเป็นชายแห่งปาฏิหาริย์เสียจริง

 

ในตอนนั้น อวี๋ฮ่าวได้มาถึงข้างกายของหลิ่วเฟย เขาจ้องมองไปยังหลินเฟิงที่ก้าวขึ้นสู่ลานประลองและเริ่มหัวเราะ “เฟยเฟย คาดไม่ถึงว่าเจ้าขยะแบบนั้นจะกล้าขึ้นไปบนลานประลอง เขาคงต้องการที่จะตายจริงๆ”

 

หลิ่วเฟยขมวดคิ้ว นางไม่ชอบให้อวี๋ฮ่าวเรียกนางด้วยชื่อเล่น มันทำให้นางรู้สึกแย่ จากนั้นนางก็มองไปยังลานประลอง ทันใดนั้นท่าทีของนางเปลี่ยนไปในทันที ดวงตาของนางเปล่งประกายไปด้วยความสุข

 

” เขายังไม่ตาย!! “

 

หลิ่วเฟยประหลาดใจอย่างมาก ทันใดนั้นรอยยิ้มที่งดงามที่เต็มไปด้วยความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

 

“เจ้ายังไม่ตาย…. ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีข้าจะเอาชนะเจ้าด้วยตัวของข้าเอง และจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกอับอาย”

 

อวี๋ฮ่าวเห็นรอยยิ้มของหลิ่วเฟยมันดูน่าหลงใหลอย่างมากแต่ดูเหมือนว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจ จากนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้และกล่าว “เฟยเฟย เช่นเดียวกับครั้งก่อนเพียงแค่เจ้าบอกข้า ข้าจะไปสังหารไอขยะนั่นให้กับเจ้า “

 

“เจ้าเนี่ยนะจะฆ่าเขา?” หลิ่วเฟยถามขณะจ้องมองไปยังอวี๋ฮ่าว แม้ว่าอวี๋ฮ่าวจะครอบครองจิตวิญญาณแห่งดาบที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลยตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเพราะเขามั่นใจในพลังของตัวเองเกินไปและละเลยที่จะฝึกฝน อวี๋ฮ่าวยังคงอยู่เพียงแค่ขั้นแรกของขอบเขตจิตวิญญาณ ถ้าเขาต้องต่อสู้กับหลินเฟิงจริงๆ เขาจะมีโอกาสชนะหรือ?

 

นอกจากนี้ สิ่งที่หลิ่วเฟยต้องการมากที่สุดคือการเอาชนะหลินเฟิงด้วยตัวนางเอง

 

“ใช่ เพียงแค่เจ้าพยักหน้าและข้าจะเอาชีวิตของมันมาให้เจ้า” อวี๋ฮ่าวกล่าวขณะยิ้ม

 

” อวี๋ฮ่าว…. “
อวี๋ฮ่าวยังคงยิ้ม แต่ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ากับว่ามีใครบางคนกำลังร้องเรียกชื่อเขา

 

” อวี๋ฮ่าว เจ้าจะหนีไปไหน? ขึ้นมาต่อสู้กับข้าเดี๋ยวนี้! ไอตัวบัดซบ!”

 

หลินเฟิงยืนอยู่กลางลานประลอง เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทุกคนที่กำลังสังเกตการณ์อยู่บนหน้าผาของหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน

 

อวี๋ฮ่าวยังคงยิ้มอยู่ เขายังไม่ได้ขึ้นไปบนลานประลองและยังไม่เขาใจถึงความหมายของหลินเฟิงเมื่อสักครู่ เขาไม่เข้าใจว่าหลินเฟิงกำลังท้าทายเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาต้องการที่จะสู้กับหลินเฟิงมาก

 

ระหว่างการทดสอบศิษย์ภายใน การท้าทายโดยเฉพาะเจาะจงถือเป็นความอัปยศอดสูเพราะมันหมายความว่าคนที่ถูกท้าทายคือคนอ่อนแอ ถ้าอ่อนแอ ก็จะถูกผู้คนมากมายเหยียบย่ำ

 

แต่ในตอนนี้ อวี๋ฮ่าวกำลังถูกท้าทายโดยคนที่เขาต้องการจะสังหารเพื่อเอาใจหลิ่วเฟย

 

อย่างไรก็ตามอวี๋ฮ่าวไม่คิดว่าหลินเฟิงจะกล้าท้าทายเขา เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับความอัปยศต่อหน้าผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน เขารู้สึกราวกับถูกตบหน้า

 

ใบหน้าของอวี๋ฮ่าวบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ เขาจ้องมองหลินเฟิงด้วยความโกรธแค้น

 

“เฟยเฟย ไอสวะนั่นต้องการที่จะท้าทายข้า ดีเลย ข้าจะทำให้มันตายเยี่ยงเศษขยะ!”

 

เหมือนกับก่อนหน้านี้ อวี๋ฮ่าวไม่เคยเคลือบแคลงในความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาก้าวเดินไปที่ลานประลองด้วยท่าทีหยิ่งผยอง

 

ฝูงชนต่างประหลาดใจ หลินเฟิงช่างบ้าบิ่นอย่างแท้จริง

 

ไม่เพียงหลินเฟิงจะกล้าขึ้นไปบนลานประลอง แต่เขายังท้าทายอวี๋ฮ่าวอีกด้วย

 

อวี๋ฮ่าวไม่ใช่ศิษย์ภายในที่อ่อนแอ ก่อนที่จะมีการทดสอบศิษย์ภายใน ศิษย์ธรรมดาจะต้องตรวจสอบประวัติของศิษย์ภายในมาก่อนแล้ว ซึ่งมันจะต้องเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของของศิษย์ภายในแต่ละคน อวี๋ฮ่าวไม่ใช่ตัวตนที่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย เขามีจิตวิญญาณดาบและยังแข็งแกร่งมาก เขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์ภายในส่วนใหญ่เลยด้วยซ้ำและไม่เคยมีใครคิดที่จะท้าทายเขา

 

อวี๋ฮ่าวเองก็ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมาท้าทายเขา

 

ในขณะที่อวี๋ฮ่าวขึ้นไปบนลานประลอง เขายังคงมีท่าทีที่หยิ่งยโส ” จริงๆแล้ว ข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิตต่อไปอีกเล็กน้อยแต่เจ้ากลับใจร้อนและรนหาที่ตาย”

 

“ข้าไม่ได้รีบร้อนที่จะจัดการกับเจ้า เช่นนั้นก็รอสักครู่..” หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาหันไปยังฝูงชน

 

“หลี่หลิน ย้ายก้นของเจ้าขึ้นมาบนลานประลองเดี๋ยวนี้!”

 

หลินเฟิงยังคงถ่มน้ำลายลงบนใบหน้าของศิษย์ภายในซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลี่หลินในตอนที่อยู่ในหอดวงดาราเขาไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเฉินเฉิน ดังนั้นเขาจึงนำความเคียดแค้นมาลงที่หลินเฟิง หลินเฟิงยังคงจำเหตุการณ์นั้นได้ดี

 

ทุกคนต่างตื่นตะลึงกับการกระทำของหลินเฟิง หลี่หลินแม้ว่าจะอ่อนแอแต่ก็ถือว่าเป็นศิษย์ภายในคนหนึ่ง หลินเฟิงต้องการที่จะท้าทายศิษย์ภายใน 2 คนในเวลาเดียวกัน

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments