I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 97 เมืองจักรพรรดิ

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

 

 หลิ่วช่างหลานยังคงนั่งคุกเข่า หัวของเขายังโขกลานประลองครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 ทหารทุกนายเฝ้ามองแม่ทัพของพวกเขา พวกเขารู้สึกโศกเศร้าที่เห็นแม่ทัพที่น่าเคารพต้องทุกข์ทรมาน

 

 ทหารม้าทุกคนมีความใกล้ชิดกับแม่ทัพอย่างมาก ถ้าพวกเขาถูกทำร้ายไม่ว่าจะมียศต่ำแค่ไหน หลิ่วช่างหลานก็จะไม่ลังเลเลยที่จะรีบเข้าไปช่วยเหลือ

 

 หลิ่วช่างหลานจะไม่มีวันคุกเข่าต่อหน้าคนอื่น ไม่แม้แต่กับจักรพรรดิ แต่ในตอนนี้เขาคุกเข่าและโขกหัวครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป

 

 “นิกายหยุนไห่มอบทุกสิ่งทุกอย่างกับข้าแต่ข้าก็ยังเลือกที่จะจากไป ข้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”

 

 หลิ่วช่างหลานจ้องมองอย่างหมดหวังไปที่เหล่าทหาร พวกเขาตะโกนพร้อมกัน “ท่านแม่ทัพ!”

 

 ปราณที่แข็งแกร่งถูกปลดปล่อยออกมาทั่วบรรยากาศ หลิ่วช่างหลานยกแขนขึ้นและตั้งใจจะจบชีวิตของตัวเอง ทหารทุกนายจ้องมองมาที่เขาแต่ไม่มีใครขยับ  ความเงียบเข้าปกคลุมหุบเขาโดยสมบูรณ์

 

 “ขี้ขลาด!”

 

 เสียงแห่งความเกรี้ยวกราดราวกับไม่แยแสทุกสิ่งดังไปทั่วหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน เหล่าทหารต่างตื่นตระหนกอย่างมาก

 

ขี้ขลาด? หลิ่วช่างหลานเนี่ยนะขี้ขลาด?

 

 “ที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลาย ตัวท่านเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ท่านจะต้องจ่ายมันด้วยชีวิต”

 

 คำพูดเหล่านี้ทำให้เหล่าทหารโกรธอย่างมาก หลินเฟิงเป็นผู้ต่อว่าหลิ่วช่างหลาน เขายังคงกล่าวอีกว่าหลิ่วช่างหลานสมควรตาย

 

 ในตอนนั้นเอง แรงกดดันที่ทรงพลังก็พุ่งเข้าหาร่างกายของหลินเฟิง

 

เหล่าทหารม้าต่างปลดปล่อยแรงกดดันที่แข็งแกร่งออกมา ร่างกายของหลินเฟิงกำลังถูกบดขยี้ กระดูกของเขาราวกับจะระเบิดออกมา มีเพียงกองทหารที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะปลดปล่อยพลังปราณที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้

 

 ร่างกายของหลินเฟิงเกือบจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆจากแรงกดดันจำนวนมหาศาล แต่เขาก็ยังคงสงบและจ้องมองไปที่หลิ่วช่างหลานที่อยู่บนลานประลองแห่งชีวิต

 

 “ต้วนเทียนหลางบรรลุเป้าหมายของเขาแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องหลบหนีอีก เขาเพียงแค่ใช้ท่านและตอนนี้ก็ไม่ต้องการท่านอีกต่อไปแล้ว”

 

 ทหารทุกคนกลายเป็นโกรธเกรี้ยว หลิ่วช่างหลานเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนของหุบเขา

 

 “ในเมื่อท่านพร้อมที่จะตาย ลูกสาวของท่าน หลิ่วเฟยก็จะกลายเป็นสมาชิกของตระกูลต้วน ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับนางอีกต่อไป”

 

คำพูดของหลิ่วเฟยเปรียบเสมือนดาบที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของหลิ่วช่างหลาน เขากลายเป็นแข็งค้าง ลูกสาวของเขากำลังจะแต่งงานกับต้วนหาน?!

 

 “เมื่อท่านตาย ทุกคนในนิกายหยุนไห่ที่ตกตายไปอาจจะได้พักผ่อนอย่างสงบเพราะพวกเขาได้รับรู้แล้วว่าพวกเขาได้ตายอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่มีความหวังสำหรับท่านเลยแม้แต่น้อย”

 

คำพูดแต่ละคำของหลินเฟิงทำให้หลิ่วช่างหลานเจ็บปวดอย่างมาก เขาหลับตาลงและค่อยๆเอามือลงอย่างช้าๆ

 

 ถูกต้อง หลิ่วเฟยจะต้องแต่งงานกับต้วนหานและกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลต้วน จะทำอย่างไรถ้านางจะต้องแต่งงานกับต้วนหานจริงๆ? นิกายหยุนไห่เองก็ถูกถอนรากถอนโคนไปหมดแล้ว… แล้วใครจะปกป้องนาง?

 

 เมื่อเหล่าทหารเห็นหลิ่วช่างหลานเอามือลง พวกเขาก็ไม่ได้โกรธหลินเฟิงอีกต่อไป พวกเขาต้องการที่จะขอบคุณด้วยซ้ำเพราะพวกเขาเข้าใจว่าหลินเฟิงใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเพื่อเรียกสติของหลิ่วช่างหลานกลับมา เพื่อไม่ให้เขาปลิดชีวิตของตัวเอง

 

 ดีที่หลินเฟิงอยู่ที่นี่ มิฉะนั้นหลิ่วช่างหลานอาจจะตายด้วยน้ำมือของตัวเองไปแล้ว

 

 “ดูแลแม่ทัพของพวกเจ้าให้ดีๆ นิกายหยุนไห่ไม่ได้เกลียดหรือโทษเขา ผู้พิทักษ์เป๋ยเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ภรรยาของอดีตประมุขนิกายเองก็ให้ความเคารพและชื่นชมเขา นางให้อภัยเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ข้าแน่ใจว่าเขาคงจะยังจำได้ดี”

 

 หลินเฟิงไม่ได้มองหลิ่วช่างหลานอีกต่อไป เขามองไปยังกองทหารม้าในขณะที่จับมือของเมิ่งฉิง

 

 ในตอนที่หลินเฟิงจากไป ดวงตาของหลิ่วช่างหลานกวาดมองไปยังเหล่าทหารด้วยความมุ่งมั่น แม่ทัพของพวกเขากลับมาแล้ว

 

 “ทุกคนจงฟัง ช่วยข้าออกตามหาสมาชิกที่เหลือของนิกายหยุนไห่ ปล่อยให้ผู้ที่ตายเหล่านี้ได้พักผ่อนอย่างสงบ นี่คือคำสั่ง”

 

 หลิ่วช่างหลานกล่าวอย่างหนักแน่น

 

 “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะต้องคอยคุ้มครองพื้นที่ของนิกายหยุนไห่ ปราศจากคำอนุญาตจากข้า ห้ามปล่อยให้ใครเข้ามาที่นี่เด็ดขาด ถ้าพวกมันพยายามที่จะเข้ามาก็สังหารพวกมันเสีย อย่าได้มีเมตตา”

 

 หลิ่วช่างหลานออกคำสั่งอย่างจริงจัง เมื่อเขาพูดเสร็จ เหล่าทหารต่างก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพียงกัน “ขอรับ!”

 

 หลิ่วช่างหลานปีขึ้นไปด้านบนของหุบเขา เขาจ้องมองไปทั่วทุกที่เพื่อตามหาหลินเฟิง

 

 “ท่านแม่ทัพ”

 

 ในตอนนั้นเอง มีทหารคนหนึ่งเดินตรงมาที่หลิ่วช่างหลานและหยุดอยู่หน้าของเขา

 

 “มีอะไร?” หลิ่วช่างหลานถาม

 

 “ท่านแม่ทัพ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องการที่จะบอกท่านว่า นิกายหยุนไห่ไม่ได้เกลียดหรือโทษท่าน ผู้พิทักษ์เป๋ยยังคงเป็นห่วงท่าน ภรรยาของอดีตประมุขนิกายให้อภัยท่านสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง นางยังคงเคารพและชื่นชมท่านในวาระสุดท้าย”

 

 หลิ่วช่างหลานกลายเป็นแข็งค้าง ร่างกายของเขายืนนิ่งและไม่ไหวติงราวกับต้นไม้

 

 เขายกมือขึ้นและจ้องมองไปบนท้องฟ้า  ชายผู้ที่พลังอันแข็งแกร่งและผ่านสมรภูมิรบมามากมาย… ได้มีน้ำตาไหลลินออกมาจากดวงตาของเขาอย่างไม่ขาดสาย

 

 “โปรดให้อภัยศิษย์ไม่ได้ความคนนี้ด้วย…”

 

  หลังจากที่หลิ่วช่างหลานหยุดโศกเศร้า เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ที่เส้นขอบฟ้า

 

 “หลินเฟิง!”

