ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ ฮ่าๆๆ ข้าล่ะแปลกใจกับการตัดสินใจของเจ้าจริงๆ”
ต้วนเทียนหลางยิ้มอย่างเย็นชาและจ้องมองไปยังหลินเฟิง
“เจ้าคืออัจฉริยะ ข้าชื่นชมในพรสวรรค์และศักยภาพของเจ้า ข้าเสนอโอกาสที่ดีแต่เจ้ากลับไม่เลือกที่จะคว้าเอาไว้ สิ่งสำคัญที่สุดที่เจ้าควรจะเข้าใจก็คือเจ้านั้นเป็นถึงอัจฉริยะและจะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนคนทั่วไป การปฏิเสธข้อเสนอของข้าคือความคิดที่โง่เขลา ข้าคงไม่อาจปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อไปได้”
“เจ้าปฏิเสธ ก็หมายความว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่”
ทันในนั้นต้วนเทียนหลางก็ปลดปล่อยปราณที่ทรงพลังออกมาและโจมตีไปยังหลิงเฟิง
การแสดงออกของหลินเฟิงแปรเปลี่ยนไปในทันที เขาเข้าใจถึงความหมายในคำพูดของต้วนเทียนหลางและรู้ถึงผลที่จะตามมา
“ต้วนเทียนหลาง ข้าไม่ยอมให้เจ้าแตะต้องเขา!”
ในตอนนั้นเองหลิ่วเฟยได้กระโจนมาอยู่ข้างหน้าหลินเฟิงเพื่อป้องกันไม่ให้ต้วนเทียนหลางโจมตีเขา นางดูเกรี้ยวกราดอย่างมาก
หลิ่วเฟยคิดมาเสมอว่าหลินเฟิงเป็นคนเลวและปิดบังความชั่วร้ายเอาไว้ แต่นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าหลินเฟิงจะทำในสิ่งที่กล้าหาญแม้ว่าจะต้องตกอยู่ในอันตรายและนี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา ทุกสิ่งที่เขากล่าวมาได้ตอกย้ำความรู้สึกบางอย่างของนาง นางได้ค้นพบอีกด้านของเขาที่นางไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
หลินเฟิงมีศักยภาพที่ท้าทายสวรรค์เขาไม่สมควรที่จะตาย มันคงจะน่าเสียดายมากหากเขาต้องมาตกตายในสถานการณ์เช่นนี้
ตอนนี้คือสถานการณ์ที่วิกฤตของนิกายหยุนไห่ หลิ่วเฟยกำลังใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อยืนหยัดปกป้องนิกาย นางหวังว่าจะหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
“เฟยเฟยหลบไป เจ้าเด็กนี่จะต้องตาย!”
ต้วนเทียนหลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
“ข้าจะไม่ให้เจ้าแตะต้องเขา!” หลิ่วเฟยโกรธขึ้นเรื่อยๆ นางจ้องมองต้วนเทียนหลางด้วยความชิงชัง
“เฟยเฟย ทำไมเจ้าถึงสนใจมันมากนัก? มันมีความหมายอะไรกับเจ้า?” บุตรชายของต้วนเทียนหลาง, ต้วนหานจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิง เขาเคยเห็นหลินเฟิงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหลิ่วเฟยได้กล่าวว่าหลินเฟิงเป็นเพียงศิษย์ร่วมนิกายและไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
แต่ในตอนนี้ หลิ่วเฟยกำลังใช้ชีวิตของตนเองเข้าปกป้องหลินเฟิง มันทำให้ต้วนหานโมโหอย่างมาก เขาเป็นถึงยอดอัจฉริยะและหวังว่าสักวันหนึ่งหลิ่วเฟยจะกลายมาเป็นภรรยาของเขา
“เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า” หลิ่วเฟยกล่าวอย่างไม่แยแส จากนั้นนางก็เหลือบมองไปยังกองทหารม้าโลหิตและถอนหายใจ “พวกเจ้าควรที่จะฟังข้า ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร มีสถานะอะไร หรือได้รับคำสั่งอะไรมา ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าแตะต้องเขา มิฉะนั้นข้าจะแจ้งท่านพ่อและให้เขามาจัดการพวกเจ้า”
ใบหน้าของต้วนหานบิดเบี้ยวด้วยอย่างน่าเกลียดและกล่าวด้วยความโกรธ “เฟยเฟย เจ้าชมชอบมัน!?”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” หลิ่วเฟยกล่าวตอบ
ต้วนหานประหลาดใจ ตอนนี้เขาโกรธจนตัวสั่น “เอาล่ะ… ทีนี้ก็มีเหตุผลที่ 2 ที่มันจะต้องตาย”
“หลินเฟิง ก่อนหน้านี้เจ้าพล่ามมาซะเยอะ แต่ตอนนี้เจ้ากลับหลบอยู่หลังผู้หญิง?”
หลินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น… หลิ่วเฟยกำลังปกป้องเขา?
หลินเฟิงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าหลิ่วเฟยและกล่าว “เจ้าเป็นคนรักของข้า แล้วจะให้เจ้าปกป้องข้าได้อย่างไร?”
“หืมมมมม…”
หลิ่วเฟยกลายเป็นเขินอายและก็ปรากฏรอยยิ้มบนหน้าของนาง ไอบ้านี่ไปเรียนรู้การเป็นสุภาพบุรุษมาตอนไหน?
ใบหน้าของต้วนหานบิดเบี้ยวจนหน้าเกลียด “คนรัก?! อะไรที่ทำให้เจ้ามีสิทธิ์บอกว่าหลิ่วเฟยเป็นคนรักของเจ้า? หลินเฟิง ถ้าเจ้ากล้าก็มีสู้กับข้า!”
“หลินเฟิง อย่า!” หลิ่วเฟยกล่าวด้วยความกังวล
หลิ่วเฟยดึงแขนเสื้อของหลินเฟิงไว้เพื่อที่จะหยุดเขา นางรู้ดีว่าต้วนหานแข็งแกร่งแค่ไหน พลังของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าเหวินเริ่นเหยียน ดาบของเขายังทรงพลังยิ่งกว่าดาบของหลินเฟิงที่แสดงก่อนหน้านี้
“เจ้าไม่กล้า?” ต้วนหานหัวเราะ
หลินเฟิงตรงไปยังต้วนหาน เขาดูอายุราวๆ 18 ปี แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่หลินเฟิงจะไม่สามารถสู้เขาได้
“หึ ก็ได้” ต้วนหานกล่าว
ใบหน้าของต้วนหานกลายเป็นชั่วร้าย ดาบในมือของเขาปลดปล่อยปราณดาบออกมาและพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศ
ปราณดาบเริ่มที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นมันตัดผ่านชั้นบรรยากาศและเริ่มที่จะรวบรวมพลังอย่างช้าๆ
“อำนาจดาบ”
ฝูงชนกลายเป็นตกตะลึง ต้วนหานกำลังใช้อำนาจดาบ เขาสามารถใช้พลังเช่นเดียวกับหลินเฟิงได้ อำนาจดาบที่เขาปลดปล่อยออกมาเริ่มกระจายไปทั่วลานประลอง ปราณจากดาบของเขาแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าของหลินเฟิง แต่อำนาจดาบของหลินเฟิงก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าของต้วนหาน
หลินเฟิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาชักดาบออกมาและปลดปล่อยอำนาจดาบ
“รับมือ!” ต้วนหานคำราม
ทันใดนั้นต้วนหานก็ขยับมือ มันราวกับว่าปราณดาบของเขาผสานเขากับปราณจากสวรรค์และปฐพี ดาบของเขาเปล่งประกาย ปราณที่ส่องสว่างถูกส่งออกมาจากดาบของเขา
มันราวกับว่าปราณที่บริสุทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบของต้วนหาน เขาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
มันจะต้องเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างแน่นอน
“ดาบ”
ต้วนหานตะโกนเสียงดัง ปราณบริสุทธิ์และทรงพลังหลั่งไหลออกมาจากฝ่ามือของเขาและเริ่มส่องประกาย
ปราณดาบที่อยู่ในอากาศเริ่มมีรูปแบบเป็นดาบและดูเหมือนว่าจะพุ่งตรงไปยังหลินเฟิง
ในตอนนั้นเองปราณดาบและอำนาจดาบเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน และเริ่มที่จะกดดันร่างกายของหลินเฟิง
พลังของดาบผลักดันตัวเองให้พุ่งตรงไปยังตำแหน่งของหลินเฟิงด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ต้วนหานคืออัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญในด้านดาบ เขาเรียนรู้และฝึกฝนทักษะดาบมากมาย หลินเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับว่าต้วนหานคือปรมาจารย์ดาบตัวจริง
“คมดาบสังหาร”
เมื่อหลินเฟิงเห็นถึงพลังของดาบ เขาคว้าดาบยาวและปลดปล่อยปราณที่แข็งแกร่งออกมาป้องกันการโจมตี
ปราณจำนวนมหาศาลเริ่มปกคลุมไปทั่วลานประลอง แต่ดูเหมือนว่าปราณดาบของหลินเฟิงจะไม่สามารถต่อกรกับพลังงานดาบที่ต้วนหายปลดปล่อยออกมาได้
“แข็งแกร่งมาก!” ม่านตาของหลินเฟิงเบิกกว้าง ในตอนนั้นเองเขาสัมผัสถึงพลังงานดาบที่ต้วนหานปลดปล่อยออกมาในระยะเผาขนทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายที่แท้จริง มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะตื่นตระหนกในสถานการณ์เช่นนี้
แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือพลังงานดาบยังคงผลักดันหลินเฟิงอย่างต่อเนื่อง
“ตู้มมม!!”
หลินเฟิงก้าวถอยหลังไปหลายก้าวและเริ่มมีเลือดออกมาที่มุมปาก เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดและร่างกายเริ่มเต็มไปด้วยบาดแผล
หลิ่วเฟยผู้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหลินเฟิงนัก รีบพุ่งเข้ามาและใช้มือของนางพยุงตัวเขาไว้
“ข้าไม่เป็นไร” หลินเฟิงส่ายหัว ปราณดาบและอำนาจดาบผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นพลังงานดาบ แม้ว่าหลินเฟิงจะพ่ายแพ้ แต่เขาก็ยังคงกล้าหาญจนถึงท้ายที่สุด
“แข็งแกร่งมาก!!”
“เขาไม่ได้แก่กว่าเหวินเริ่นเหยียนมากนัก แต่กลับทรงพลังยิ่งกว่า!”
“เขาเป็นอัจฉริยะแห่งดาบ!”
ฝูงชนกำลังตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญดาบทรงพลังอย่างมาก
“เจ้าคงจะเห็นแล้ว? เจ้าไม่สามารถต้านทานการโจมตีเพียงครั้งเดียวของข้าได้ พวกเราไม่มีอะไรเหมือนกัน เจ้าจะทำได้เพียงไล่ตามรอยเท้าของข้าตลอดไป”
ต้วนเทียนหลางจ้องมองหลินเฟิงอย่างเย็นชา เขายกมือและตะโกนออกมา “ยกธนูขึ้น!”
ทันใดนั้น เหล่ากองทหารม้าโลหิตก็ยกธนูขึ้นมา
ปราณที่น่าสะพรึงกลัวปกคลุมไปท่านลานประลองแห่งชีวิต
“ข้าพูดแค่เพียงคำเดียว เหล่าทหารจะยิงธนูไฟในทันที พวกเขาจะฆ่าทุกคนถ้าข้าสั่ง เจ้ายังคิดว่าสามารถต่อกรกับข้าได้อยู่หรือไม่?”
“พวกเจ้าลดธนูลงได้” ต้วนหานออกคำสั่ง เหล่าทหารต่างลดธนูลงในทันที
“ความแข็งแกร่งของเจ้ากับของข้าไม่มีวันที่จะเทียบกันได้ เจ้าไม่สามารถแข็งแกร่งเช่นข้า แล้วทีนี้อะไรที่ทำให้เจ้าสามารถใกล้ชิดสนิทสนมกับหลิ่วเฟยได้?”
ต้วนหานกล่าวด้วยเสียงที่เย็นชา
“ต้วนหาน เจ้ามันช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!” หลิ่วเฟยตะโกนด้วยความโกรธ
“ที่เจ้าแข็งแกร่ง เป็นเพราะตระกูลที่เจ้าเติบโตมาเป็นเชื้อสายของตระกูลจักรพรรดิ เจ้ามีทั้งอาจารย์และทรัพยากรที่ยอดเยี่ยม ทำไมเจ้าถึงกล้าเปรียบเทียบตัวเองกับหลินเฟิง? นอกจากนี้หลินเฟิงยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเรียนรู้ทักษะและเทคนิค เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าเขาสามารถดึงพลังของทักษะระดับลึกลับออกมาได้ถึงขีดสุด? เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวของเขาเอง เจ้าไม่ละอายใจบ้างหรือที่แสดงพลังที่ได้รับจากตระกูลต่อหน้าหลินเฟิง?”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีรวมถึงพลังของเจ้า มันเป็นเพราะตระกูลของเจ้าทั้งนั้น เจ้าเคยพึ่งพาความสามารถของตัวเองบ้างหรือไม่?”
“เจ้าไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าข้าสามารถควบคุมทักษะเหล่านี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ เจ้าไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าข้าเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่ง หลินเฟิงและข้าไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้” ต้วนหานยังคงไม่ยอมรับ
“นั่นมันก็เรื่องของเจ้า อย่างได้ลืมว่าเจ้าแก่กว่าหลินเฟิง ภายในสองปี หลินเฟิงจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าอย่างแน่นอน เจ้ามันก็เป็นได้เพียงตัวโง่เขลาและไร้ยางอาย”
สิ่งที่หลิ่วเฟยกล่าวออกไป มันช่วยไม่ได้เลยที่ทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ถูกต้อง ทุกสิ่งที่หลิ่วเฟยกล่าวกับต้วนหานคือความจริง
ความแข็งแกร่งที่ต้วนหานมีเป็นสิ่งที่ได้รับจากตระกูลของเขา ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีศักยภาพหรือพรสวรรค์ที่เหนือกว่าหลินเฟิง อย่างไรก็ตามเขากลับเอาเรื่องเหล่านี้มาโอ้อวด?
ภูมิหลังของหลินเฟิงไม่ได้ดีเท่าต้วนหาน หลินเฟิงพึ่งพาเพียงตัวเองเพื่อที่จะได้รับพลังมา ถ้าหลินเฟิงสับเปลี่ยนสถานะกับต้วนหาน เขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าต้วนหานมากมายหลายเท่านัก นอกจากนี้หลินเฟิงยังเป็นเพียงผู้เยาว์ เขาอ่อนกว่าต้วนหานถึง 2 ปี แต่แค่ 2 ปี มันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าหลินเฟิงมีทรัพยากรเท่าเทียมกับต้วนหาน หลินเฟิงมีพรสรรค์และศักยภาพมากกว่าต้วนหานแน่นอน
“ไม่ว่ายังไง แข็งแกร่งก็คือแข็งแกร่ง อ่อนแอก็คืออ่อนแอ วันนี้มันจะต้องตาย!” ต้วนหานกล่าวด้วยความโกรธ
“ถูกต้อง พวกเราไม่ต้องการให้เจ้ามายุ่งเรื่องนี้เฟยเฟย ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลข้าและยืนเคียงข้างข้า”
ต้วนเทียนหลางกล่าวขณะจ้องมองไปที่หลิ่วเฟย ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าหลิ่วเฟยจะต้องกลายเป็นภรรยาของลูกชายของเขาในสักวันหนึ่ง
“ฝันไปเถอะ! ข้า หลิ่วเฟย จะไม่มีวันกลายเป็นสมาชิกตระกูลของเจ้า!” หลิ่วเฟยกล่าวด้วยความรังเกียจ
“ หึ หลิ่วเฟยอย่าได้พูดแบบนั้นต่อหน้าข้า อย่าลืมสิว่าตระกูลต้วนคือส่วนหนึ่งของตระกูลจักรพรรดิ”
ต้วนเทียนหลางยกมือขึ้น ทันใดนั้น เหล่ากองทหารม้าโลหิตก็ยกธนูขึ้นมาอีกครั้ง…