ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลินเฟิงยิ้ม สิ่งที่เขาพูดมันไม่ได้ผิด เพราะหลิ่วเฟยกำลังมีท่าทีแปลกๆ
หลิ่วเฟยจ้องมองไปที่หลินเฟิงทำให้หัวใจของนางเต้นไม่เป็นจังหวะ นางไม่สามารถทนต่อความเขินอายได้ นางจึงกัดฟัน นางไม่ได้โกรธหลินเฟิง แต่นางพยายามควบคุมตัวเอง
“มีเรื่องบางอย่างที่ข้าอย่างคุยกับเจ้า”
หลิ่วเฟยกล่าว หลังจากกล่าวเสร็จนางก็เงียบอีกครั้ง ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง นางพยายามเปิดปากพูด แต่นางเขินอายมาก จนทำให้นางไม่กล้าพูด
“เจ้าอย่างพูดคุยกับข้าเรื่องอะไร?” หลินเฟิงถาม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหิมะจันทรา?” หลิ่วเฟยถาม
“แน่นอนข้ารู้ ตระกูลจักรพรรดิยังไงล่ะ” หลินเฟิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว หลินเฟิงรู้ว่าตระกูลจักรพรรดิแข็งแกร่งที่สุด และไม่มีใครกล้าท้าทายพวกเขา นี่คือเหตุผลที่พวกเขาสามารถปกครองอาณาจักรได้อย่างง่ายดาย เฉพาะบุคคลที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถเป็นจักรพรรดิได้ และมีเพียงพลังเท่านั้นที่สามารถปกครองอาณาจักรได้ มันเป็นความจริง
หลิ่วเฟยรู้สึกประหลาดใจ นางไม่คิดว่าหลินเฟิงจะรู้เยอะขนาดนี้ เขาตอบกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดแม้แต่น้อย
“ถูกต้อง อาณาจักรหิมะจันทรา ตระกูลจักรพรรดิเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด แม้ภายในอาณาจักรจะมีนิกายแข็งแกร่งมากมายคล้ายๆกับนิกายหยุนไห่ แต่ก็ไม่มีนิกายใดๆกล้าเผชิญหน้ากับตระกูลจักรพรรดิ” หลิ่วเฟยอธิบาย “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จักรพรรดิได้ขอให้ศิษย์ที่โดดเด่นบางคนของอาณาจักรหิมะจันทราช่วยพัฒนาลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา พวกเขาจะได้รับทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะพลังที่ดีที่สุด และจะมีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดคอยให้คำแนะนำ พวกเขาจะปลุกปั้นศิษย์โดดเด่นเหล่านี้ให้กลายเป็นผู้นำในอนาคต
ในขณะนั้นหลิ่วเฟยหยุดพูด และมองดูปฏิกิริยาของหลินเฟิง
หลินเฟิงมองไปที่หลิ่วเฟยพร้อมกับรอยยิ้ม และถาม: “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?”
หลิ่วเฟยมองไปที่หลินเฟิงพร้อมกับความโกรธที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นในใจของนาง นางกำลังสาปแช่งเขาอยู่ภายในใจ เขาฉลาดมาก และนางไม่อยากจะเชื่อว่าหลินเฟิงสามารถเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะพูดได้เพียงเวลาสั้นๆ
“เจ้าไม่สนใจไปที่นั้นหรือ? เจ้าไม่สนใจ เม็ดยาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม , อาวุธที่ยอดเยี่ยม หรือทักษะการต่อสู้ และเทคนิคการเคลื่อนไหวอันล้ำเลิศ ที่จะได้รับหรอกหรือ?” หลิ่วเฟยกล่าวขณะพยายามโน้มน้าวหลินเฟิง
หลินเฟิงเข้าใจว่าหลิ่วเฟยต้องการจะสื่ออะไร เห็นได้ชัดว่านางมีเจตนาที่ดี แต่เขาก็ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของนาง นางและตระกูลจักรพรรดิมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และทำไมนางถึงต้องการหาคนไปที่นั้น?