 

 หลิ่วช่างหลานไม่เคยพบเจอหลินเฟิงมาก่อน แต่หลิ่วเฟยเล่าเรื่องของเขามากมาย หลิ่วช่างหลานอยากจะรู้ว่าคนแบบไหนกันที่กลายเป็นความหวังของผู้คนมากมายในนิกายหยุนไห่… ถึงกับเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลกเพื่อที่จะให้เขาได้มีชีวิตอยู่

 

 ในตอนนี้เอง หลิ่วช่างหลานเริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่าหลินเฟิงอาจจะไม่ใช่คนธรรมดา

 

 ถ้าหลินเฟิงเป็นเพียงคนธรรมดา เขาจะกล้าใช้ถ้อยคำดังกล่าวพูดกับหลิ่วช่างหลานได้อย่างไร?

 

 ถ้าหลินเฟิงเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุ 16 ปีธรรมดา เข้าจะสามารถต้านทานแรงกดดันจากปราณของเหล่าทหารม้าหุ้มเกราะที่แข็งแกร่งได้อย่างไร?

 

 ถ้าหลินเฟิงเป็นเพียงคนธรรมดา เขาคงจะไม่กลับมาที่นิกายหยุนไห่ ในทางตรงกันข้ามเขาคงจะไปให้ไกลที่สุดและไม่มีวันกลับมา เพราะทั้งต้วนเทียนหลางและผู้แข็งแกร่งอีกมากมายต้องการที่จะสังหารเขา

 

 หลินเฟิงไม่ได้จากนิกายไปไหน แม้ว่าผู้พิทักษ์เป๋ยจะบอกให้เขาไปหาหลิ่วช่างหลานที่เมืองตว้านเริ่น หลินเฟิงไม่ปล่อยให้ซากศพของคนในนิกายต้องถูกย่ำยี เขายังอยู่และปกป้องคนตายให้พวกเขาได้จากไปอย่างสงบ แต่หลังจากที่เห็นหลิ่วช่างหลานพร้อมกองกำลังของเขา หลินเฟิงจึงตัดสินใจที่จะจากไป เพราะกองกำลังของหลิ่วช่างหลานมีความสามารถที่จะปกป้องนิกายหยุนไห่ได้มากกว่าเขา พวกเขาแข็งแกร่งและยังมีกำลังพลมากกว่า

 

 หลินเฟิงรู้ว่าตระกูลจักพรรดิแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหิมะจันทรา แต่ในทวีปเก้าเมฆาแห่งนี้ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา

 

 มีคนจำนวนมากที่สามารถทำลายอาณาจักรหิมะจันทราได้ ถ้าพวกเขาต้องการ

 

 หลินเฟิงต้องการที่จะแข็งแกร่งถึงระดับนั้นให้ได้

 

 ในตอนนี้หลินเฟิงกับเมิ่งฉิงอยู่บนหินก้อนใหญ่ หลินเฟิงเห็นภาพเงาของหลิ่วช่างหลานจากระยะไกล

 

 “ไปกันเถอะ” จากนั้นพวกเขาก็กระโดดลงมาและไปตามถนนเล็กๆและเริ่มห่างจากหลิ่วช่างหลานขึ้นเรื่อยๆ

 

 “เจ้าไม่มีอะไรจะถาม?”

 

หลินเฟิงถามเมิ่งฉิงด้วยโทนเสียงต่ำ

 

 “ถ้าเจ้าไม่อยากบอก ข้าก็จะไม่ถาม” เมิ่งฉิงกล่าวอย่างไม่แยแส

 

 “ท่านแม่บอกไว้ว่า เมื่อตอนที่ผู้ชายกำลังโศกเศร้า จะดีที่สุดหากปล่อยให้เขาเก็บความคิดไว้กับตัวเองและไม่ต้องถามอะไร”

 

 หลินเฟิงคาดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ เมิ่งฉิงจ้องมองกลับมาที่หลินเฟิง ดูเหมือนว่านางต้องการที่จะตรวจสอบว่าคำสอนของแม่นางนั้นถูกต้องหรือไม่

 

 “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับโลกภายนอกมาจากแม่ของเจ้า?”

 

 “แน่นอน” เมิ่งฉิงพยักหน้า

 

 “ยังมีอะไรที่แม่ของเจ้ากล่าวเกี่ยวกับผู้ชายอีกบ้าง?” หลินเฟิงถาม เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโลกมากนักแม้ว่าเขาจะมีความทรงจำของทั้งสองโลก แต่เมิ่งฉิงกับยิ่งกว่า นางมีเพียงความรู้ที่เกี่ยวกับหุบเขาวายุทมิฬเท่านั้น

 

 “ท่านแม่ของข้ากล่าวว่า…. พวกผู้ชายก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี” เมิ่งฉิงตอบ

 

 “………….” หลินเฟิงประหลาดใจอย่างมาก เขาจ้องมองเมิ่งฉิงด้วยดวงตาที่อยากรู้อยากเห็น เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่แม่ของนางเลือกมาใช้ชีวิตในป่าที่ทุรกันดารเป็นเพราะความเจ็บปวดจากคนรักในอดีต?

 

 “นางบอกกับข้าว่าผู้ชายนั้นน่ากลัวและน่าขยะแขยง แต่ตัวเจ้าดูเหมือนคนดีมากกว่า สิ่งที่ท่านแม่บอกข้าคงไม่อาจใช้กับเจ้าได้”

 

 ใบหน้าที่งดงามของนางน่ารักอย่างมาก มันราวกับว่านางไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด นางอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอกอย่างมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางหนีออกมาพร้อมกับหลินเฟิง

 

 หลินเฟิงช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะ มันเป็นครั้งแรกที่เขาอยากที่จะหัวเราะจริงๆ หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น

 

 “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม ที่แม่ของเจ้าบอกไว้กับเจ้า?”

 

 “นางบอกข้าไว้มากมาย” เมิ่งฉิงพยักหน้า นางจ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าว “แต่ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”

 

“…………”

 

 ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรหิมะจันทราหรือเมืองจักรพรรดิ…. ทั้งหมดต่างมีเนื้อที่กว้างใหญ่มหาศาล

 

 มีประชากรนับพันล้านคนที่อาศัยอยู่ในเมืองจักรพรรดิ แต่ดูไม่เหมือนว่าเมืองจะแออัด

 

 ถนนของเมืองจักรพรรดิมีขนาดใหญ่อย่างมาก คนนับร้อยสามารถยืนเรียงหน้ากระดานได้อย่างสบาย

 

 ในเมืองจักรพรรดิ ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินเท้า แม้ว่าบางคนจะมีม้าแต่พวกเขาก็เลือกที่จะเดินและใช้มือจูงม้าแทน

 

 ในเมืองจักรพรรดิ มีผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งมากมายกลายเป็นคนร่ำรวย พวกเขาสามารถรวบรวมวัตถุดิบจากสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง หลายคนมีม้าราคาแพง

 

 ไม่กี่วันต่อมาก็เป็นพิธีเปิดของลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา บรรดาศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายที่ยิ่งใหญ่ต่างอยู่ที่นั่น ลานศักดิ์สิทธิ์โลภอย่างมากและต้องการที่จะรวบรวมอัจฉริยะให้มากขึ้น

 

 มีผู้บ่มเพาะพลังจำนวนมากตั้งแต่อายุ 6-18 ปีที่หวังว่าจะสามารถเข้าร่วมกับลานศักดิ์สิทธิ์ได้ และกลายเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต ลานศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะพลังของประวัติศาสตร์อาณาจักรหิมะจันทรา

 

 ในตอนนั้นเองก็ได้มีกลุ่มคนเดินอยู่บนถนนสายหลัก พวกเขาดึงดูดความสนใจของทุกคนอย่างมาก ในกลุ่มมีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีแดง นางงดงามอย่างมาก ปราณน้ำแข็งและไฟถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่รู้จบ

 

 “คนเหล่านี้ต้องการที่จะเข้าร่วมกับลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา…. แต่พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากอย่างมาก มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะได้รับเลือก”

 

 ผู้คนต่างพูดด้วยเสียงเบา แต่มันก็ทำให้หญิงสาวในชุดสีแดงยิ้มอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้ก็คือหลินเชียน

 

 “ข้าได้ยินว่าน่าหลานเฟิงเองก็มาที่เมืองจักรพรรดิเหมือนกัน และข้ายังได้ยินมาอีกว่าลานศักดิ์สิทธิ์สนใจในตัวนาง ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

 

 หลินหงที่อยู่ข้างๆหลินเชียนกล่าว มันทำให้นางหงุดหงิดอย่างมาก หลินเชียนจำได้ดีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่การประลองประจำปีในเมืองหยางโจว นางนึกถึงความอัปยศที่ได้รับจากเศษขยะของตระกูล

 

 หลินเฟิงทำให้ทุกคนตกตะลึงและหวาดกลัวในพลังของเขา เขาคืออัจฉริยะปีศาจที่น่ากลัว

 

 ในเมืองหยางโจว ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่รู้จักนามของหลินเฟิง

 

 นางจำถึงวิธีการที่หลินเฟิงออกจากเมืองหยางโจวโดยการจับน่าหลานเฟิงเป็นตัวประกันต่อหน้าทุกคน

 

 “ตอนนี้นิกายหยุนไห่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

 

หลินเชียนไม่ได้รู้สึกดีใจ นางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมีความรู้สึกมากมายปนเปกันไปหลังจากที่รู้ข่าวการตายของหลินเฟิง

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments