ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
หลิ่วช่างหลานยังคงนั่งคุกเข่า หัวของเขายังโขกลานประลองครั้งแล้วครั้งเล่า
ทหารทุกนายเฝ้ามองแม่ทัพของพวกเขา พวกเขารู้สึกโศกเศร้าที่เห็นแม่ทัพที่น่าเคารพต้องทุกข์ทรมาน
ทหารม้าทุกคนมีความใกล้ชิดกับแม่ทัพอย่างมาก ถ้าพวกเขาถูกทำร้ายไม่ว่าจะมียศต่ำแค่ไหน หลิ่วช่างหลานก็จะไม่ลังเลเลยที่จะรีบเข้าไปช่วยเหลือ
หลิ่วช่างหลานจะไม่มีวันคุกเข่าต่อหน้าคนอื่น ไม่แม้แต่กับจักรพรรดิ แต่ในตอนนี้เขาคุกเข่าและโขกหัวครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป
“นิกายหยุนไห่มอบทุกสิ่งทุกอย่างกับข้าแต่ข้าก็ยังเลือกที่จะจากไป ข้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
หลิ่วช่างหลานจ้องมองอย่างหมดหวังไปที่เหล่าทหาร พวกเขาตะโกนพร้อมกัน “ท่านแม่ทัพ!”
ปราณที่แข็งแกร่งถูกปลดปล่อยออกมาทั่วบรรยากาศ หลิ่วช่างหลานยกแขนขึ้นและตั้งใจจะจบชีวิตของตัวเอง ทหารทุกนายจ้องมองมาที่เขาแต่ไม่มีใครขยับ ความเงียบเข้าปกคลุมหุบเขาโดยสมบูรณ์
“ขี้ขลาด!”
เสียงแห่งความเกรี้ยวกราดราวกับไม่แยแสทุกสิ่งดังไปทั่วหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน เหล่าทหารต่างตื่นตระหนกอย่างมาก
ขี้ขลาด? หลิ่วช่างหลานเนี่ยนะขี้ขลาด?
“ที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลาย ตัวท่านเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ท่านจะต้องจ่ายมันด้วยชีวิต”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เหล่าทหารโกรธอย่างมาก หลินเฟิงเป็นผู้ต่อว่าหลิ่วช่างหลาน เขายังคงกล่าวอีกว่าหลิ่วช่างหลานสมควรตาย
ในตอนนั้นเอง แรงกดดันที่ทรงพลังก็พุ่งเข้าหาร่างกายของหลินเฟิง
เหล่าทหารม้าต่างปลดปล่อยแรงกดดันที่แข็งแกร่งออกมา ร่างกายของหลินเฟิงกำลังถูกบดขยี้ กระดูกของเขาราวกับจะระเบิดออกมา มีเพียงกองทหารที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะปลดปล่อยพลังปราณที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้
ร่างกายของหลินเฟิงเกือบจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆจากแรงกดดันจำนวนมหาศาล แต่เขาก็ยังคงสงบและจ้องมองไปที่หลิ่วช่างหลานที่อยู่บนลานประลองแห่งชีวิต
“ต้วนเทียนหลางบรรลุเป้าหมายของเขาแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องหลบหนีอีก เขาเพียงแค่ใช้ท่านและตอนนี้ก็ไม่ต้องการท่านอีกต่อไปแล้ว”
ทหารทุกคนกลายเป็นโกรธเกรี้ยว หลิ่วช่างหลานเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนของหุบเขา
“ในเมื่อท่านพร้อมที่จะตาย ลูกสาวของท่าน หลิ่วเฟยก็จะกลายเป็นสมาชิกของตระกูลต้วน ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับนางอีกต่อไป”
คำพูดของหลิ่วเฟยเปรียบเสมือนดาบที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของหลิ่วช่างหลาน เขากลายเป็นแข็งค้าง ลูกสาวของเขากำลังจะแต่งงานกับต้วนหาน?!
“เมื่อท่านตาย ทุกคนในนิกายหยุนไห่ที่ตกตายไปอาจจะได้พักผ่อนอย่างสงบเพราะพวกเขาได้รับรู้แล้วว่าพวกเขาได้ตายอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่มีความหวังสำหรับท่านเลยแม้แต่น้อย”
คำพูดแต่ละคำของหลินเฟิงทำให้หลิ่วช่างหลานเจ็บปวดอย่างมาก เขาหลับตาลงและค่อยๆเอามือลงอย่างช้าๆ
ถูกต้อง หลิ่วเฟยจะต้องแต่งงานกับต้วนหานและกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลต้วน จะทำอย่างไรถ้านางจะต้องแต่งงานกับต้วนหานจริงๆ? นิกายหยุนไห่เองก็ถูกถอนรากถอนโคนไปหมดแล้ว… แล้วใครจะปกป้องนาง?