เมื่อหลินเฟิงนึกถึงวันที่เขาเห็นหลิ่วเฟยกำลังขี่ม้าโลหิต เขาเชื่อว่าหลิ่วเฟยจะต้องมีสถานะพิเศษมากแน่ๆภายในเมืองจักรพรรดิ
หลิ่วเฟยจ้องมองไปที่นัยน์ตาของหลินเฟิง และเห็นนัยน์ตาของหลินเฟิงเป็นประกายด้วยกลอุบายของนาง ทำให้นางยิ้ม และกล่าว: “เจ้าสนใจไหม?”
หลินเฟิงเกาหัว ขณะมองไปที่หลิ่วเฟย และหัวเราะคิกคัก: “ที่แห่งนั้นมันมีหญิงสาวที่งดงามแบบเจ้าไหม?”
“…………”
เมื่อหลินเฟิงเห็นหลิ่วเฟยกำลังหน้าแดง เขาจึงหัวเราะ และเริ่มเดินหนี
“แม้ว่าตระกูลจักรพรรดิจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็มีตระกูลอื่นๆที่มีความทะเยอทะยานมากมาย ตระกูลจักรพรรดิต้องการให้พวกเขาส่งมอบศิษย์ที่ดีที่สุดของพวกเขา และไปที่ลานศักดิ์สิทธิ์…เจ้าคิดจริงๆหรือว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ?”
หลังจากที่คำพูดพวกนี้พูดออกมาจากปากของหลินเฟิง ทำให้หลิ่วเฟยจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด เขาฉลาดกว่าที่นางคิดไว้ ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ภายในระยะเวลาสั้น เขาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง แต่เขากำลังทำให้นางเสียหน้า
หลิ่วเฟยรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเพราะคำพูดของหลินเฟิง ถ้านางมีโอกาสนางจะมอบความพ่ายแพ้ให้กับหลินเฟิง และทำให้เขาต้องเสียใจ นั่นคือการแก้แค้นของนางที่ถูกหลินเฟิงตอบโต้กลับเสมอ นางเริ่มเดินตามหลินเฟิงไป
…………
ภูเขาเก้ายอดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ศิษย์ภายในอาศัยอยู่
ภายในภูเขาเก้ายอด มีถ้ำขนาดยักษ์ซึ่งเป็นที่นิยมของเหล่าศิษย์ภายใน เพราะมันติดกับหน้าผา
ที่ด้านบนของหน้าผา จะมีแผ่นหินสลักชื่ออยู่ ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อของศิษย์ภายในที่แข็งแกร่งที่สุด มีทั้งหมด 80 ชื่อที่ถูกสลักไว้บนหิน
ศิษย์ภายในทุกคนที่อยู่ภายในนิกายพวกเขาคาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีชื่อของตัวเองสลักอยู่บนหิน มันหมายความว่าพวกเขาได้มาถึงจุดสูงสุดของศิษย์ภายในแล้ว และจะได้รับความเคารพจากทุกๆคน
ในขณะนั้นชื่อของ ถูฟู ที่อยู่อันดับต้นๆได้หาย พวกเขาทุกคนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเป็นคนแรกๆที่ได้ลายเป็นศิษย์หลัก หลังจากต่อสู้ชนะศิษย์หลัก
จากนั้นก็มีชื่อใหม่เข้ามาแทนชื่อของ ถูฟู ในรายชื่อของศิษย์ภายใน
“เหวินเริ่นเหยียน”
เขาใช้เวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นก็มาถึงอันดับสูงสุดของการจัดอันดับศิษย์ภายในแล้ว ทุกๆคนล้วนรู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน เขามีพลังที่สามารถเป็นศิษย์หลักได้ แต่เขาตัดสินใจอยู่เป็นศิษย์ภายในต่อ ทุกคนรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น เขาไม่ต้องการเข้าร่วมเป็นศิษย์หลัก เพราะเขาเป็นคนที่หยิ่งยโส ถ้าเขาเข้าร่วมเป็นศิษย์หลักเขาจะเป็นศิษย์หลักที่ดีอันดับล่างๆ เขาอยากอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆดังนั้นเขาจึงเป็นศิษย์ภายในต่อ ดีกว่าเป็นศิษย์หลักที่อยู่อันดับล่างๆ
