ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเมื่อหลินเฟิงได้ยินสิ่งที่เฉินชิงพูด ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้เขาเป็นลูกศิษย์ของนิกายหยุนไห่ และได้รับความเคารพจากทุกๆคน แต่ในวันนี้เขากลับกล่าวเหยียดหยามนิกายหยุนไห่
เพราะเขาสนใจแต่ชีวิตของตัวเองเท่านั้น เลยทรยศนิกายหยุนไห่ ดังนั้นเขาจึงไปอยู่กับต้วนเทียนหลาง และทำให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายยิ่งขึ้นที่ปล่อยให้ฝูงชนปล้นศพจากอดีตศิษย์ร่วมนิกาย
เฉินชิงเป็นสัตว์เดรัจฉาน เขาไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่
“ต้วนเทียนหลางไม่กังวลที่ปล่อยให้เศษขยะอย่างเจ้าดูแลนิกายหยุนไห่หรือไง?”
เมื่อเฉินชิงได้ยินเสียงอันชั่วร้ายและเยือกเย็นที่ออกมาจากหน้ากาก ทำให้เขารู้สึกมึนงง และจ้องไปที่หลินเฟิงและถาม: “เจ้ากำลังเรียกใครว่าเศษขยะ?”
“เฉินชิงเจ้าเคยเป็นศิษย์ธรรมดาที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างไรก็ตามเจ้าได้ทรยศนิกายหยุนไห่ และปล่อยให้พวกมันปล้นศพอดีตศิษย์ร่วมนิกายของเจ้า อะไรถึงทำให้เจ้าภูมิใจ และหยิ่งยโสเช่นนี้?”
หลินเฟิงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ทำให้เฉินชิงกลัว แต่เขาก็ยังคงจ้องมองหลินเฟิงอย่างไม่ละสายตา
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เพราะหน้ากากสัมฤทธิ์ ทำให้เสียงของหลินเฟิงเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย นอกจากนี้ท่าทางของหลินเฟิงก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเช่นกัน ดังนั้นเฉินชิงจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นหลินเฟิง แม้ว่าหลินเฟิงจะยืนอยู่ตรงหน้าก็ตาม
“ไอคนทรยศนิกายหยุนไห่ และตอนนี้เจ้ากำลังพยายามทำตัวราวกับเป็นหัวหน้าที่นี่ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจเลยหรือไง?”
หลินเฟิงถามเฉินชิงอีกครั้ง ดาบของเขาเริ่มเรืองแสงขณะปลดปล่อยพลังปราณอันแข็งแกร่งออกมา
เมื่อเฉินชิงรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่หลินเฟิงปลดปล่อยออกมา ทำให้เขาเริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง และหายใจได้อย่างยากลำบาก และถี่ขึ้น
“หลินเฟิง มันเป็นหลินเฟิง เฉินชิงรู้สึกประหลาดใจที่หลินเฟิงยังกล้ากลับมาที่นิกายหยุนไห่”
เฉินชิงรู้สึกงงงวย ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ และหนานกงหลิงได้เสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อช่วยให้หลินเฟิงมีชีวิตอยู่ต่อไป เฉินชิงไม่เคยคิดเลยว่าหลินเฟิงจะกล้ากลับมา ต้วนเทียนหลางกำลังตามหาหลินเฟิงอยู่ทุกหนแห่ง ถ้าเขาพบหลินเฟิง เขาจะทำให้หลินเฟิงตายอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองที่สุด
นอกจากนี้ทุกคนยังคิดว่าหลินเฟิงคงจะไม่กล้ากลับมาที่นิกาย ทำให้ต้วนเทียนหลางออกไปจากที่นี่ และบอกเฉินชิง และผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่หนึ่งอีกสองคนว่าให้อยู่ที่นี่และเฝ้าอาณาเขตของนิกายหยุนไห่
ในวันนี้ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดได้ไปที่เมืองจักรพรรดิเพื่อเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา ทำให้ต้วนเทียนหลางตื่นเต้นกับเหตุการณ์ดังกล่าว
นอกจากนี้หลินเฟิงแข็งแกร่งพอที่จะเดินได้อย่างอิสระภายในอาณาเขตของนิกายหยุนไห่
พลังปราณที่แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัวได้ปะทะร่างของเฉินชิง ทำให้แผ่นหลังของมันถูกปกคลุมไปด้วยหยาดเหงื่อ
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นใคร”
เมื่อหลินเฟิงเห็นปฏิกิริยาของเฉินชิง ทำให้เขาหัวเราะอย่างชั่วร้าย ดูเหมือนเขาจะเริ่มมีความคิดชั่วร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีก 2 คนที่ยืนอยู่ข้างๆเฉินชิงพวกเขาก็ถูกกดทับด้วยปราณดาบของหลินเฟิงเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะตอบโต้
“ปล่อยข้าไปเถิด ข้าไม่มีพลังที่จะทำอะไรได้”
เฉินชิงอ้อนวอนหลินเฟิง เขากลัวว่าจะต้องตกตายอยู่ที่นี่หลังจากหนีการสังหารหมู่มาได้
“เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้? แล้วทำไมเจ้าถึงเป็นคนดูแลนิกายหยุนไห่ นอกจากนี้เจ้ายังปล่อยให้นิกายเล็กๆ มาดูถูก และปล้นศพอดีตศิษย์ร่วมนิกายของเจ้า เจ้ามีพลังมากพอที่จะหยุดพวกมัน แต่เจ้ากลับไม่ทำ แล้วข้าจะอดกลั้นต่อความอัปยศนี้ได้อย่างไร?”