เมื่อเหล่าทหารเห็นหลิ่วช่างหลานเอามือลง พวกเขาก็ไม่ได้โกรธหลินเฟิงอีกต่อไป พวกเขาต้องการที่จะขอบคุณด้วยซ้ำเพราะพวกเขาเข้าใจว่าหลินเฟิงใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเพื่อเรียกสติของหลิ่วช่างหลานกลับมา เพื่อไม่ให้เขาปลิดชีวิตของตัวเอง
ดีที่หลินเฟิงอยู่ที่นี่ มิฉะนั้นหลิ่วช่างหลานอาจจะตายด้วยน้ำมือของตัวเองไปแล้ว
“ดูแลแม่ทัพของพวกเจ้าให้ดีๆ นิกายหยุนไห่ไม่ได้เกลียดหรือโทษเขา ผู้พิทักษ์เป๋ยเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ภรรยาของอดีตประมุขนิกายเองก็ให้ความเคารพและชื่นชมเขา นางให้อภัยเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ข้าแน่ใจว่าเขาคงจะยังจำได้ดี”
หลินเฟิงไม่ได้มองหลิ่วช่างหลานอีกต่อไป เขามองไปยังกองทหารม้าในขณะที่จับมือของเมิ่งฉิง
ในตอนที่หลินเฟิงจากไป ดวงตาของหลิ่วช่างหลานกวาดมองไปยังเหล่าทหารด้วยความมุ่งมั่น แม่ทัพของพวกเขากลับมาแล้ว
“ทุกคนจงฟัง ช่วยข้าออกตามหาสมาชิกที่เหลือของนิกายหยุนไห่ ปล่อยให้ผู้ที่ตายเหล่านี้ได้พักผ่อนอย่างสงบ นี่คือคำสั่ง”
หลิ่วช่างหลานกล่าวอย่างหนักแน่น
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะต้องคอยคุ้มครองพื้นที่ของนิกายหยุนไห่ ปราศจากคำอนุญาตจากข้า ห้ามปล่อยให้ใครเข้ามาที่นี่เด็ดขาด ถ้าพวกมันพยายามที่จะเข้ามาก็สังหารพวกมันเสีย อย่าได้มีเมตตา”
หลิ่วช่างหลานออกคำสั่งอย่างจริงจัง เมื่อเขาพูดเสร็จ เหล่าทหารต่างก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพียงกัน “ขอรับ!”
หลิ่วช่างหลานปีขึ้นไปด้านบนของหุบเขา เขาจ้องมองไปทั่วทุกที่เพื่อตามหาหลินเฟิง
“ท่านแม่ทัพ”
ในตอนนั้นเอง มีทหารคนหนึ่งเดินตรงมาที่หลิ่วช่างหลานและหยุดอยู่หน้าของเขา
“มีอะไร?” หลิ่วช่างหลานถาม
“ท่านแม่ทัพ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องการที่จะบอกท่านว่า นิกายหยุนไห่ไม่ได้เกลียดหรือโทษท่าน ผู้พิทักษ์เป๋ยยังคงเป็นห่วงท่าน ภรรยาของอดีตประมุขนิกายให้อภัยท่านสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง นางยังคงเคารพและชื่นชมท่านในวาระสุดท้าย”
หลิ่วช่างหลานกลายเป็นแข็งค้าง ร่างกายของเขายืนนิ่งและไม่ไหวติงราวกับต้นไม้
เขายกมือขึ้นและจ้องมองไปบนท้องฟ้า ชายผู้ที่พลังอันแข็งแกร่งและผ่านสมรภูมิรบมามากมาย… ได้มีน้ำตาไหลลินออกมาจากดวงตาของเขาอย่างไม่ขาดสาย
“โปรดให้อภัยศิษย์ไม่ได้ความคนนี้ด้วย…”
หลังจากที่หลิ่วช่างหลานหยุดโศกเศร้า เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ที่เส้นขอบฟ้า
“หลินเฟิง!”
