ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเมืองอาทิตย์เมฆาเป็นเมืองเล็กๆที่ค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากนิกายหยุนไห่ และมีผู้คนในเมืองเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น
ว่ากันว่าในเมืองเล็กๆแห่งนี้ มีตระกูลที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนั่นก็คือ ตระกูลต้วน แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกของตระกูลจักรพรรดิ แต่ก็ถูกขับไล่ออกมาเพราะความขัดแย้งภายใน หลังจากที่พวกเขาถูกขับไล่ออกมา พวกเขาได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเล็กๆแห่งนี้
แน่นอนคนที่อาศัยอยู่ภายในเมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่เชื่อข่าวลือพวกนั้น สมาชิกตระกูลต้วนที่เป็นสมาชิกของตระกูลจักรพรรดิ จะมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองเล็กๆแห่งนีได้อย่างไร?
ตระกูลขุนนางมีลานขนาดใหญ่อยู่ที่หน้าบ้านของพวกเขาในเมืองเล็กๆแห่งนี้ และหน้าบ้านของพวกเขามีรถม้าขนาดใหญ่ 2-3 คัน ราวกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะเดินทางไกล
“น้องพี่ ไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ 14 ปีกล่าวกับหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
หญิงสาวที่งดงามใบหน้าของนางราวกับกำลังจะร้องไห้ นางกำลังจ้องมองไปที่ขอบฟ้า จ้องมองไปในทิศทางที่มีนิกายหยุนไห่ตั้งอยู่ และนัยน์ตาของนางได้เผยให้เห็นถึงความโศกเศร้าอย่างมาก
นางไม่เคยคิดว่าตอนที่นางออกจากนิกายหยุนไห่ นิกายหยุนไห่จะถูกกวาดล้าง ทุกๆคนล้วนถูกฆ่าตาย…ทุกๆคน
“อืม”
เมื่อหญิงสาวได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูด นางพยายามฝืนยิ้ม และพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าว: “ข้าเข้าไปในรถม้าแล้ว ถ้างั้นไปกันเถอะ”
“น้องสาวไม่ต้องกังวล รอจนกว่าพวกเราจะไปถึงเมืองจักรพรรดิ พี่ชายของข้าจะแนะนำเจ้ากับชายหนุ่มผู้หล่อเหลา และมากพรสวรรค์”
หญิงสาวส่ายหัว และเกือบจะหัวเราะออกมาเพราะคำพูดนี้
“ทุกๆคนกำลังรอพวกเราอยู่ พวกเราควรออกเดินทางได้แล้ว”
“เอาล่ะถ้างั้นไปกันเถิด” ชายหนุ่มกล่าวขณะพยักหน้า และเดินไปที่ประตู
“จิ้งยวิ๋น,ท่าน,และน้อยนาย พวกท่านควรขึ้นรถม้าคันนี้” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งกล่าวอย่างลุกลี้ลุกลนขณะมองไปที่จิ้งยวิ๋น เขาคิดว่าจิ้งยวิ๋นยิ่งโตก็ยิ่งงดงาม เขาอยากได้นางเป็นภรรยาของเขา แต่เขารู้ว่ามันเป็นไปได้แค่ความฝันเท่านั้น
“จิ้งยวิ๋น เจ้าควรพักผ่อนสักหน่อย ลุงหวัง และข้าจะอยู่ด้านนอก” ชายหนุ่มคนหนึ่งอีกคนกล่าวขณะยิ้ม
“น้องสาว พวกเขาพูดถูกแล้ว นั่งลงเถิด” นายน้อยที่มาจากตระกูลต้วนกล่าว ขณะผลักดันให้จิ้งยวิ๋นเข้าไปในรถม้า แม้ว่าจิ้งยวิ๋นจะเป็นคนรับใช้ในตระกูลของพวกเขามาตั้งแต่ยังเด็ก นายน้อยของตระกูลราวกับเป็นพี่น้องของนาง
จิ้งยวิ๋นไม่ปฏิเสธและเดินเข้าไปในรถม้าอันกว้างขวาง
ในเวลาเดียวกัน หลินเฟิง และเมิ่งฉิงได้เดินทางมาถึงเมืองอาทิตย์เมฆาแล้ว
“ข้าหวังว่าพวกเราจะได้ม้าหรือรถม้าที่พวกเราสามารถใช้งานได้” หลินเฟิงกล่าว
เขารู้สึกหมดหวังเพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะซื้อม้าหรือรถม้าภายในเมืองเล็กๆแบบนี้ได้ ทำให้ซวนหยวนยิ้มอย่างบิดเบี้ยวเพราะเป้าหมายของเขาคือเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิซึ่งมันห่างจากเมืองเล็กๆแห่งนี้อย่างมาก การเดินทางด้วยเท้าจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี และหลินเฟิงไม่คิดจะเดินทางด้วยทางเมื่อออกจากนิกายหยุนไห่ เขาไม่ได้วางแผนการไว้ล่วงหน้าเพื่อเดินทางด้วยเท้าไปยังเมืองหลวง
“ตรงนั้นมีรถม้าอยู่ใช่ไหม?”
