I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 85 อัจฉริยะที่ถูกเลือก

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

 

“ตู้มมม!!”

 

 เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งลานประลอง เหวินเริ่นเหยียนไม่อาจหลบเลี่ยงการโจมตีได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขาซีดขาวและกระอักเลือกออกมา คมดาบสังหารของหลินเฟิงทรงพลังยิ่งนัก

 

 “แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

 

 ในตอนนั้นเอง ปราณที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าเข้าปะทะกับปราณดาบ เกิดเสียงดังกังวานไปทั่วทั้งหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน นอกจากนี้ได้มีร่างเงาหนึ่งปรากฏตัวหน้าหลินเฟิง นางคือหญิงชราที่เป็นอาจารย์ของเหวินเริ่นเหยียน

 

 “พอเท่านี้แหละ เจ้าชนะแล้ว” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส ราวกับว่าความอดทนของนางได้หมดลง

 

 ม่านตาของหลินเฟิงหดลง นี่มันเรื่องตลกอะไร? เขาชนะ แต่เหวินเริ่นเหยียนกลับไม่ต้องตาย?

 

 “ยายแก่ เจ้าลืมข้อตกลงของพวกเรา?” ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวความโกรธ

 

 “อย่างได้กังวล ข้าไม่ได้ลืม แต่เหวินเริ่นเหยียนเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า แม้ว่าข้าจะต้องเสียหน้าในตอนนี้ แต่ข้าก็ไม่อยากทนเห็นศิษย์ของข้าต้องตายได้”

 

 คำกล่าวของหญิงชราทำให้ฝูงชนต่างกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ นางกล่าวกับผู้พิทักษ์เป๋ยว่าไม่ต้องกังวลและยังบอกอีกว่าไม่ได้ลืมข้อตกลงของพวกเขา แต่นางกลับเข้ามาขัดจังหวะการต่อสู้และช่วยชีวิตเหวินเริ่นเหยียน แบบนี้มันไม่ขัดแย้งกันไปหน่อยหรือ?

 

 แต่ฝูงชนกลับสนใจเรื่องนี้ไม่ สิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเขานั้นก็คือดาบของหลินเฟิงเมื่อสักครู่ หลินเฟิงเอาชนะเหวินเริ่นเหยียนผู้ซึ่งเป็นอับดับหนึ่งของศิษย์ภายในได้อย่างขาดลอย

 

 ในตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าหลินเฟิงคือศิษย์ภายในที่แข็งแกร่งที่สุด!

 

 หนานกงหลิงลุกขึ้นยืน เขาจ้องมองไปยังลานประลองแห่งชีวิตด้วยความรู้สึกมากมาย เขารู้สึกภูมิใจในตัวของศิษย์รุ่นเยาว์ที่น่าอัศจรรย์คนนี้มาก

 

 “เอาล่ะ การทดสอบศิษย์ภายในของวันนี้จบลงเพียงแค่นี้ ทุกคนแยกย้ายได้”

 

 ผู้พิทักษ์เป๋ยโบกมือไล่ให้ทุกคนกลับไป เขาไม่แม้จะโต้เถียงกับหญิงชรา

 

การทดสอบศิษย์ภายในจบแล้ว?

 

 “ฮ่าๆๆ อะไรกัน การทดสอบศิษย์ภายในที่น่าสนใจ จะไม่จบเร็วไปหน่อยหรือ?”

 

 ในตอนนั้นเอง ต้วนเทียนหลางได้กล่าวแทรกขึ้นมา ทำให้หนานกงหลิงขมวดคิ้ว

 

 “ประมุข ให้เหล่าศิษย์แยกย้ายและสลายตัวกันได้แล้ว”

 

 ผู้พิทักษ์เป๋ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฝูงชนต่างประหลาดใจ แยกย้าย…. สลายตัว?

 

 มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

 ผู้คนมากมายราวกับรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี จากนั้นเสียงหัวเราะของต้วนเทียนหลางก็กระจายไปทั่ว

 

 “ ฮ่าๆๆๆ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะต้องตาย ไม่มีใครจะออกไปได้ทั้งนั้น ถ้าให้ดีก็อย่าได้ขัดขืน!”

 

 “ต้วนเทียนหลาง เจ้าหมายความว่ายังไง!?”

 

 ท่าทีของหนานกงหลิงกลายเป็นจริงจัง เข้าจ้องมองไปที่ต้วนเทียนหลางด้วยสายตาที่ดุร้าย

 

 “หมายความว่ายังไง? หนานกงหลิง, เจ้าคิดหรือว่าข้ามาที่นี่เพียงเพราะมาดูการทดสอบศิษย์ภายในของนิกายหยุนไห่จริงๆ เจ้าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก” ต้วนเทียนหลางยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวต่อ “ที่ข้ามาที่นี่ เป็นเพราะนิกายหยุนไห่ปฏิเสธที่จะมอบศิษย์ที่ดีที่สุดบางส่วนให้กับพวกเรา วันนี้ข้ามาในฐานะของตัวแทนขององค์ราชา”

 

“ตู้มมมม…”

 

 ดาบของเขาเริ่มระเบิดพลังออกมา พื้นดินแตกกระจายและสั่นไหวทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัว

 

 มันยังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง และเกิดเสียงดังและดังขึ้นเรื่อยๆ มันเกือบจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของนิกายหยุนไห่

 

 “เห้อออ…” ผู้พิทักษ์เป๋ยถอนหายใจด้วยความเศร้า เขาตระหนักได้ว่าคนพวกนี้มาที่นิกายหยุนไห่เพราะจุดประสงค์ที่ชั่วร้าย

 

 พื้นดินยังคงสั่นสะเทือนและเศษฝุ่นมากมายคละคลุ้งไปทั่วอากาศ ในตอนนั้นเองผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นและมองเห็นกองทหารม้าโลหิตอยู่ด้านบนสุดของหุบเขา พวกเขาถือคันธนูไว้และดูเหมือนว่าพร้อมจะโจมตีได้ตลอดเวลา

 

 “กองทหารม้าโลหิต” หลินเฟิงหรี่ตาลง กองทหารม้าโลหิตมาที่นี่ทำไมกัน?

 

 หลินเฟิงจ้องมองไปยังกองทหารม้าโลหิตและเหลือบมองไปยังหลิ่วเฟยที่กำลังอยู่ในท่าทีประหลาดใจเช่นเดียวกับเขา

 

นี่มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน?

 

 หลิ่วเฟยประหลาดใจอย่างมาก กองทหารม้าโลหิตเป็นกองกำลังส่วนตัวของบิดานาง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือพวกเขากลับมาล้อมกรอบนิกายหยุนไห่ซึ่งเป็นสถานที่ที่บิดาของนางเคยอยู่

 

 “เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านพ่อจะออกคำสั่งด้วยตัวเอง? มันจะเป็นไปได้อย่างไร?” หลิ่วเฟยครุ่นคิดและไม่อาจหาคำตอบได้ นางคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างมาก ไม่มีใครเข้าใจบิดาของนางไปมากกว่าตัวนางอีกแล้ว… บิดาของนางไม่มีทางที่จะออกคำสั่งอะไรแบบนี้

 

นี่มันอะไรกัน?

 

 “ต้วน… เทียน… หลาง…” หนานกงหลิงจ้องมองอย่างดุร้าย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

 “หนานกงหลิงอย่าได้จ้องมองข้าแบบนี้ กองทหารม้าโลหิตเป็นกองกำลังส่วนตัวของสหายรักของเจ้า หลิ่วช่างหลาน ถ้ามีปัญหาอะไรก็ไปคุยกับเขาไม่ใช่ข้า”

 

 ต้วนเทียนหลางยิ้มอย่างชั่วร้าย

 

ในตอนนี้ ด้านบนของหุบเขาเต็มไปด้วยกองทหารม้าโลหิตที่แข็งแกร่ง

 

 หุบเขาแห่งความป่าเถื่อนถูกรายล้อมไปด้วยกองทหารม้าโลหิต ดูเหมือนจะเป็นสถานการณ์ที่วิกฤตและอันตราย

 

 ศิษย์มากมายของนิกายหยุนไห่ต่างหวาดกลัว คนพวกนี้มาทำอะไรกันแน่?”

 

 ภายในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน รอบๆลานประลองแห่งชีวิต จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น

 

 เหวินเริ่นเหยียนอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมาก เขาบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีและถ้าเกิดการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับเป็นประโยชน์ต่อตัวเขา

 

 ทันใดนั้นต้วนเทียนหลางได้ลงมายังแท่นพิธีและก้าวเดินอย่างเชื่องข้า

 

 ฉู่ฉิงที่อยู่ข้างๆเขาแลดูประหลาดใจ ต้วนเทียนหลางก้าวตรงไปยังลานประลองชีวิตอย่างช้าๆ

 

 เขาทรงพลังอย่างมาก ดูเหมือนว่าทุกย่างก้าวของเขาทำให้บรรยากาศสั่นสะเทือน เขาเดินขึ้นไปด้านบนของลานประลองแห่งชีวิต

 

 “ทุกคนในนิกายหยุนไห่จงฟัง!”

 

 ต้วนเทียนหลางเหลือบมองไปยังทุกคนและกล่าวเสียงดัง “ข้า ต้วนเทียนหลาง เป็นตัวแทนขององค์ราชา หน้าที่ของข้าคือคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นบางคนให้เข้าร่วมกับลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา อย่างไรก็ตามประมุขของพวกเจ้าปฏิเสธที่จะตอบรับคำสั่งขององค์ราชา วันนี้องค์ราชาได้ทรงพิโรธและต้องการที่จะลบนิกายหยุนไห่ให้หายไป”

 

 คำพูดของต้วนเทียนหลางถูกสลักลึกเข้าไปในวิญญาณของทุกคน เขาต้องการที่จะทำให้นิกายหยุนไห่หายไปจากอาณาจักรหิมะจันทรา?

 

 ถ้าเขาต้องการที่จะทำให้นิกายหยุนไห่หายไปจริงๆ คงมีเพียงทางเดียว… นั่นก็คือกำจัดทุกคนในนิกาย

 

 คนเหล่านี้ต้องการกำจัดสมาชิกทุกคนของนิกายหยุนไห่!!

 

 ฝูงชนกลายเป็นตื่นตระหนกยิ่งขึ้น เหล่าศิษย์ต่างเข้าร่วมกับนิกายเพราะจะได้เพิ่มพูนพลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การถูกฆ่าโดยไม่มีเหตุผลมันไร้ความยุติธรรมสิ้นดี

 

 “อย่างไรก็ตาม องค์ราชายังทรงมีความเมตตา พระองค์ทรงให้โอกาสศิษย์ธรรมดา, ศิษย์ภายในและศิษย์หลักที่มีรายชื่อติดอันดับ ให้ออกจากนิกายและเข้าร่วมกับลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา ส่วนคนอื่นไม่จำเป็น”

 

 คำพูดของต้วนเทียนหลางยิ่งสร้างความวุ่นวายมากขึ้น เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างยังสับสนและหวาดกลัว

 

 ออกจากนิกายหยุนไห่? เฉพาะศิษย์ที่มีรายชื่อติดอันดับ?

 

 บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีรายชื่อติดอันดับต่างผิดหวังในพลังของตัวเอง พวกเขาไม่มีโอกาสได้รับอาวุธและทักษะที่ดีที่สุด พวกเขาจะต้องตายอยู่ที่นี่เพราะนิกายที่พวกเขาเลือก

 

 หนานกงหลิงผู้ที่นั่งอยู่บนแท่นพิธีดูไม่มีความสุขเลยกับสิ่งที่ได้ยิน พวกเขาต้องการที่จะทำลายนิกายหยุนไห่ที่เขารัก? เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่?

 

 นิกายหยุนไห่ก่อตั้งมานับพันปีและเผชิญกับวิกฤตมากมายแต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับครั้งนี้ นี่ถือเป็นเหตุการณ์ที่สั่นคลอนนิกายมากที่สุด

 

 นิกายห้าวเย่ หมู่บ้านน้ำแข็งหิมะ นิกายโมโซ่วและต้วนเทียนหลางมาที่นี่เพื่อที่จะถอนรากถอนโคนนิกายหยุนไห่ออกจากอาณาจักรหิมะจันทรา

 

 เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากตระกูลจักรพรรดิ พวกเขาสั่งให้ต้วนเทียบหลางทำงานนี้

 

 “ทำไมจะต้องเป็นนิกายหยุนไห่?”

 

หนานกงหลิงยังคงเยือกเย็นเหมือนเดิม เขาจ้องมองไปยังต้วนเทียนหลางราวกับจะฉีกกระชากเนื้อและกระดูกของเขา นิกายหยุนไห่จะถูกลบหายไปในยุคของหนานกงหลิงหรือไม่?

 

 “หนานกงหลิง เจ้าไม่เข้าใจจริงๆหรือ?” ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างเย็นชา

 

 “ถ้าเจ้าจะบอกว่ามันเป็นเพราะข้าไปข่มเหงลูกชายของเจ้า ข้าคงจะไม่เชื่อ นิกายห้าวเย่, หมู่บ้านน้ำแข็งหิมะ นิกายโมโซ่ว… พวกเจ้าต้องการที่จะทำลายนิกายหยุนไห่ด้วยเหตุผลไร้สาระและโง่เขลา”

 

 หนานกงหลิงเหลือบมองไปยังฉู่ฉิงและห่านเสวี่ยเทียน

 

 “ฮ่าๆๆๆ ถูกต้อง นิกายห้าวเย่ในตอนแรกก็ปฏิเสธ แต่เมื่อข้าพูดว่าจะทำให้นิกายหยุนไห่เข้าร่วมหรือทำลายพวกมัน พวกเขาก็ตอบตกลงในทันที”

 

 ต้วนเทียนหลางทำให้ฝูงชนประหลาดใจอีกครั้ง ทำให้นิกายหยุนไห่เข้าร่วมหรือทำลายทิ้ง?

 

 “ข้ารู้” หนานกงหลิงยิ้มอย่างโศกเศร้า เมื่อพวกเขามาที่นี่ หนานกงหลิงพยายามคาดเดาว่าทำไมฉู่ฉิงจึงมาด้วย

 

 “แล้วทำไมถึงต้องเป็นนิกายหยุนไห่? ง่ายมากเพราะนิกายหยุนไห่อ่อนแอที่สุดและง่ายที่จะเอาชนะ เจ้าจะต้องให้ศิษย์ที่ดีที่สุดของเจ้าออกจากนิกายและเข้าร่วมกับข้า จากนั้นข้าอาจจะแสดงความเมตตา”

 

“เจ้ามันโกหก!”

 

เสียงหนึ่งดังขึ้น มันดังมาจากร่างเงาที่อ่อนช้อยและสง่างามซึ่งกำลังเดินออกมาจากฝูงชนและตรงขึ้นไปบนลานประลองแห่งชีวิต การแสดงออกของนางทั้งเกลียดชังและขมขื่นอย่างมาก

 

 “ต้วนเทียนหลาง เจ้ามันโกหก”

 

 ใบหน้าจองหลิ่วเฟยดูมืดมนอย่างมาก นางเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจอย่างชัดเจน

 

 “ที่เจ้าเลือกนิกายหยุนไห่เป็นเพราะเจ้าริษยาท่านพ่อของข้า เจ้าอิจฉาความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเขา นั่นคือเหตุผลที่เจ้าเลือกนิกายหยุนไห่และต้องการที่จะทำลายมัน เจ้าต้องการให้ท่านพ่อของข้าต้องทุกข์ทรมานเพราะเจ้าอิจฉาและไม่สามารถต่อกรกับเขาได้”

 

 หลิ่วเฟยเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ต้วนเทียนหลาง เจ้ามันไร้ยางอาย น่าขยะแขยง”

 

 ผู้คนมากมายต่างประหลาดใจกับคำพูดของหลิ่วเฟย ในนิกายหยุนไห่ไม่มีใครรู้ว่าพ่อของนางคือใคร จากสิ่งที่หลิ่วเฟยพูดมันราวกับว่าพ่อของนางมีตำแหน่งสูงส่งมากในอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงกับทำให้ผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังอย่างต้วนเทียนหลางต้องอิจฉา

 

 นอกจากนี้เกี่ยวกับกองทหารม้าโลหิต? พวกเขาเป็นกองกำลังส่วนตัวของพ่อของหลิ่วเฟย?