เหวินเริ่นเหยียนมีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น มีศิษย์รุ่นเยาว์ที่มากพรสวรรค์มากมายในนิกายหยุนไห่ เขาไม่เคยเป็นศิษย์ธรรมดา เพราะเมื่อเขาเข้าร่วมนิกายเขาก็เป็นศิษย์ภายในแล้ว เมื่อเขาได้เข้าร่วมเป็นศิษย์ภายใน เขามุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับศิษย์คนอื่นๆ ทำให้ชื่อเสียงและอันดับของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น ชื่อของเขาก็อยู่อันดับสูงที่สุดในแผ่นหินเสียแล้ว
หลายคนชื่อชมเหวินเริ่นเหยียน และศรัทธาในพลังของเขา เขาประสบความสำเร็จอย่างมากภายใน 1 ปี เขาต่อสู้จนชื่อของเขาไปอยู่บนสุดในแผ่นหิน เขาสามารถเปรียบเทียบได้กับคนอย่างลิ่งหูเหอซาน หรือแม้แต่ถูฟูได้
ด้านนอกถ้ำมีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งมาถึง ศิษย์ทุกคนมองไปที่กลุ่มของพวกเขาด้วยสายตาที่เคารพนับถือ
“เหวินเริ่นเหยียนมาถึงแล้ว”
คนภายในกลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นชายวัยเยาว์ส่วมชุดสีขาว เขาดูหยิ่งและทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และรุ่นเยาว์คนหนึ่งเขามีตาสีฟ้าเข้ม และมีหน้าตาที่ดูเย็นชา เขาคือ เหวินเริ่นเหยียน
“เหวินเริ่น ยินดีด้วย!” ศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างๆกล่าวพร้อมกับยิ้ม
“อันดับสูงสุดในหมู่ศิษย์ภายใน…มันก็งั้นๆ” เหวินเริ่นเหยียนตอบกลับปราศจากอารมณ์ความรู้สึก เขาจ้องมองไปที่ชื่อของตัวเองบนแผ่นหิน และกล่าว: “เฉินชิง ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้สมควรมีชื่ออยู่ในอันดับศิษย์”
“แน่นอน ข้าจะทำให้ดีที่สุด” เฉินชิงกล่าวขณะพยักหน้า เฉินชิงเป็นศิษย์ภายในที่พ่ายแพ้ให้กับหลินเชียนต่อหน้าทุกๆคนตอนที่นางมาเยือนนิกาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเฉินชิงก็ฝึกฝนหนักมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกไม่นานเขาก็จะบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้น 2 ได้แล้ว เขาก็ถือว่าเป็นรุ่นเยาว์ที่อัจฉริยะคนหนึ่ง เขาเป็นที่นับถือของศิษย์ภายในจำนวนมาก แม้กระทั่งเหวินเริ่นเหยียนยังนับถือเขาเพราะความมุ่งมั่นของเขา
จากนั้น เหวินเริ่นเหยียนยิ้ม และเหลือบมองไปที่ฝูงชน และประกาศ
“ตั้งแต่วันนี้ ข้าขอประกาศว่า หลิ่วเฟย เป็นของข้า ถ้าใครคนใดพยายาตามจีบนาง อย่าหาว่าข้าเป็นคนโหดเหี้ยม”
ทุกๆคนต่างถอนหายใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่เหวินเริ่นเหยียนกล่าว เขาสนใจหลิ่วเฟยมานานแล้ว และตอนนี้เขาก็เป็นศิษย์ภายในที่แข็งแกร่งที่สุด เขาต้องการกีดกันไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้หลิ่วเฟย
เหวินเริ่นเหยียนเป็นคนพูดจริง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเป็นศิษย์หลัก เพราะเขาต้องการเป็นศิษย์ภายในที่มีอันดับสูงสุดต่อ แต่อย่างไรก็ตามมีศิษย์หลักผู้ที่แข็งแกร่งมากมายหลายคนสนใจหลิ่วเฟย ในสายตาของหลิ่วเฟย นางไม่ได้สนใจ เหวินเริ่นเหยียนเลยแม้แต่น้อย
ฝูนชนต่างพูดไม่ออก เมื่อได้ยินเสียงตะโกนที่ดังขึ้นมา
“เจ้ากล้าดียังไงถึงพูดว่าหลิ่วเฟยเป็นของเจ้า?” หานหมานรู้ว่าหลินเฟิง และหลิ่วเฟยอยู่ด้วยกันในขณะนี้ ดังนั้นหานหมานจึงโกรธมากเมื่อได้ยินเหวินเริ่นเหยียนประกาศว่าหลิ่วเฟยเป็นของเขา
“ห๊าาา?” ทุกคนประหลาดใจ
“มันผู้นั้นเป็นใครกันถึงได้กล้ายั่วยุเหวินเริ่นเหยียนเช่นนี้? หรือว่าเขารนหาที่ตาย?”
ฝูงชนกำลังพูดคุยกับตัวเอง ไม่เพียงแต่เหวินเริ่นเหยียนจะเป็นคนที่แข็งแกร่งมากๆ แต่เขายังได้รับความเคารพจากศิษย์จำนวนมากภายในนิกาย แม้แต่ศิษย์หลักบางคนยังไม่กล้าที่จะยั่วยุเขา
“ดี” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวขณะหันหลัง ดวงตาสีฟ้าของเขาเต็มไปด้วยเจนตนาฆ่า และโจมตีใส่หานหมานทันที
“ตู้มมมมมมม!”
ร่างของหานหมานกระแทกกับกำแพงของหน้าผา และมีเลือดไหลออกจากปากของเขา ดวงตาของเขาแสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ถ้าเจ้าพูดอีกครั้ง ข้าจะฆ่าเจ้า”
แม้ว่าน้ำเสียงของเหวินเริ่นเหยียนจะฟังดูสงบ แต่มันเป็นไปด้วยความหนักแน่น
“ไร้สาระ” หานหมานกล่าวขณะถุ้ยเลือดออกจากปาก เขาจ้องมองไปที่เหวินเริ่นเหยียนอย่างเยือกเย็น และกล่าว: “อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุด แม้เจ้าจะใช้เวลาแค่ 1 ปีก็มาถึงจุดสูงสุดของการจัดอันดับศิษย์ แต่เมื่อสหายของข้ามาถึงเขาจะเขี่ยชื่อของเจ้าออกไป”
“ห๊าาาาาา? แล้วสหายของเจ้าคือใครกัน? บอกข้ามา ” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“หลินเฟิง ชายผู้ที่กุมหัวใจของหลิ่วเฟย”
หานหมานตั้งใจพูดออกมา หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการสองเป็นศิษย์ภายในหลินเฟิงกล้าที่จะสังหารศิษย์ภายในต่อหน้าทุกๆคนรวมถึงผู้อาวุโส หานหมานเชื่อว่าจะไม่มีใครกล้ายั่วยุหลินเฟิง และหานหมานก็เชื่อว่าหลินเฟิงสามารถเอาชนะเหวินเริ่นเหยียนได้ภายใน 1 ปี
“ใครคือหลินเฟิง?”
เหวินเริ่นเหยียนกล่าวอย่างไม่แยแส เขาไม่ได้ไปดูการสอบในวันนั้น เพราะเขารู้ว่าไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายเขาเพราะเขาเป็นหนึ่งในศิษย์ภายในที่แข็งแกร่งที่สุด
“น่าจะเป็นใครสักคนหนึ่งที่เพิ่งบรรลุขอบเจตจิตวิญญาณ เขาไม่สามารถเทียบกับเจ้าได้หรอกเหวินเริ่น”
คำพูดของเฉินชิงเต็มไปด้วยการดูถูก
“โอ้ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าไม่สามารถเทียบกับเหวินเริ่นเหยียนได้?”
ทันใดนั้นได้มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา และปรากฏร่างเงาทั้งสองร่างในระยะไกล….