เมิ่งฉิงชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งบนเส้นขอบฟ้า และถามหลินเฟิงด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแสเหมือนเดิม หลินเฟิงเงยหน้าขึ้น และมองไปที่ที่นางชี้ แล้วเห็นรถม้า 2-3 คันกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา
“นี่มันบังเอิญจริงๆ”
หลินเฟิงยิ้ม และเดินตรงไปยังรถม้า เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาที่รถม้าของพวกเขา พวกเขาจึงหยุดรถม้า
“เจ้าเป็นใครกัน? ให้พวกเราผ่านไป” ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่หลินเฟิงเพราะเขาขวางทางเดินรถม้าของพวกเขา
“สหาย เจ้าใช้รถม้าเพียงแค่คันเดียว และยังมีรถม้าตั้งหลายคัน เจ้าสามารถให้พวกข้ายืมรถม้าสักคันหนึ่งได้ไหม? ข้ายินดีที่จะมอบเงินก้อนโตถ้าเจ้าต้องการแลกเปลี่ยน”
หลินเฟิงยิ้มให้ชายหนุ่ม และกล่าวอย่างสุภาพ
ภายในรถม้า เมื่อจิ๋งยวิ๋นได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนางจึงรีบเปิดม่านอย่างรีบร้อน และเมื่อนางเห็นหลินเฟิง ทำให้นางรู้สึกดีใจเหลือเกิน
“โทษที พวกข้าจะใช้พวกมันทีหลัง พวกข้าไม่สามารถขายให้เจ้าได้” ลุงหวังตอบกลับขณะดึงบังเหียน
“ตามนั้น ออกไปจากทางเดินรถม้าของพวกข้าเดี๋ยวนี้ พวกข้าไม่ต้องการเงินของเจ้า” ชายหนุ่มผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีดำตะโกน ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมเขาถึงโกรธเกรี้ยวแบบนี้ เพราะหลินเฟิงยังทำตัวสุภาพอยู่แท้ๆ มันไม่ใช่ปัญหาถ้าพวกเขาสามารถมอบคำตอบดีๆให้กับหลินเฟิงได้ แต่พวกเขาไม่ควรทำตัวหยาบคายเช่นนี้
“หลินเฟิง”
เสียเสียงหนึ่งดังออกมาจากรถม้า จากนั้นจิ้งยวิ๋นรีบพุ่งออกมาจากรถม้าของนางเพื่อพูดคุยกับหลินเฟิง และปรากฏรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของนาง เขายังไม่ตาย นิกายหยุนไห่ได้ถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่หลินเฟิงกลับยังมีชีวิตอยู่
“จิ้งยวิ๋น!”
หลินเฟิงรู้สึกงงงวยเมื่อเห็นจิ้งยวิ๋น นางดูสง่างาม และงดงามมากกว่าแต่ก่อน นางดูบริสุทธิ์ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
“จิ้งยวิ๋น เจ้านั้นเป็นใครกัน?”
ในขณะนั้น ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีดำลงจากม้าของเขา และยืนอยู่ด้านหน้าหลินเฟิง จากนั้นเขาก็มองหลินเฟิงอย่างหยิ่งยโส
“หลินเฟิงเจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ! เกิดอะไรขึ้นกับนิกายหยุนไห่?” จิ้งยวิ๋นกล่าวราวกับว่านางไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง นางรีบไปอยู่ข้างๆซวนหยวน ทำให้ชายหนุ่มผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีดำโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว และท่าทีของเขาเริ่มเยือกเย็นมากขึ้น
หลินเฟิงมองจิ้งยวิ๋นอย่างแปลกใจ แล้วก็พูด: “จิ้งยวิ๋น เจ้าไม่รู้จริงๆหรือ?”
“ข้าไม่รู้จริงๆ เมื่อถึงการประลองรอบที่สองของศิษย์ภายใน ข้าได้จากไปก่อนเพราะนายน้อยของข้าต้องการให้ข้ากลับ และไปเมืองจักรพรรดิ ข้าต้องไปกับเขาเพราะมันเป็นหน้าที่ของข้า นอกจากนี้ข้าคิดว่าจะกลับไปที่นิกายอีก 2-3 ให้หลังแต่…แต่…” จิ้งยวิ๋นไม่สามารถพูดต่อได้ การตายของสมาชิกนิกายในเหตุการณ์นั้นมันก็เหมือนฝันร้ายของนาง
“ข้าเข้าใจ” หลินเฟิงมีความสุขที่จิ้งยวิ๋นไม่ได้อยู่ที่นั่นในวันนั้น มิฉะนั้นนางคงจะ………
“จิ้งยวิ๋น เจ้านี่มันเป็นใครกันแน่?”
ในขณะนั้น คนขับรถม้าลุงหวัง ถามจิ้งยวิ๋ยอีกครั้ง
“ลุงหวัง นี่คือสหายของข้า ชื่อหลินเฟิง เขาเป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกับข้า นิกายหยุนไห่”
จิ้งยวิ๋นคว้าตัวหลินเฟิง และแนะนำเขาให้ลุงหวังรู้จัก
“อืม” ลุงหวังตอบขณะพยักหน้าเล็กน้อย
“หืม ไม่ใช่ว่านิกายหยุนไห่ได้ถูกกวาดล้างไปแล้วหรอกรึ แล้วเขายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกัน?” ชายหนุ่มผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีดำกล่าว เมื่อเขาสังเกตเห็นความกระตือรือร้นของจิ้งยวิ๋นที่มอบให้กับหลินเฟิง
“ว่านชิงซาน แล้วมันทำไม?”
จิ้งยวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา นางโกรธจริงๆที่เขาพูดแบบนั้น
“เจ้าควรจะรู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” ว่านชิงซานกล่าวต่อขณะมองไปที่หลินเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยว
จิ้งยวิ๋นเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของนิกายหยุนไห่ และจิ้งยวิ๋นรู้จักหลินเฟิง บางทีเขาอาจจะเป็นศิษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับนาง เขาอาจจะอยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 หรือไม่ก็ 9 แน่นอนว่านชิงซานไม่สนใจคนที่อ่อนแอเช่นเดียวกับหลินเฟิงมากนัก
นอกจากนี้ นิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นบางทีหลินเฟิงอาจจะได้รับความเมตตาและมีชีวิตอยู่อย่างไรเป้าหมายราวกับขอทาน
หลินเฟิงส่ายหัว และเมินคำพูดของว่านชิงซาน
“จิ้งยวิ๋น เจ้ากำลังเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิงั้นหรือ?”
“ใช่” จิ้งยวิ๋นตอบขณะพยักหน้า
“ดีจริงๆ ข้าก็กำลังเดินทางไปที่นั้นเช่นกัน ให้พวกข้าเดินทางไปด้วยได้ไหม? พวกเราสามารถเดินทางไปด้วยกันได้”
“เจ้าพูดจริงหรอ? ข้าขอถามนายน้อยของข้าก่อน มันน่าจะไม่มีปัญหาถ้าพวกเจ้าอยากจะเดินทางร่วมกับพวกเรา” เมื่อจิ้งยวิ๋นได้ยินหลินเฟิงพูดว่าเขากำลังจะเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิ ทำให้นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“จิ้งยวิ๋นมันจะดูไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น”
ลุงหวังกล่าวกับจิ้งยวิ๋นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ลุงหวัง หลินเฟิงเป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกับข้า เขาค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว เขาสามารถช่วยคุ้มกันพวกเราได้”
“แน่นอน ข้าสามารถคุ้มกันพวกท่านได้” หลินเฟิงพยักหน้า
“นิกายหยุนไห่ได้ถูกกวาดล้างไปแล้ว และแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่พวกข้าไม่ต้องการผู้คุ้มกันเพิ่ม” ว่านชิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“จิ๋งยวิ๋นเจ้าก็รู้จุดประสงค์ของพวกเราคืออะไร มันจะไม่สะดวกที่จะมีเขาอยู่ในการเดินทางของพวกเรา แต่การที่ปล่อยให้เขาเดินทางร่วมไปกับพวกเรามันก็ไม่มีปัญหา” ลุงหวังกล่าวหลังจากไตร่ตรอง สถานการณ์ รถม้าคันอื่นพร้อมที่จะใช้งานแล้ว นอกจากนี้ถ้ามีปัญหาหลินเฟิงอาจมีประโยชน์
ในที่สุดเขาก็ยอมรับหลินเฟิงร่วมเดินทางกับพวกเขา
“ลุงหวัง ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขามากับข้า”
ในขณะนั้นนายน้อยได้ออกมาจากรถม้า และกล่าวขณะยิ้มให้หลินเฟิง: “ข้าชื่อ ต้วนเฟิง”
“หลินเฟิง” หลินเฟิงตอบกลับ ขณะพยักหน้าเล็กน้อย และยิ้ม ชื่อของเขาคล้ายกับหลินเฟิง แต่มันมีความหมายต่างกัน
“นายน้อย…” ลุงหวังกล่าวขณะมองไปที่ต้วนเฟิง และต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ต้วนเฟิงขัดจังหวะเขาและกล่าวว่า: “ลุงหวัง ข้ามีจิ้งยวิ๋นอยู่ในรถม้า มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก แน่นอนว่าเพื่อนร่วมทางคนใหม่ของพวกเราหลินเฟิงสามารถนั่งกับพวกเราเพื่อพูดคุยกับพวกเราได้”
“นายน้อย ทำไมท่านถึงยอมรับคำขอของเขา?” ว่านชิงซานถาม เขารู้สึกประหลาดใจที่ต้วนเฟิงอนุญาตให้หลินเฟิงนั่งกับพวกเขา ในตอนนี้เขาดูไม่ค่อยมีความสุขมากนัก
“นายน้อย…สถานะของท่าน… ท่านจะนั่งกับคนแบบเขาได้อย่างไร?” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวเขาไม่เห็นด้วยเช่นกัน
“ความสัมพันธ์ระหว่างสถานะของข้า และ…? อ่า ไม่เป็นไร หยุดพูดได้แล้ว ถ้าข้าพูดว่าได้ ก็ต้องได้ ชัดเจนหรือยัง?” ต้วนเฟิงกล่าวจริงจัง และเขากล่าวเพิ่มเติมว่า: “หลินเฟิง พี่ใหญ่ โปรดเข้ามาในรถม้า
“ด… เดี๋ยวก่อน ข้ามีสหายมาด้วยนะ”
หลินเฟิงหัน และเห็นเมิ่งฉิงยังคงยืนอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นเขาก็ตะโกนเรียกนาง: “เมิ่งฉิง!”
เมื่อนางได้ยินเสียงของหลินเฟิง เมิ่งฉิงค่อยๆเดินไปหาหลินเฟิง แล้วก็ยืนอยู่ข้างหลังเขา
เมื่อเหล่าผู้คุ้มกันเห็นความงดงามของเมิ่งฉิง ทำให้พวกเขารู้สึกงงงวย พวกเขาเห็นว่านางงดงามจริงๆ พวกเขาคิดว่าความงดงามของนางนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
“ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามอะไรเช่นนี้!”
ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครสนใจเมิ่งฉิงเลย ทำให้ชายชราหวังก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
จิ้งยวิ๋นก็ถือเป็นหญิงสาวที่งดงามเช่นกัน แต่ถ้านางต้องยืนข้างเมิ่งฉิง มันจะทำให้นางราวกับไร้ตัวตน เมิ่งฉิงอาจทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่สูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองให้กับความงดงามของนาง นางช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามไร้ที่ติจริงๆ
ในขณะนั้นจิ้งยวิ๋นสังเกตเห็นเมิ่งฉิ่ง เมื่อนางเห็นเมิ่งฉิงยืนอยู่ข้างหลังหลินเฟิง ทำให้นางยิ้มอย่างอมทุกข์
“หญิงสาวผู้นี้ช่างงดงามจริงๆ พี่ใหญ่หลินเฟิง เนื่องจากนางเป็นสหายของท่าน นางสามาถเดินทางร่วมกับพวกข้าได้เช่นกัน”
ต้วนเฟิงกลายเป็นคนอบอุ่น และกระตือรืนร้น
“ถ้างั้นหลินเฟิง เข้าไปนั่งภายในรถม้าเถอะ” จิ้งยวิ๋นกล่าวขณะยิ้ม และพยักหน้า
“ถ้างั้นเข้าไปกันเถอะ” หลินเฟิงพูดกับเมิ่งฉิง แล้วพวกเขาก็เข้าไปในรถม้าทันที
ทำให้ว่านชิงซานรู้สึกอิจฉาหลินเฟิงเป็นอย่างมากที่เห็นหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้
“เจ้าหนู…ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น…หึ ศิษย์ของนิกายหยุนไห่…นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?”
ว่านชิงซานรู้สึกอิจฉาหลินเฟิงผู้ที่นั่งอยู่ภายในรถม้าพร้อมกับหญิงสาวผู้งดงามถึง 2 คน…