หลินเฟิงก้าวไปข้างหน้าขณะที่ดาบของเขาเริ่มเรืองแสงด้วยอำนาจของดาบ
“ข้าก็ไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น…”
เสียงของเฉินชิงดังไปทั่วบรรยากาศ ทันใดนั้นดาบของหลินเฟิงได้หายไปจากสายตา และได้มีสายเลือด 3 สายไหลกระเซ็นไปทั่วอากาศ
ไม่มีใครสามารถต้านทานดาบของหลินเฟิงได้
“เฮ้ออออ……”
หลินเฟิงมองไปที่ศพสามศพ และหายใจเข้าลึกๆ
บรรดาผู้คนที่มาเพื่อปล้นสมบัติจากซากศพ บางคนก็ได้หนีไป หรือไม่ก็กลายเป็นศพ เหลือเพียงแค่หลินเฟิงคนเดียวเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ขณะที่รอบๆตัวเขาล้อมรอบไปด้วยซากศพมากมายมหาศาล
หลินเฟิงมองไปรอบๆ และจ้องมองอดีตศิษย์ร่วมนิกายของเขา เขากำลังมองไปที่ซากศพที่นอนกองอยู่บนพื้นดินด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า บางคนในหมู่ศพก็ถูกตัดหัว บางคนก็ถูกโจมตีจากด้านหลังขณะที่พวกเขากำลังถอยร่น… ยิ่งหลินเฟิงจ้องมองพวกเขามากเท่าไหร่ ทำให้ความมุ่งมั่นของหลินเฟิงเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
หลินเฟิงได้เสี่ยงตัดสินใจมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนนิกายหยุนไห่ และดูซากศพเหล่านี้เป็นครั้งสุดท้าย…
เขาจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เด็ดขาด และจดจำไว้ว่าผู้อ่อนแอจะถูกข่มเหง และถูกสังหาร และผู้ที่แข็งแกร่งจะเป็นคนตั้งกฏของโลกใบนี้่
หลินเฟิงต้องการล้างแค้นให้กับสมาชิกนิกายหยุนไห่ เขาไม่มีวันลืมว่าคนเหล่านี้ได้เสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเขา เขาได้แบกภาระของคนจำนวนมากไว้บนบ่าของเขา คนพวกนี้ทุกคนได้มอบความศรัทธาให้กับหลินเฟิง
ในขณะนั้นพื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน มันเริ่มสั่นแรงขึ้นและแรงขึ้นเรื่อยๆ และเสียงสั่นสะเทือนของพื้นดินก็ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ
“กองทหารม้าหุ้มเกราะ!”
