I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 68 เชี่ยวชาญการใช้ดาบ

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

ในระหว่างการประลองรอบแรกเพื่อเป็นศิษย์ภายในทุกคนจะต้องเข้าร่วมทั้งศิษย์ภายใน และศิษย์หลัก เพราะพวกเขาอาจจะถูกท้าทายได้ตลอดเวลาโดยศิษย์คนอื่นๆของนิกาย

 

หลี่หลินก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกฏข้อนี้ได้

 

เมื่อหลี่หลินถูกท้าทายโดยหลินเฟิง ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก บางทีหลินเฟิงอาจจะบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณ และต้องการแก้แค้นเขา

 

แต่แล้วหลี่หลินก็พยายามทำให้ตัวเองผ่อนคลายลง เพราะหลินเฟิงไม่ได้ท้าทายเขาแค่คนเดียว: หลินเฟิงท้าทายเขา และอวี๋ฮ่าวพร้อมกัน

 

อวี๋ฮ่าว แข็งแกร่งกว่าหลี่หลินมาก เขามีจิตวิญญาณดาบ และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะอัจฉริยะ แต่หลินเฟิงกับกล้าที่จะท้าทายอวี๋ฮ่าว บางทีเขาอาจจะต้องถูกฆ่าตายก็เป็นได้ เพราะเขาไม่สามารถสู้กับอวี๋ฮ่าวได้

 

เมื่อหลี่หลินก้าวเข้าสู่ลานประลองแห่งชีวิต เขาก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเห็นฝูงชนกำลังจ้องมองมาที่เขา เขารู้สึกตื่นเต้นมาก

 

“เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? ทำไมเจ้าถึงเรียกมันขึ้นมา?” อวี๋ฮ่าวเหลือบมองไปที่หลี่หลิน เขารู้สึกงงงวย เขารู้สึกรังเกียจที่มีคนอ่อนแออย่างหลี่หลินมายืนอยู่เคียงข้างเขา

 

“ข้าจะสู้กับพวกเจ้าทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน”

 

หลินเฟิงไม่ตอบคำถามอวี๋ฮ่าว และกล่าวประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ทำให้อวี๋ฮ่าวขมวดคิ้วด้วยความโกรธ

 

บ้าบิ่น….

 

เสียสติ….

 

ในประวัติศาสตร์ของนิกายหยุนไห่ ตั้งแต่เมื่อ 1 พันปีที่แล้ว ไม่มีใครเลยที่จะกล้าท้าทายศิษย์ภายในถึง 2 คน ในระหว่างการสอบเป็นศิษย์ภายใน

 

หลินเฟิงเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่เขากลับกล้าท้าทายศิษย์ภายในถึง 2 คนให้ต่อสู้กับเขา แต่แล้วเรื่องนี้มันก็น่าตกใจมากยิ่งขึ้น เพราะหนึ่งในสองคนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งและมีจิตวิญญาณดาบ หลินเฟิงได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยพฤติกรรมที่บ้าบิ่นเช่นนี้

 

“เจ้าศิษย์ธรรมดานั้นมันช่างอวดดียิ่งนัก แถมยังประเมินพลังของตัวเองสูงเกินไป แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาคิดว่าจะสามารถสู้กับศิษย์ภายใน 2 คนในเวลาเดียวกันได้อย่างงั้นรึ?”

 

ม่อเสียกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น และดูถูก ม่อเสียไม่แค่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่เขายังมีสถานะที่สูงส่งภายในนิกายแห่งนี้ด้วย นอกจากนี้พ่อของเขา ม่อช่างหลาน ยังยืนอยู่ข้างหลังของเขาด้วย เขาพยายามกู้ชื่อเสียงที่ถูกทำให้มัวหมองก่อนหน้านี้กลับคืนมา

 

หนานกงหลิงจ้องมองไปที่ม่อเสียอย่างเย็นชาปราศจากความรู้สึก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

 

กลับมาที่ผู้พิทักษ์เป๋ย เขาหัวเราะ และส่ายหัว: “เจ้าเด็กนี่เป็นคนบ้าบิ่นอะไรเช่นนี้!”