หลิ่วช่างหลานไม่เคยพบเจอหลินเฟิงมาก่อน แต่หลิ่วเฟยเล่าเรื่องของเขามากมาย หลิ่วช่างหลานอยากจะรู้ว่าคนแบบไหนกันที่กลายเป็นความหวังของผู้คนมากมายในนิกายหยุนไห่… ถึงกับเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลกเพื่อที่จะให้เขาได้มีชีวิตอยู่
ในตอนนี้เอง หลิ่วช่างหลานเริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่าหลินเฟิงอาจจะไม่ใช่คนธรรมดา
ถ้าหลินเฟิงเป็นเพียงคนธรรมดา เขาจะกล้าใช้ถ้อยคำดังกล่าวพูดกับหลิ่วช่างหลานได้อย่างไร?
ถ้าหลินเฟิงเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุ 16 ปีธรรมดา เข้าจะสามารถต้านทานแรงกดดันจากปราณของเหล่าทหารม้าหุ้มเกราะที่แข็งแกร่งได้อย่างไร?
ถ้าหลินเฟิงเป็นเพียงคนธรรมดา เขาคงจะไม่กลับมาที่นิกายหยุนไห่ ในทางตรงกันข้ามเขาคงจะไปให้ไกลที่สุดและไม่มีวันกลับมา เพราะทั้งต้วนเทียนหลางและผู้แข็งแกร่งอีกมากมายต้องการที่จะสังหารเขา
หลินเฟิงไม่ได้จากนิกายไปไหน แม้ว่าผู้พิทักษ์เป๋ยจะบอกให้เขาไปหาหลิ่วช่างหลานที่เมืองตว้านเริ่น หลินเฟิงไม่ปล่อยให้ซากศพของคนในนิกายต้องถูกย่ำยี เขายังอยู่และปกป้องคนตายให้พวกเขาได้จากไปอย่างสงบ แต่หลังจากที่เห็นหลิ่วช่างหลานพร้อมกองกำลังของเขา หลินเฟิงจึงตัดสินใจที่จะจากไป เพราะกองกำลังของหลิ่วช่างหลานมีความสามารถที่จะปกป้องนิกายหยุนไห่ได้มากกว่าเขา พวกเขาแข็งแกร่งและยังมีกำลังพลมากกว่า
หลินเฟิงรู้ว่าตระกูลจักพรรดิแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหิมะจันทรา แต่ในทวีปเก้าเมฆาแห่งนี้ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา
มีคนจำนวนมากที่สามารถทำลายอาณาจักรหิมะจันทราได้ ถ้าพวกเขาต้องการ
หลินเฟิงต้องการที่จะแข็งแกร่งถึงระดับนั้นให้ได้
ในตอนนี้หลินเฟิงกับเมิ่งฉิงอยู่บนหินก้อนใหญ่ หลินเฟิงเห็นภาพเงาของหลิ่วช่างหลานจากระยะไกล
“ไปกันเถอะ” จากนั้นพวกเขาก็กระโดดลงมาและไปตามถนนเล็กๆและเริ่มห่างจากหลิ่วช่างหลานขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าไม่มีอะไรจะถาม?”
หลินเฟิงถามเมิ่งฉิงด้วยโทนเสียงต่ำ
“ถ้าเจ้าไม่อยากบอก ข้าก็จะไม่ถาม” เมิ่งฉิงกล่าวอย่างไม่แยแส
“ท่านแม่บอกไว้ว่า เมื่อตอนที่ผู้ชายกำลังโศกเศร้า จะดีที่สุดหากปล่อยให้เขาเก็บความคิดไว้กับตัวเองและไม่ต้องถามอะไร”
หลินเฟิงคาดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ เมิ่งฉิงจ้องมองกลับมาที่หลินเฟิง ดูเหมือนว่านางต้องการที่จะตรวจสอบว่าคำสอนของแม่นางนั้นถูกต้องหรือไม่
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับโลกภายนอกมาจากแม่ของเจ้า?”
“แน่นอน” เมิ่งฉิงพยักหน้า
“ยังมีอะไรที่แม่ของเจ้ากล่าวเกี่ยวกับผู้ชายอีกบ้าง?” หลินเฟิงถาม เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโลกมากนักแม้ว่าเขาจะมีความทรงจำของทั้งสองโลก แต่เมิ่งฉิงกับยิ่งกว่า นางมีเพียงความรู้ที่เกี่ยวกับหุบเขาวายุทมิฬเท่านั้น
“ท่านแม่ของข้ากล่าวว่า…. พวกผู้ชายก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี” เมิ่งฉิงตอบ
“………….” หลินเฟิงประหลาดใจอย่างมาก เขาจ้องมองเมิ่งฉิงด้วยดวงตาที่อยากรู้อยากเห็น เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่แม่ของนางเลือกมาใช้ชีวิตในป่าที่ทุรกันดารเป็นเพราะความเจ็บปวดจากคนรักในอดีต?
“นางบอกกับข้าว่าผู้ชายนั้นน่ากลัวและน่าขยะแขยง แต่ตัวเจ้าดูเหมือนคนดีมากกว่า สิ่งที่ท่านแม่บอกข้าคงไม่อาจใช้กับเจ้าได้”
ใบหน้าที่งดงามของนางน่ารักอย่างมาก มันราวกับว่านางไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด นางอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอกอย่างมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางหนีออกมาพร้อมกับหลินเฟิง
หลินเฟิงช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะ มันเป็นครั้งแรกที่เขาอยากที่จะหัวเราะจริงๆ หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม ที่แม่ของเจ้าบอกไว้กับเจ้า?”
“นางบอกข้าไว้มากมาย” เมิ่งฉิงพยักหน้า นางจ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าว “แต่ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
“…………”
ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรหิมะจันทราหรือเมืองจักรพรรดิ…. ทั้งหมดต่างมีเนื้อที่กว้างใหญ่มหาศาล
มีประชากรนับพันล้านคนที่อาศัยอยู่ในเมืองจักรพรรดิ แต่ดูไม่เหมือนว่าเมืองจะแออัด
ถนนของเมืองจักรพรรดิมีขนาดใหญ่อย่างมาก คนนับร้อยสามารถยืนเรียงหน้ากระดานได้อย่างสบาย
ในเมืองจักรพรรดิ ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินเท้า แม้ว่าบางคนจะมีม้าแต่พวกเขาก็เลือกที่จะเดินและใช้มือจูงม้าแทน
ในเมืองจักรพรรดิ มีผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งมากมายกลายเป็นคนร่ำรวย พวกเขาสามารถรวบรวมวัตถุดิบจากสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง หลายคนมีม้าราคาแพง
ไม่กี่วันต่อมาก็เป็นพิธีเปิดของลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา บรรดาศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายที่ยิ่งใหญ่ต่างอยู่ที่นั่น ลานศักดิ์สิทธิ์โลภอย่างมากและต้องการที่จะรวบรวมอัจฉริยะให้มากขึ้น
มีผู้บ่มเพาะพลังจำนวนมากตั้งแต่อายุ 6-18 ปีที่หวังว่าจะสามารถเข้าร่วมกับลานศักดิ์สิทธิ์ได้ และกลายเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต ลานศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะพลังของประวัติศาสตร์อาณาจักรหิมะจันทรา
ในตอนนั้นเองก็ได้มีกลุ่มคนเดินอยู่บนถนนสายหลัก พวกเขาดึงดูดความสนใจของทุกคนอย่างมาก ในกลุ่มมีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีแดง นางงดงามอย่างมาก ปราณน้ำแข็งและไฟถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่รู้จบ
“คนเหล่านี้ต้องการที่จะเข้าร่วมกับลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา…. แต่พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากอย่างมาก มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะได้รับเลือก”
ผู้คนต่างพูดด้วยเสียงเบา แต่มันก็ทำให้หญิงสาวในชุดสีแดงยิ้มอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้ก็คือหลินเชียน
“ข้าได้ยินว่าน่าหลานเฟิงเองก็มาที่เมืองจักรพรรดิเหมือนกัน และข้ายังได้ยินมาอีกว่าลานศักดิ์สิทธิ์สนใจในตัวนาง ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
หลินหงที่อยู่ข้างๆหลินเชียนกล่าว มันทำให้นางหงุดหงิดอย่างมาก หลินเชียนจำได้ดีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่การประลองประจำปีในเมืองหยางโจว นางนึกถึงความอัปยศที่ได้รับจากเศษขยะของตระกูล
หลินเฟิงทำให้ทุกคนตกตะลึงและหวาดกลัวในพลังของเขา เขาคืออัจฉริยะปีศาจที่น่ากลัว
ในเมืองหยางโจว ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่รู้จักนามของหลินเฟิง
นางจำถึงวิธีการที่หลินเฟิงออกจากเมืองหยางโจวโดยการจับน่าหลานเฟิงเป็นตัวประกันต่อหน้าทุกคน
“ตอนนี้นิกายหยุนไห่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
หลินเชียนไม่ได้รู้สึกดีใจ นางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมีความรู้สึกมากมายปนเปกันไปหลังจากที่รู้ข่าวการตายของหลินเฟิง