หลินเฟิงรู้สึกตกใจ และรีบตรงไปยังขอบของหุบเขาอย่างไม่ลังเล เขาได้ยินเสียงของกองทหารม้ากำลังใกล้เข้ามา
“เทคนิคเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทรา”
หลินเฟิงแทงดาบของเขาลงหน้าผาเพื่อขับเคลื่อนตัวเองให้เร็วขึ้น เพียงแค่ 2-3 ลมหายใจเขาก็มาถึงด้านบนของหุบเขา
“เร็วเข้า”
เมื่อหลินเฟิงรู้สึกได้ว่าพื้นดินเริ่มสั่นไหวรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้เขาประหลาดใจ ที่ว่าม้าหุ้มเกราะพวกนี้มันรวดเร็วจริงๆ ราวกับว่าพวกเขาใช้เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็สามารถควบม้าไปได้ไกลกว่า 10 เมตร
หลินเฟิงไม่มีเวลาที่จะขบคิด ทันใดนั้นเขาได้คว้ามือเล็กๆของเมิ่งฉิง และรีบหนีด้วยความเร็วสูงสุดของเขา
เมื่อเมิงฉิงถูกหลินเฟิงจับมือ ทำให้นางรู้สึกแปลกๆ แต่เมื่อเห็นท่าทีกระวนกระวาย และเร่งรีบของหลินเฟิง นางจึงปล่อยให้หลินเฟิงจับมือต่อไป
หลินเฟิงรีบหนีอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามไม่มีทางที่เขาจะหลบหนีได้ ในขณะนั้นกองทหารม้าหุ้มเกราะได้วิ่งมาหาเขาด้วยความเร็วสูงสุด
กองทหารม้าหุ้มเกราะพวกเขาล้วนสวมใส่ชุดเกราะที่ดูสง่างาม
เมื่อหลินเฟิงเห็นกองทหารม้าหุ้มเกราะเข้ามาใกล้ เขากำมืออันเล็กๆของเมิ่งฉิงแน่นขึ้น นางก็กำมือของหลินเฟิงแน่นขึ้นเช่นกัน แต่หลินเฟิงก็ไม่ได้สังเกตท่าทีของเมิ่งฉิง สิ่งที่ทำให้หลินเฟิงลำบากใจที่สุดคือเขาไม่คิดว่าทหารม้าหุ้มเกราะจะมาที่นิกายหยุนไห่ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้
“เป็นไปได้ไหม พวกมันรู้ว่าข้ากลับมาแล้ว?” หลินเฟิงคิด
ทหารม้าหุ้มเกราะยังคงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่ชะลอความเร็วแม้แต่น้อย และวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดของพวกเขา
“ทำไมพวกเขาถึงดูสง่างามขนาดนี้”
เมื่อหลินเฟิงมองไปยังผู้คนที่ควบม้าทำให้เขารู้สึกทึ่ง
จากนั้นเขาก็จ้องไปที่ชายวัยกลางคน เขาดูหล่อเหลามาก แต่อย่างไรก็ตามเขาดูโศกเศร้าอย่างมากราวกับว่าเขากำลังโศกเศร้าเพราะอะไรบางอย่าง
เขาสวมเสื้อเกราะที่งดงามมากๆ และผมสีเทาของเขาก็สะบัดไหวไปตามสายลม
ม้าหุ้มเกราะวิ่งผ่านหลินเฟิงไป ที่น่าแปลกใจคือพวกเขาไม่มองมาที่หลินเฟิงเลยแม้แต่น้อย หลินเฟิงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย บางทีเขาอาจจะรู้สึกผิดหวังที่พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพราะเขา พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาคือหลินเฟิง
เมื่อหลินเฟิงขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่เมื่อเขาหันหลังกลับไป และเห็นม้าหุ้มเกราะร้อง แล้วกระโดดลงมาจากด้านบนสุดของหุบเขา นั่นมันอันตายจริงๆ
“สุดยอดดดด…”
หลินเฟิงรู้สึกประทับใจกับพลังของม้าหุ้มเกราะ หลังจากนั้นเขาก็หันหลัง และกลับไปยังขอบของหุบเขา และมองดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในขณะนั้น หลินเฟิงสังเกตเห็นชายที่มีผมสีเทายืนอยู่บนลานประลองแห่งชีวิต เขายืนตัวแข็งราวกับรูปปั้น ขณะจ้องมองไปที่ซากศพทั้งหมด
ผมสีเทาของเขายังคงสะบัดอยู่ในสายลม เขาดูอ้างว้าง และโศกเศร้า
“แคร๊ก”
หลินเฟิงรู้สึกมึนงง ชายที่มีผมสีเทาจู่ๆก็คุกเข่าลงบนลานประลองแห่งชีวิต และขณะที่เขากำลังคุกเข่าลง เข่าของเขาทำให้เกิดเสียงดังขึ้นเมื่อกระแทกกับพื้นของลานประลอง
“ท่านแม่ทัพ!”
มีเสียงพูดขัดจังหวะเขา เสียงนั้นได้แผ่กระจายไปทั่วอากาศ และทำให้บรรยากาศสั่นไหว
ทันทีหลังจากนั้น ทหารม้าทุกคนลงจากม้าหลังม้าของพวกเขา และจ้องมองไปที่แม่ทัพของพวกเขา บางคนก็คุกเข่าลง เขาดูราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บเพราะนัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นถึงความโศกเศร้า
หัวใจของหลินเฟิงเริ่มเต้นระรัว
เมื่อหลินเฟิงเห็นเขารู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเหล่าทหารม้าคนอื่นๆเอาใจใส่แม่ทัพของตัวเองถึงขนาดนี้
ทันใดนั้นจู่ๆหลินเฟิงก็เริ่มขบคิดชื่อของเขา ถ้าข่าวลือเป็นความจริง จะต้องใช่เขาแน่ๆ
“ศรศักดิ์สิทธิ์ หลิ่วช่างหลาน!”
หลินเฟิงมั่นใจมากว่าเขาต้องเป็นหลิ่วช่างหลาน นอกจากนี้เขายังคุกเข่าลมต่อหน้าเหล่าศิษย์ที่ตายไปแล้วของนิกายหยุนไห่
ไม่แปลกเลยว่าทำไมผู้พิทักษ์เป๋ยถึงรู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งที่เขากล่าวถึงชื่อหลิ่วช่างหลาน เขาเป็นศิษย์ที่โดดเด่น แน่นอนเขาสมควรที่จะได้รับการยอมรับจากผู้พิทักษ์เป๋ย
“นี่มันเป็นเรื่องของข้า ทุกๆคนยืนขึ้นเถิด”
หลิ่วช่างหลานกล่าวเสียงดัง และดังไปทั่วหุบเขา เขาไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นคำสั่ง ตรงกันข้ามน้ำเสียงของเขาดูเป็นมิตร และชัดเจนเพื่อให้ทุกคนได้ยินสิ่งที่เขาพูดได้อย่างถูกต้อง
“ท่านแม่ทัพ ได้โปรดอย่าโทษตัวเองเลย”
เมื่อหลิ่วช่างหลานรู้ว่ากองทัพของเขาได้ถูกสั่งให้ไปกำจัดนิกายหยุนไห่ ทำให้เขาละเลยทุกสิ่งทุกอย่าง และมุ่งหน้ามาที่นิกายหยุนไห่ เขารีบควบม้าของเขาออกมาทันที และเดินทางเป็นเวลาสามวันสามคืนโดยไม่หลับไม่นอนเพื่อให้ถึงนิกายหยุนไห่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทหารม้าทุกคนต้องการติดตามเขา ด้วยความต้องการของพวกเขาเอง
“ข้าสั่งให้พวกเจ้าลุกขึ้น”
น้ำเสียงของหลิ่วช่างหลานยังคงสงบอยู่ เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่หลิ่วช่างหลานกล่าวพวกเขาลุกขึ้นยืนทันที
พวกเขาไม่กล้าขัดคำสั่งของหลิ่วช่างหลาน
“เมื่อข้าอายุ 7 ปี ข้าเข้าร่วมนิกายหยุนไห่ ข้ามีอาจารย์และได้รับความนับถือ แต่แล้วข้าก็ออกจากนิกาย และทอดทิ้งพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักรหิมะจันทรา ข้าไม่เคยลืมความรักที่ข้าได้รับจากสมาชิกคนอื่นๆของนิกายหยุนไห่ และข้าไม่เคยลืมอาจารย์ทุกคนของข้า แต่ตอนนี้ นิกายหยุนไห่กลับถูกทำลาย และกองทัพของข้ามีส่วนสำคัญในการสังหารหมู่ครั้งนี้ ข้าจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาดสำหรับเรื่องนี้”
เมื่อหลิ่วช่างหลานพูดขจบ เขาเริ่มก้มหัวให้กับศพทุกศพที่อยู่เบื้องหน้าเขา และโขกหัวตัวเองกับพื้นลานประลอง ทันใดนั้นได้มีเสียงพูดขึ้น
“ท่านแม่ทัพ ต้วนเทียนหลางได้วางแผนการนี้เป็นเวลานาน พวกเราทุกคนล้วนถูกหลอก!”
หนึ่งในกองทหารม้ากล่าวกับหลิ่วช่างหลาน
“ข้ารู้ว่าต้วนเทียนหลานมันเป็นปีศาจร้าย มันสั่งเฟยเฟยให้โน้มน้าวศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของนิกายหยุนไห่ให้ไปที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา แต่มันก็ไร้ประโยชน์ที่จะพยายามหาข้อแก้ตัว ข้ามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน ข้ามีส่วนร่วมในการทำลายนิกายหยุนไห่….”