 

“สู้พร้อมกัน? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เจ้ามันก็แค่เศษขยะเท่านั้น”

 

ใบหน้าของอวี๋ฮ่าวบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ การแสดงออกของเขาดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

 

อวี๋ฮ่าวดูถูกหลินเฟิง เขาคิดว่าหลินเฟิงเป็นเพียงแค่เศษขยะเท่านั้น และคิดว่าความแตกต่างระหว่างเขากับหลินเฟิงราวกับสวรรค์ และโลก อวี๋ฮ่าวคิดว่ามันเป็นเกียรติสำหรับหลินเฟิงที่ได้คนโด่งดังเช่นเขาขึ้นมาบนเวทีประลอง

 

แต่หลินเฟิงไม่เพียงแต่เรียกเขาขึ้นมาบนเวที เขากลับเรียกคนอีกคนหนึ่งขึ้นมาบนเวที แต่ที่น่าแปลกคือเขาต้องการสู้กับคนสองคนในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่ว่าการกระทำเช่นนี้มันจะมอบความอัปยศให้กับอวี๋ฮ่าวหรอกหรือ?

 

“นั่นซิ! เจ้าคิดว่าไง? มันกล้าท้าทายคนถึงสองคนในเวลาเดียวกัน อวี๋ฮ่าวเจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากๆ แถมเจ้ายังมีจิตวิญญาณดาบอีก เจ้าทั้งทรงพลังมาก และสามารถฆ่าคนอื่นๆด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แล้วทำไมหลินเฟิงมันถึงอวดดีเช่นนี้กัน?!”

 

หลี่หลินกำลังพยายามเลียแข้งเลียขาอวี๋ฮ่าว เพื่อทำให้อวี๋ฮ่าวพึงพอใจ จากนั้นอวี๋ฮ่าวจะได้ออกไปต่อสู้กับหลินเฟิงเพียงลำพัง และเขาจะได้ยืนเฝ้ามองอยู่เฉยๆ เขาจะได้ไม่ต้องต่อสู้กับใครเลย นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนอย่างเขาที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ศิษย์ภายใน

 

อวี๋ฮ่าวดูเหมือนกำลังเพลินเพลินกับเสียงชื่นชมจากฝูงชน รอยยิ้มขนาดใหญ่ปรากฏบนใบหน้าของเขา และก็กล่าวว่า: “ฮ่าฮ่าฮ่า หลี่หลิน พวกเจ้าทั้งสองคนสู้กันก่อนเลย มันจะทำให้ดาบของข้าต้องมัวหมองถ้าข้าใช้ดาบของเพื่อต่อสู้กับศิษย์ธรรมดา… ข้าฝากเจ้าจัดการกับมันด้วย”

 

“แน่นอน แต่ศิษย์ธรรมดาไร้ค่าเช่นนั้นกับกล้าที่จะท้าทายอวี๋ฮ่าว มันจะต้องได้รับความอัปยศ สหายอวี๋ฮ่าวเจ้าควรแสดงให้มันเห็นว่าความแตกต่างระหว่างเจ้า กับมัน ว่ามันแตกต่างกันขนาดไหน”

 

เมื่อหลี่หลินได้ยินสิ่งที่อวี๋ฮ่าวกล่าว เขาก็รู้ตกใจเมื่อได้ยินว่าเขาต้องออกไปสู้ เขาไม่รู้ว่าอวี๋ฮ่าวต้องการให้เขาออกไปสู้จริงๆหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อที่จะยกยอให้อวี๋ฮ่าวออกไปสู้ เขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับหลินเฟิง

 

“เจ้ามันน่าสมเพชยิ่งนัก” หลินเฟิงเยาะเย้ยหลี่หลิน “หลี่หลินเมื่อข้ากำลังมองหาทักษะในหอดวงดารา เจ้าเข้าไปรุกรานเฉินเฉิน และหวาดกลัวเขาทำให้เจ้าถูกทุกคนหัวเราะ แถมเจ้ายังขู่ว่าจะฆ่าข้า เจ้าดูถูกครั้งหลายครั้ง และเรียกข้าว่าเศษขยะ ตอนนี้ข้าเป็นคนท้าทายเจ้าเอง แต่เจ้ากลับหวาดกลัว?”

 

“อวี๋ฮ่าว เจ้ามีจิตวิญญาณดาบ เช่นเป็นอัจฉริยะอะไรเช่นนี้! ในวันนั้นเจ้าโจมตีข้าอย่างไร้เหตุผล แถมเจ้ายังพูดว่าสามารถฆ่าข้าตอนไหนก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้า และพยายามกลั่นแกล้งผู้คนที่อ่อนแอกว่าตัวเอง ตอนนี้ข้ากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าแล้ว เพื่อที่จะต่อสู้กับเจ้า แล้วทำไมเจ้าไม่เข้ามาต่อสู้กับข้าล่ะ?”

 

หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ทุกๆคนในฝูงชนเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ศิษย์ภายในทั้งสองคนนี้เป็นคนที่ชอบโอ้อวดตัวเองเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งสองได้ข่มขู่ศิษย์ธรรมดา แต่ตอนนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการแก้แค้น

 

ใบหน้าของอวี๋ฮ่าวเริ่มบิดเบี้ยว จากนั้นเขาก็กล่าวกับหลี่หลิน: “ข้าจะให้เวลาเจ้า 3 กระบวนท่า ถ้าเจ้าไม่สามารถมอบความพ่ายแพ้ให้กับมันได้ ข้าจะทำลายการบ่มเพาะพลังของเจ้า”

 

หลี่หลินรู้สึกโกรธ เขากัดฟันด้วยความเกลียดชังที่มีต่ออวี๋ฮ่าว

 

ในวันนั้น อวี๋ฮ่าวได้ดูถูกหลินเฟิง และปฏิบัติกับหลินเฟิงราวกับเขาไม่มีตัวตน แต่ในขณะนี้พฤติกรรมของหลินเฟิงที่กำลังแสดงอยู่ในตอนนี้มันคล้ายคลึงกับเขามาก

 

“เอาล่ะ ข้าจะเป็นคนเปิด และเจ้าเป็นคนจัดการมัน”

 

หลี่หลินกำลังกล่าวกับตัวเอง… เขาพยายามเรียกขวัญกำลังใจเพื่อให้ตัวเองออกไปต่อสู้จากนั้นเขาก็เริ่มพุ่งเข้าหาหลินเฟิง

 

หลินเฟิงส่ายหัว ลักษณะท่าทางที่บุกเขามาโจมตีของหลี่หลินมันน่าหัวเราะซะจริงๆ หลินเฟิงสงสัยมากว่าหลี่หลินมันกลายเป็นศิษย์ภายในได้อย่างไรกัน

 

“หายไปซะ…”

 

หลินเฟิงผลักฝ่ามือของเขาไปในอากาศ และใช้ทักษะแปดฝ่ามือพิฆาต การโจมตีทั้งสี่ครั้งแหวกว่ายผ่านอากาศทันที และบดขยี้ร่างกายของหลี่หลิน

 

“ตู้มมมมมมมม!”

 

“ตู้มมมมมมมม!”

 

“ตู้มมมมมมมม!”

 

“ตู้มมมมมมมม!”

 

หลี่หลินเป็นหนึ่งในศิษย์ภายในที่อ่อนแอที่สุด ความแข็งแกร่งของเขาสามารถเทียบได้กับศิษย์ธรรมดาบางคน หลินเฟิงได้โจมตีเขาเพียงแค่ทักษะเดียวเท่านั้น โดยที่ยังไม่ได้เอาจริงเลยแม้แต่น้อย และการโจมตีของเขายังส่งให้ร่างของหลี่หลินบินไปในอากาศ และกระแทกพื้นด้านนอกของลานประลองแห่งชีวิตอย่างรุนแรง

 

หลินเฟิงไม่ได้สนใจหลี่หลิน และกล่าวกับอวี๋ฮ่าวว่า: “แล้วเจ้าจะมัวรออะไรอยู่? ข้าคิดว่าเจ้าจะบุกเข้ามาฆ่าข้าเสียอีก”

 

“4 ฝ่ามือ…นั่นคือทั้งหมดของเจ้า? มันเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวของทักษะแปดฝ่ามือพิฆาต ช่างน่าขันยิ่งนัก”

 

อวี๋ฮ่าวรู้ว่าหลินเฟิงใช้ทักษะอะไรโจมตีหลี่หลิน ภายในนิกายหยุนไห่หลายคนได้เรียนรู้และฝึกฝนในทักษะระดับเดียวกัน ศิษย์ภายในส่วนใหญ่สามารถปลดปล่อยการโจมตีได้ถึง 4 ครั้ง แต่ถ้าเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์บางคนพวกเขาอาจทำได้ 5 ครั้ง แต่มีศิษย์ภายในจำนวนน้อยมากที่สามารถโจมตีได้มากกว่า 4 ครั้ง มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากที่จะได้เห็นคนที่มีพรสวรรค์พอที่จะโจมตีได้ 4 ครั้ง

 

หลินเฟิงใช้เพียงแค่ 4 ฝ่ามือจาก 8 ฝ่ามือ แต่เขาสามารถควบคุมมันได้อิสระถ้าเขาอยากจะโจมตี เขาไม่ต้องการใช้พลังทั้งหมดไปกับการต่อสู้ระหว่างหลี่หลิน

 

“แม้ว่าข้าจะพูดว่าจะฆ่าเจ้า แต่วันนี้เป็นวันสอบเป็นศิษย์ภายใน…แม้ว่าพวกเราจะอยู่ในลานประลองแห่งชีวิต แต่ก็ไม่สามารถฆ่ากันอย่างโจ่งแจ้งได้ ดังนั้น วันนี้ข้าจะทำลายการบ่มเพาะพลัง และทำลายแขนทั้งสองข้างของเจ้าซะ เจ้าจะต้องรู้สึกตายทั้งเป็น หลังจากจบการต่อสู้ครั้งนี้”

 

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน อวี๋ฮ่าวได้ดึงดาบออกมาจากฝักที่เขาแบกไว้ด้านหลัง ดาบของเขาส่องแสงแวววาว ราวกับแสงแดดที่ส่องแสงกระทบกับแม่น้ำ มันเป็นแสงที่แวววาวมาก และมีพลังปราณเริ่มแพร่กระจายไปทั่วอากาศ

 

มันยังไม่เพียงพออวี๋ฮ่าวคิด จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยจิตวิญญาณดาบออกมา มันเป็นเงาของดาบที่แหลมคมปรากฏอยู่เบื้องหลังเขา ปลายดาบของมันชี้ไปยังท้องฟ้าราวกับมันจะตัดแบ่งแยกท้องฟ้าเป็นสองส่วน

 

“ถึงแม้ว่าผู้ที่ครอบครองจิตวิญญาณแห่งดาบจะไม่ได้อ่อนแอ แต่หลินเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความอันตราย”

 

เหล่าศิษย์ในฝูงชนที่ยืนมุงอยู่ใกล้ๆกับเวทีประลองสามารถรู้สึกได้ถึงพลังปราณดาบอันแข็งแกร่ง และทรงพลัง ราวกับกำลังถูกแรงกดดันของอวี๋ฮ่าวที่ปลดปล่อยออกมากดทับ ทำให้พวกเขารู้สึกหน้ามืด และอึดอัด อย่างไรก็ตามหลินเฟิงผู้ที่ยืนอยู่ใกล้กับอวี๋ฮ่าวมากที่สุดกับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบพึ่งพาจิตวิญญาณดาบของเจ้า ดังนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญการใช้ดาบมันหมายถึงอย่างไร”

 

น้ำเสียงของหลินเฟิงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า จากนั้นเขาก็ดึงดาบออกมาจากฝักที่เขาแบกไว้อยู่ด้านหลัง และปลดปล่อยพลังปราณ พลังปราณของเขาแพร่กระจายไปทั่วบรรยากาศ ทำให้แรงกดดันในบรรยากาศรุนแรงมากยิ่ง

 

“อะไรกัน เขาก็เป็นผู้ใช้ดาบงั้นรึ หรือว่าเขาจะมีจิตวิญญาณแห่งดาบ?”

 

ทุกๆคนรู้สึกสั่นเทา เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่อัดแน่นอยู่ในดาบของหลินเฟิง อวี๋ฮ่าวก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน ทุกๆคนล้วนตกอยู่ในความมึนงงเพราะหลินเฟิงสามารถปลดปล่อยแรงกดดันได้รุนแรงขนาดนี้โดยที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณดาบออกมา ใบหน้าของหลินเฟิงปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก

 

“เขาจะต้องมีจิตวิญญาณดาบสิ มิฉะนั้นเขาจะใช้ดาบไปทำไม?”

 

อวี๋ฮ่าวก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นได้มีแสงดังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งบรรยากาศ พลังปราณของดาบเริ่มที่จะรุนแรง และทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ จิตวิญญาณดาบที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็ส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

 

ดาบของอวี๋ฮ่าวเริ่มที่จะทรงพลังมากยิ่งขึ้น และกำลังตัดผ่านอากาศพุ่งตรงไปยังหลินเฟิง

 

“เจ้าจำเป็นที่จะต้องมีจิตวิญญาณดาบเพื่อใช้ทักษะดาบงั้นรึ? เจ้าคิดว่ามีเพียงผู้บ่มเพาะพลังที่ครอบครองจิตวิญญาณดาบเท่านั้นรึไงที่จะใช้ทักษะดาบได้?” หลินเฟิงถาม เขาดูสงบเยือกเย็นมาก จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าและกล่าว: “ถึงแม้เจ้าจะมีจิตวิญญาณดาบ แต่เจ้าก็ไม่รู้พื้นฐานของการใช้ดาบเลยแม้แต่“

 

“ตู้มมมมมมม“

 

ทันใดนั้น ได้มีพลังปราณอันแข็งแกร่งพุ่งเข้ามาหาอวี๋ฮ่าว แม้แต่พลังที่เขาปลดปล่อยออกมายังต้องถูกกลืนกิน

 

หลินเฟิงเริ่มรวบรวมพลังไว้ที่ปลายดาบของเขา ทำให้พลังที่ปลดปล่อยออกมามันรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

 

“อำนาจ…เขาใช้อำนาจของดาบ”

 

เหล่าผู้คนที่อยู่ในกลุ่มฝูงชน ไม่ค่อยได้เห็นผู้บ่มเพาะพลังที่รู้วิธีใช้อำนาจของดาบมากนัก โดยส่วนใหญ่ผู้ที่พวกเขาเห็นมักจะต่อสู้ระหว่างศิษย์ภายใน และศิษย์หลัก ทุกคนเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่อยู่ในดาบของหลินเฟิง ทำให้ฝูงชนตกใจมากกว่าเดิม

 

“นั่นมันจะต้องเป็นอำนาจของดาบ”

 

“ทรงพลังยิ่งนัก!”

 

มีพลังปราณจำนวนมากมายมหาศาลปลดปล่อยออกมาจากดาบ ทำให้หลินเฟิงสามารถจัดการกับอวี๋ฮ่าวได้อย่างง่ายดาย

 

“โอ้พระ…เขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เพิ่งบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณ แต่เขาสามารถควบคุมอำนาจของดาบได้อย่างสมบูรณ์ ช่างเป็นอัจฉริยะอะไรเช่นนี้!”

 

บางคนรู้จักอำนาจของดาบ มันเป็นเรื่องยากมากๆที่จะเข้าใจและควบคุมมันได้ โดนเฉพาะอย่างยิ่งหลินเฟิงผู้ที่เป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดา แต่เขาสามารถควบคุมมันได้ แม้ว่าผู้บ่มเพาะพลังบางคนที่อยู่จัดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณยังไม่สามารถควบคุมอำนาจของดาบได้ดีเท่าหลินเฟิง แต่ดูเหมือนหลินเฟิงเขาจะสามารถควบคุมอำนาจของดาบได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

แน่นอน ศิษย์ธรรมดาบางคนก็ไม่รู้เรื่องอำนาจของดาบ และกำลังถามศิษย์คนอื่นๆว่าหลินเฟิงปลดปล่อยแรงกดดันจากดาบที่รุนแรง และกดขี่ขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

 

“เขาเป็นคนทำให้กลองที่หน้าผาจ้านกู้ดัง แถมเขายังเยาว์วัย แต่เขากลับแข็งแกร่งขนาดนี้ ตอนอายุเท่าเขาข้าทำได้เพียงแค่ฝันเท่านั้นที่จะแข็งแกร่งขนาดนี้ เขาสมควรได้รับสถานะที่สูงส่งในนิกาย เขาสมควรได้รับชื่อเสียงว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง พวกเราควรดูแลสนับสนุนเขาให้เป็นอย่างดี และให้เกียรติเขา เขาจะต้องเป็นอนาคตของนิกายแน่ๆ”

 

หนานกงหลิงเข้าใจสิ่งที่ผู้พิทักษ์เป๋ยเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ และเข้าใจว่าทำไมเขาถึงให้ความสำคัญกับหลินเฟิง เขาจะต้องกลายเป็นเสาหลักของนิกาย และข้าจะต้องแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้ม่อเสียพยายามฆ่าเขาอีกครั้ง เพราะหลินเฟิงเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง!

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments