ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ก็ได้ วันนี้ชีวิตของเจ้ามันจบลงแล้ว ข้าเสนอโอกาสดีๆให้เจ้า แต่เจ้ากลับไม่เห็นค่า ถ้าเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นล่ะก็…..…..”
ทันใดนั้นต้วนเทียนหลางก็หยุดพูด แล้วยกมือขึ้น
เขายกมือขึ้นแล้วโบกลงมา ทันใดนั้นได้มีคลื่นลูกศรจำนวนมากมายมหาศาลเริ่มแหวกว่ายผ่านอากาศ พร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณอันแข็งแกร่งออกมา
“พวกมันกำลังโจมตี!”
เหล่าศิษย์ตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย หลังจากที่พวกเขาเห็นต้วนเทียนหลางโบกมืออีกครั้งและกล่าว; “ฆ่าให้หมด!”
คำพูดของต้วนเทียนหลางดังก้องอยู่ในใจของพวกเขา
“วืดด…วืดดด…วืดดดด…”
เสียงของลูกศรแหวกว่ายผ่านอากาศเต็มไปทั่วทั้งบรรยากาศ ราวกับคลื่นลูกศรที่ไม่มีวันสิ้นสุดแหวกว่ายผ่านบรรยากาศเหนือหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน แต่อย่างไรก็ตามไม่มีลูกศรดอกใดเล็งไปที่ลานประลองแห่งชีวิตที่ที่ต้วนเทียนหลางยืนอยู่ ทำให้สถานที่ที่ต้วนเทียนหลางยืนอยู่ไม่ตกเป็นเป้าหมายของลูกศร
เหล่าศิษย์ทุกคนจ้องมองไปที่ลูกศรที่ลอยอยู่เหนือพวกเขา และรู้สึกหวาดกลัว ทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่ตัดใจยอมแพ้
มีลูกศรมากมายร่วงหล่นมากจากท้องฟ้า ลูกศรแต่ละดอกทั้งรวดเร็ว และทรงพลังราวกับดาวตกที่ตกมาจากสรวงสวรรค์
มีเสียงกรีดร้องโอดครวญดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขา ศิษย์ของนิกายหยุนไห่บางคนโดนธนูยิงเข้าที่หัว, ไห่, หน้าอก และแขน… ทำให้เลือดหลั่งไหลไปทั่วราวกับหุบเขาแห่งนี้ราวกับเป็นทะเลโลหิต
เฉพาะผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งภายในหุบเขาเท่านั้นที่จะสามารถหลบหลีกคลื่นลูกศรได้ การหลบหลีกลูกศรทำได้ยาก แต่นี่เป็นเพียงคลื่นลูกแรกของลูกคลื่นศรเท่านั้น
หนานกงหลิงกำลังจ้องมองไปที่ลูกศรที่กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา เขายังคงยืนอยู่บนแท่น ลูกศรที่บินผ่านหัวหนานกงหลิง หนานกงหลิงได้ทำลายลูกศรพวกนั้นกลายเป็นผง แต่ก็ยังมีลูกศรพุ่งเข้ามาหาเขาอยู่เรื่อยๆ ความโศกเศ้ราสุดเสียใจสามารถมองเห็นได้ในนัยน์ตาของหนานกงหลิง ขณะที่เขากำลังฉากที่เกิดขึ้นในเบื้องหน้าของเขา จากนั้นหนานกงหลิงเขาก็หลับตาลง เขาไม่สามารถทนดูศิษย์ของเขาถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขาได้ ศิษย์พวกนี้นับถือ และเคารพเขาในฐานะประมุข
ผู้อาวุโสของนิกายก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่านิกายหยุนไห่จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ราวกับฝันร้าย พวกเขาไม่คิดเลยว่านิกายหยุนไห่จะถูกกวาดล้างในวันนี้
คลื่นลูกแรกของคลื่นลูกศรในที่สุดก็ได้สงบลงแล้ว เลือดที่ไหลรินออกมาจากศิษย์ที่ถูกฆ่าตายได้สร้างแม่น้ำสายเลือดเล็กๆขึ้นมา ไหลผ่านหุบเขา และทำให้พื้นที่ตกอยู่ในความเงียบ
หลินเฟิงผู้ที่ยืนอยู่ในลานประลองแห่งชีวิตกำลังมองแม่น้ำสายโลหิตที่กำลังไหลผ่านหุบเขา แสงแดดสาดส่องลงบนผิวของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆเลย เขารู้สึกเพียงความเยือกเย็นที่ไม่มีที่สิ้นสุดไหลผ่านเส้นเลือดของเขา
ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน บางคนได้ตายจากไป ขณะที่บางคนกำลังดิ้นรนต่อสู้กับความตายแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของพวกเขา บรรดาผู้คนที่กำลังจะตายพวกเขากำลังร้องไห้เพราะความเสียใจ ขณะที่มองไปยังสรวงสวรรค์ และกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
พวกเขามานิกายหยุนไห่เพื่อฝึกฝนให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และเรียนรู้การบ่มเพาะพลัง พวกเขาหวังว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาจะดีขึ้น และช่วยเหลือครอบครัวของพวกเขาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
แต่หลังจากเสียงของต้วนเทียนหลางดังสะท้อนไปทั่วหุบเขา ทำให้อนาคตของพวกเขากลายเป็นฝุ่นทันที พวกเขาได้ตกตายอยู่ที่นี่ และร่างของพวกเขาก็จมอยู่ในทะเลเลือดแห่งนี้แล้ว
ผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งสามารถช่วงชิงอนาคตของผู้คนที่อ่อนแอได้ภายในโลกนี้…. พวกเขาสามารถสังหารคนที่อ่อนแอและกำจัดคนที่อ่อนแอได้ราวกับหนอนแมลง
นั่นคือความจริงที่โหดร้ายของโลกนี้ คนที่ไม่แข็งแกร่งก็เหมือนแมลงที่จะถูกบดขยี้โดยคนที่แข็งแกร่งกว่า
“ไฟ…..”
เสียงของต้วนเทียนหลางดังขึ้นอีกครั้งแผ่กระจายไปทั่วบรรยากาศ และทำให้หินในหุบเขาสั่นสะเทือน ลูกศรอันแหลมคม และร้ายกาจเริ่มแหวกว่ายผ่านอากาศ ร่วงหล่นมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง
ทำให้มีเสียงกรีดร้องเพราะความหวาดกลัวดังไปทั่วบรรยากาศ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ โดยเฉพาะศิษย์ธรรมพวกเขาทำได้เพียงจ้องมองลูกศรพวกนั้นด้วยความสิ้นหวัง
“อ๊ากกกกกกก……”
เสียงร้องเพราะความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานดังไปทั่วหุบเขา
หลิ่วเฟยถึงกับคุกเข่าลงบนพื้นขณะมองไปที่ซากศพ แก้มที่บอบบางของนางไม่ได้มีผิวพรรณของสีดอกกุหลาบอีกต่อไป ขณะนี้นางราวกับไร้ชีวิตชีวา
คนที่ฆ่าคนเหล่านี้คือกองทหารม้าโลหิต…กองทัพของพ่อนาง
คนที่ถูกสังหารคือศิษย์นิกายหยุนไห่….พวกเขาเป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกับนาง….แม้แต่พ่อของนางก็เป็นศิษย์เก่านิกายหยุนไห่
นางทำได้เพียงยืนอยู่เฉยๆ และดูคนพวกนั้นถูกสังหาร ทำให้หัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
“ต้วนหาน พานางมาที่นี่” ต้วนเทียนหลางกล่าวขณะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และจ้องมองหลิ่วเฟย
ต้วนหานพยักหน้าเล็กน้อย และเคลื่อนที่ไปหาหลิ่วเฟย
แต่ในขณะนั้นได้มีภาพเงาที่เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วอันน่าเหลือเชื่อปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าหลิ่้วเฟย นั่นคือหลินเฟิงนั้นเอง
“ไสหัวไปซะ แต่ถ้าเจ้าอยากตายอีกไม่นานก็ถึงคิวของเจ้าแล้ว” ต้วนหานกล่าวขณะจ้องมองหลินเฟิง
แต่หลินเฟิงทำตัวราวกับเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ต้วนหานกล่าว และจ้องมองต้วนหานด้วยดวงตาอันมืดมิดเขาของด้วยท่าทางเยือกเย็น และสงบ
ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายขนาดนี้หลังจากที่เจ้าสังหารผู้คนไปมากมายแต่ยังคงทำตัวสงบ?
“ห๊า?”
ต้วนหานขมวดคิ้ว และมองตาของหลินเฟิง มันดูชั่วร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ
สายตาอันเยือกเย็น และชั่วร้ายของหลินเฟิงทำให้จู่ๆต้วนหานสั่นเทา
“เจ้าอยากตายที่นี่สินะ ก็ได้ข้าจะสังหารเจ้าซะเดี๋ยวนี้”
ต้วนหานตะโกนขณะที่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ เขาโกรธเพราะเขาสั่นเทาขณะที่หลินเฟิงอยู่ด้านหน้า มันทำให้เขารู้สึกอัปยศ
แม้ว่าต้วนหานจะไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าหลินเฟิงเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง แต่เขาก็ยังคงคิดว่าถึงแม้หลินเฟิงจะเป็นอัฉจริยะแต่หลินเฟิงไม่มีสิทธิ์ทำให้เขาได้รับความอัปยศ
สายตาของหลินเฟิง และหลิ่วเฟยพวกเขาดูเป็นห่วงกันและกันมันทำให้ต้วนหานโกรธมาก เขาต้องการให้หลินเฟิงคุกเข่าต่อหน้าเขา และต้องการแสดงให้หลิ่วเฟยเห็นว่าหลินเฟิงเป็นเพียงแค่คนอ่อนแอ
ดาบของต้วนหานเริ่มเรืองแสง เขามีจิตวิญญาณแห่งดาบ และได้เรียนรู้ทักษะดาบมาตั้งแต่เด็กๆ ทักษะดาบของเขาก้าวหน้ามากจนแทบไม่ต้องใช้ดาบเพื่อใช้ทักษะดาบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในมือของเขาสามารถกลายเป็นดาบได้
พลังปราณดาบอันแข็งแกร่งปรากฏออกมาจากมือของต้วนหาน และมันได้สร้างสายลมอันรุนแรงพัดเข้าหาหลินเฟิง
ต้วนหานไม่ได้ใช้ทักษะพิเศษใดๆ เขาต้องการแสดงให้หลิ่วเฟยเห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา และจะฆ่าหลินเฟิงด้วยคลื่นธรรมดาๆจากฝ่ามือของเขา
“แทง”
ร่างกายของหลินเฟิงเคลื่อนไหวอย่างสง่างามขณะโจมตี เขากำดาบแน่น และแทงดาบตรงไปที่ต้วนหาน ในจุดที่อ่อนแอที่สุด
ต้วนหานเข้าใจทันที เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าพลังปราณที่เขากำลังใช้อยู่มันมีบางจุดที่แข็งแกร่ง และอ่อนแอ
“ฟึบ!”
พลังปราณดาบของต้วนหานหายไปทันที
ดาบของหลินเฟิงเต็มไปด้วยพลังปราณอันร้ายกาจ และยังพุ่งโจมตีต้วนหานด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ต้วนหานรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขายกมือขึ้น และปลดปล่อยพลังปราณยิงตรงไปที่ดาบของหลินเฟิง
แต่อย่างไรก็ตามพลังปราณของเขาก็ไม่เพียงพอเพื่อหยุดการโจมตีของหลินเฟิง ดาบของหลินเฟิงพุ่งเข้าหาเขาไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย ดาบของหลินเฟิงยังคงเต็มไปด้วยพลังปราณอันร้ายกาจราวกับปราณแห่งความตาย และทำลายล้าง
ต้วนหานขมวดคิ้ว เขาเป็นถึงผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4 เขาแข็งแกร่งกว่าหลินเฟิงมาก แต่ทำไมดาบของหลินเฟิงถึงทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
ต้วนหานยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อหยุดการโจมตีของหลินเฟิง แต่มันก็ไม่ได้ผล
“ตาย!”
หลินเฟิงกล่าวน้ำเสียงของเขาดูสงบ และโหดเหี้ยม
อำนาจดาบของหลินเฟิงปรากฏออกมาจากดาบยาวของเขา พลังปราณ และอำนาจที่ปรากฏออกมาจากดาบของหลินเฟิงดูเป็นธรรมชาติราวกับว่ามันกำลังดูดซับพลังจากสวรงสวรรค์ และโลกโดยตรง
“มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
ต้วนหานมองไปข้างหน้า และไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง อำนาจของดาบ ดาบเล่มนั้นผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าต้วนหานจะฝึกฝนมานานหลายปี แต่เขาก็ไม่สามารถทำแบบหลินเฟิงได้
ดาบของหลินเฟิงทั้งรวดเร็วและทรงพลังราวกับสายฟ้า ต้วนหานไม่มีเวลามากพอเพื่อตอบโต้การโจมตีของหลินเฟิง เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบการโจมตีของหลินเฟิง
“หลินเฟิงเขาอาจจะใช้ทักษะดาบแห่งสวรรค์ เขาสามารถคงสภาพพลังไว้ได้ระหว่างโจมตีครั้งที่ 2 มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ หลินเฟิงเป็นอัจฉริยะเมื่อเขามาเพื่อเรียนรู้ทักษะ พลังของเขาน่าหวาดกลัวจริงๆ แน่นอนเขาจะไม่ถูกฆ่าตายในวันนี้”
ผู้พิทักษ์เป๋ยสนใจหลินเฟิงตั้งแต่แรกเริ่ม ทุกคนในนิกายหยุนไห่สามารถตายได้ยกเว้นหลินเฟิงเขาไม่สามารถปล่อยให้หลินเฟิงตายได้
ผู้พิทักษ์ไม่ได้เป็นคนโหดร้ายหรือไร้ความปรานี เมื่อเขาคิดว่าทุกคนสามารถตายได้ยกเว้นหลินเฟิง เขาเพียงคิดว่าถ้ามีเพียงหนึ่งคนที่ต้องรอดชีวิต จะต้องเป็นหลินเฟิง เพราะเขาเป็นความหวังเดียวของนิกาย ผู้พิทักษ์เป๋ยคิดว่าถ้าเขาต้องตายมันก็คงไม่เป็นปัญาอะไรสำหรับเขา ตราบใดที่หลินเฟิงยังคงมีชีวิตอยู่
“ย่างก้าวเงาจันทรา”
ต้วนหานเริ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเต็มที่ของเขา ร่างของเขาราวกับเงาขณะที่เขาพยายามหลบหนีจากคมดาบของหลินเฟิง
จากนั้นเขาก็หยุด และมองดูเสื้อผ้าของตัวเอง เสื้อผ้าของเขาถูกฉีกขาดจากการโจมตีก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเห็น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป และดูชั่วร้ายมากขึ้นทันที
หลินเฟิงเกือบทำให้เขาได้บาดเจ็บ และทำให้เสื้อผ้าของเขาฉีกขาด
ถ้าต้วนหานเคลื่อนที่ช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว ดาบของหลินเฟิงคงเจาะทะลุเข้าไปในอกของเขาไปแล้ว
ทำให้ต้วนหานรู้สึกอับอาย และอัปยศ เขาเป็นถึงผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4 แต่เกือบได้รับบาดเจ็บจากหลินเฟิงที่บรรลุขั้นที่ 2 เท่านั้น เช่นเดียวกับเมื่อกี้ หลินเฟิงทำให้เขาได้รับความอัปยศอีกครั้ง
“เจ้าโชคดีจริงๆที่ข้ายังไม่ได้เอาจริง แต่ตอนนี้ข้าจะเอาจริงแล้ว”
ต้วนหานพยายามซ่อนความโกรธของเขาไว้ และทำตัวสงบ เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองเกือบจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของหลินเฟิงนั่นเป็นเพราะความเย่อหยิ่งของเขาเอง เขาค่อนข้างเชื่อว่าหลินเฟิงเพียงแค่โชคดีเท่านั้น
“เจ้าบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4 แล้ว แต่ข้าเพิ่งบรรลุขั้นที่ 2 แน่นอนเจ้าแข็งแกร่งมาก ข้าไม่มีค่าพอที่จะสู้กับเจ้า แต่ข้าเกือบจะทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ แต่เจ้ากลับพูดว่าข้าเพียงแค่โชคดี ข้าเห็นเจ้าวิ่งหนีหางจุกตูด ต้วนหานเจ้าไม่คิดเลยรึว่าเจ้ามันไร้ยางอายที่แกล้งทำเป็นพูดว่าข้าโชคดี?”
ใบหน้าของหลินเฟิงปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากของเขา ดวงตาอันดำมือของเขาปรากฏจิตสังหารออกมา คำพูดของเขาได้ล้อเลียนต้วนหาน