 

 “ลูกศรศักดิ์สิทธิ์ หลิ่วช่างหลาน!” 

 

หลายคนกล่าวออกมาพร้อมเพียงกัน ในอาณาจักรหิมะจันทรา มีชายคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและเปล่งประกายยิ่งกว่าต้วนเทียนหลาง นั่นคือหลิ่วช่างหลานและลูกศรศักดิ์สิทธิ์ของเขา

 

 ในตอนนี้ หลิ่วช่างหลานเป็นผู้นำกองทัพขนาดใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยผู้บ่มเพาะนับพันที่เข้าช่วยเหลือเมืองที่กำลังถูกทำลาย พวกเขาสังหารศัตรูไปนับหมื่น

 

 หนึ่งคน หนึ่งลูกศร…. เขานำกองทัพด้วยตัวเอง หลิ่วช่างหลานสังหารศัตรูไปมากมาย ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยเลือด

 

 ลูกศรศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาณจักรหิมะจันทรา นอกจากนี้กองทหารม้าโลหิตยังทำให้เหล่าศัตรูหวาดกลัว

 

 สิ่งที่ทำให้ทุกคนภูมิใจก็คือหลิ่วช่างหลานเป็นศิษย์ของนิกายหยุนไห่ แม้ว่าเขาจะให้ความช่วยเหลือตระกูลจักรพรรดิ แต่หลิ่วช่างหลานก็ยังผูกพันกับนิกายและยังรู้คงรู้สึกภูมิใจที่เคยเป็นศิษย์

 

 หลิ่วเฟยมาจากตระกูลหลิ่ว หลายคนที่รู้เรื่องนี้ต่างหลงใหลนางมากยิ่งขึ้น

 

 “เฟยเฟย เจ้าคิดอย่างนั้นกับลุงต้วนเทียนหลางได้ยังไง? พ่อของเจ้าและข้าเป็นสหายกัน พวกเราเปรียบเสมือนพี่น้อง ข้าจะไปอิจฉาเขาได้อย่างไร?”

 

 ต้วนเทียนหลางส่ายหัวและยิ้ม เขาจ้องมองไปที่หลิ่วเฟยด้วยดวงตาหื่นกระหาย ซึ่งทำให้ผู้คนขยะแขยง

 

 พ่อของหลิ่วเฟยและต้วนเทียนหลางเป็นสหายกัน? หนานกงหลิงคิดว่าเขาเป็นตัวน่าสมเพชมากกว่า มันทำให้เขาขยะแขยง

 

 “เจ้าและท่านพ่อของข้าเปรียบเสมือนพี่น้อง? ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังต้องการกำจัดนิกายหยุนไห่ของท่านพ่อ?”

 

 ดวงตาของหลิ่วเฟยเต็มไปด้วยความรังเกียจ

 

 “เฟยเฟย นี่คือสิ่งที่องค์ราชาต้องการ ที่ข้าต้องกำจัดนิกายหยุนไห่เป็นเพราะพระบัญชาของท่าน มันไม่ใช่เพราะเรื่องส่วนตัว สิ่งที่นิกายทำราวกับขัดขวางความก้าวหน้าของศิษย์บางคนโดยเฉพาะเหล่าอัจฉริยะ การออกมาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด พวกเขาจะได้ฝึกฝนทักษะและรับทรัพยากรอย่างดี”

 

 “นอกจากนี้ ข้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะต้องยินดี ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็เพียงแค่มาดูด้วยตาของตัวเอง”

 

 ต้วนเทียนหลางยิ้มที่มุมปาก เขาหันกลับมาและจ้องมองไปยังฝูงชน ตอนนี้สีหน้าของเขากลับกลายเป็นเย็นชา

 

 “สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ศิษย์ที่มีรายชื่อติดอันดับผู้ที่เต็มใจจะออกจากนิกายหยุนไห่โปรดย้ายไปอยู่ทางด้านกองทหารม้าโลหิต แต่จำไว้ว่าพวกเจ้าไม่ได้มีเวลามากนัก”

 

 ทุกคนกลายเป็นกระวนกระวานใจอย่างมาก 

 

หลายคนจ้องมองไปที่หนานกงหลิงและผู้อาวุโสของนิกาย

 

 “ผู้ที่เต็มใจจะไป ได้โปรดออกไป อย่าได้มาอยู่ในนิกายหยุนไห่ของข้า”

 

 ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวขณะโบกมือ

 

“ผู้พิทักษ์เป๋ย”

 

 หนานกงหลิงจ้องมองไปยังผู้พิทักษ์เป๋ยราวกับไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

 

 “ประมุข นี่คือการตัดสินใจของพวกเรา”

 

 ผู้พิทักษ์เป๋ยดูโศกเศร้าราวกับหัวใจแตกสลาย มันยากที่จะสูญเสียศิษย์ที่มีรายชื่อติดอันดับ พวกเขาทั้งหมดเป็นอัจฉริยะ นอกจากนี้สักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!

 

 “ก็ได้” หนานกงหลิงรู้ว่าผู้พิทักษ์เป๋ยขมขื่นแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธและพยักหน้า

 

 “ขอบคุณท่านประมุขและผู้อาวุโส”

 

 หลายคนเห็นหนานกงหลิงพยักหน้าและเริ่มเคลื่อนตัวไปที่กองทหารม้าโลหิต

 

 ในพริบตาได้มีศิษย์หลายร้อยคนเดินไปที่กองกำลังทหารโลหิต นอกจากนี้จำนวนศิษย์ที่กำลังเดินไปนั้นมากกว่าจำนวนจริงของศิษย์ที่มีรายชื่อติดอันดับ เหล่าศิษย์ที่ไม่มีอันดับต่างพยายามเดินปะปนเข้าไปในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย

 

 “หยุดอยู่ตรงนั้น” ต้วนเทียนหลางยิ้มกว้าง

 

 “เฟยเฟย เจ้าเห็นหรือไม่? คนเหล่านี้เข้าใจถึงโอกาสที่ข้ามอบให้ ดังนั้นพวกเขาคงจะมีความสุขมากกว่าที่ได้ออกจากนิกาย”

 

 หนานกงหลิงกลายเป็นขมขื่น เขารู้สึกราวกับว่าถูกทอดทิ้งจากศิษย์จำนวนมาก

 

 “หลินเฟิง เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว เมื่อศิษย์ของนิกายหยุนไห่อ่อนแอ พวกเขาจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก พวกเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับพวกเขามากพอ แต่เมื่อตอนที่เขาแข็งแกร่งขึ้น พวกเราถึงจะให้ความสำคัญกับพวกเขา มันช่างน่าละอายยิ่งนัก”

 

 หนานกงหลิงจ้องมองไปที่หลินเฟิง เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้จนกระทั้งเหล่าศิษย์ยินดีที่จะจากไป

 

 ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดคือตอนที่ดูว่าใครภักดีต่อนิกายหรือทอดทิ้งนิกายในช่วงเวลาวิกฤต

 

 “น่าเสียดายข้าพบว่ามันสายเกินไป ถ้าข้าค้นพบมันเร็วกว่านี้สัก 10 ปีบางทีมันอาจจะแตกต่าง ข้าอาจจะทำสำเร็จเช่นเดียวกับ หลิ่วช่างหลาน”

 

 ตอนนี้หลินเฟิงยังคงปราศจากความรู้สึก เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้

 

อย่างไรก็ตามหลินเฟิงชื่นชมในตัวของหนานกงหลิง เขาห่วงใยนิกายมากกว่าตนเองเสียอีก

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments