I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 173 ยิ่งใหญ่

| Peerless Martial God | 1595 | 2366 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ยามเช้าที่ปราศจากเมฆหมอก แสงจากดวงอาทิตย์ส่องมาถึงพื้นเบื้องล่าง

 

 ในตอนนี้มีคนมากมายมารวมตัวกันที่จัตุรัสราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

 

 มีเวทีประลองขนาดยักษ์ตั้งอยู่ตรงกลางจัตุรัสแห่งนี้ ด้านข้างเป็นที่นั่งของเหล่าคนดู

 

 แท่นที่นั่งทำมาจากหินสีฟ้า มีความสูงถึง 5 เมตรและกว้างกว่า 100 เมตร ด้านบนมีเก้าอี้มากกว่า 100 ตัวตั้งอยู่ซึ่งสามารถทำให้รับชมการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน

 

 “นี่มันอะไรกัน? ดูเหมือนว่าจะมีการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น” คนที่เพิ่งมาถึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ

 

 “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆหรือ? วันนี้คือวันต่อสู้ระหว่างหลินเฟิงและเฮยม๋อ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าสำนักสวรรค์จะสร้างเวทีประลองที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้” ชายอีกคนกล่าว

 

 ทุกคนล้วนแต่ประหลาดใจกับฉากตรงหน้า ในสำนักสวรรค์การท้าประลองเป็นเรื่องปกติมาก เหล่าคนที่มีสถานะสูงมักไม่ค่อยสนใจเว้นแต่ว่าจะมีศิษย์ที่มีศักยภาพท้าทายสวรรค์มาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามการจัดเวทีประลองที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

 “ฮิๆ ดูเหมือนว่าจะมีพวกเจ้าหลายคนที่ยังไม่รู้” ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นและยิ้ม “ในตอนแรกหลินเฟิงบ้าบิ่นอย่างมาก เขาไปที่ลานประลองเชลยของตระกูลไป๋และสังหารหนึ่งในคนของพวกเขาซึ่งบรรลุถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 7 จากนั้นหลินเฟิงก็ปลดปล่อยทาสบางส่วนออกมา ยังไม่พอ นอกจากนักสู้ขอบเขตปฐพีที่หนีรอดไปแล้ว เขายังสังหารทุกคนจากตระกูลไป๋ที่มาตามล่าเขาที่สำนักสวรรค์แห่งนี้อีกด้วย ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของหลินเฟิงพุ่งทะยานขึ้นในทันที ตอนนี้ไมมีใครในสำนักสวรรค์ที่ไม่รู้จักนามของเขาอีกแล้ว”

 

 “นอกจากนี้ยังมีข่าวลืออีกว่าหลินเฟิงคือชายผู้สวมหน้ากากสีเงินและกลับไปยังลานประลองเชลย จากนั้นก็เกิดปัญหาขึ้น เขาได้สังหารมู่ฟ่านจากลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทราและได้ครอบครองปีศาจสิงโตเพลิงจากนั้นก็นำมันไปขายที่โรงประมูล”

 

 “อะไรนะ? เจ้ากำลังจะบอกว่าชายลึกลับภายใต้หน้ากากสีเงินคือหลินเฟิงอย่างนั้นรึ?” ศิษย์อีก 2 คนกล่าวด้วยความประหลาดใจ

 

 “ฮ่าฮ่าฮ่า มีคนไม่มากนักที่รู้เรื่องนี้ หากเจ้าลองเปรียบเทียบทัศนคติของชายในหน้ากากสีเงินและความบ้าบิ่นของหลินเฟิง  พวกเจ้าจะเข้าใจว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมาก พวกเขาจะต้องเป็นคนๆเดียวกันอย่างแน่นอน” ชายคนเดิมกล่าวต่อ

 

 “เมื่อหลินเฟิงกลับมา เขาไปยังหอบ่มเพาะพลังชั้นที่ 4 เขาได้สังหาร จู่หนิง, เคอเฉิงและกงหลุน หลินเฟิงยังสร้างความหวาดกลัวให้กับศิษย์ที่มีการบ่มเพาะถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 ทั้ง 3 คนจนต้องหนีหัวสุกหัวสุนออกมา จากนั้นเขาก็ยึดครองห้องบ่มเพาะพลังทั้ง 8 ห้องของชั้นที่ 4 และไม่ยอมให้ใครได้ใช้อีกต่อไป หลินเฟิงทรงพลังอย่างแท้จริง ในปัจจุบันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครไม่รู้จักนามของเขา มีบางคนกล่าวว่ามีน้อยคนนักในขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 ที่จะสามารถเอาชนะเขาได้ ยังมีคนบอกอีกว่าแม้แต่เฮยม๋อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะเขา”

 

 “นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!” ศิษย์ทั้ง 2 ต่างตื่นตระหนกยิ่งขึ้น

 

 หลินเฟิงสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งในขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 7 และยังสังหารจู่หนิงรวมทั้งคนอื่นๆในขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 ได้อย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งของเขาทำให้สามารถครอบครองห้องบ่มเพาะพลังในชั้นที่ 4 ได้ทั้งหมด หลินเฟิงยังได้ท้ายทายเฮยม๋อที่เป็น 1 ใน 10 ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนัก การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นที่จับตามองอย่างมาก!

 

 “แต่ทำไมพวกเขาถึงสร้างที่นั่งได้ยิ่งใหญ่แบบนี้? มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลินเฟิงหรือไม่?”

 

 “นั่นเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก แม้ว่าในตอนนี้หลินเฟิงจะมีชื่อเสียงมากกว่าเฮยม๋อ กระทั่งบางคนยังบอกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเฮยม๋อซึ่งเป็นศิษย์แนวหน้าของสำนัก อาจจะเป็นเพราะความหยิ่งยโสของหลินเฟิง เขาอาจจะต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาให้ทุกคนเห็น ดังนั้นเขาจึงมีความคิดที่จะให้การต่อสู้ในครั้งนี้เกิดขึ้นในที่สาธารณะพร้อมกับสักขีพยานจำนวนมาก ครั้งนี้ตระกูลของเขาคงจะมาดูด้วย เขาคงอยากที่จะใช้การต่อสู้นี้ในการได้รับชื่อเสียงและอำนาจ”

 

 “นอกจากนี้ ในครั้งแรกที่หลินเฟิงไปยังลานประลองเชลย ไม่เพียงแต่เขาจะสร้างความอับอายให้กับตระกูลไป๋ แต่เขายังเผชิญหน้ากับชายคนหนึ่งที่มาจากตระกูลยู้อีกด้วย ในครั้งที่ 2 ที่เขาไปยังลานประลองเชลย เขายังสร้างความบาดหมางกับบางคนที่มาจากลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา ในบรรดาคนเหล่านั้นมีอีกคนหนึ่งที่มาจากตระกูลยู้ ชายหนุ่มทั้ง 2 ของตระกูลยู้จะมาที่นี่เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกตระกูลไป๋และบางคนจากลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา”

 

 เมื่อศิษย์คนนั้นกล่าวจบ ศิษย์ที่เหลืออีก 2 คนต่างยืนแข็งค้าง หัวใจของพวกเขากระหน่ำเต้นด้วยความกลัว

 

 ตระกูลไป๋, ลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา, ตระกูลของเฮยม๋อ, เหล่าคนจากตระกูลยู้… พวกเขาทั้งหมดจะมาดูการต่อสู้ในครั้งนี้!

 

 นี่ถือเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ไม่แปลกใจเลยที่สำนักสวรรค์จะสร้างเวทีประลองและที่นั่งคนดูได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้

 

 หลายคนไม่สามารถที่จะอดใจรอที่จะรับชมการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก

 

 เวลาผ่านไป ดวงอาทิตย์ค่อยๆลอยขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า เหล่าสมาชิกของตระกูลชั้นสูงได้มาถึงสำนักสวรรค์แล้ว ตอนนี้จัตุรัสต่างอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมากมายมหาศาล พวกเขามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือต้องการที่จะรับชมการต่อสู้ระหว่าง 2 อัจฉริยะ หลินเฟิงและเฮยม๋อ

 

 ในตอนนี้เองมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของจัตุรัส ชายคนนั้นเดินตรงไปที่เวทีประลองอย่างช้าๆ

 

 ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยปราณที่เยือกเย็นและดูชั่วร้าย การแสดงออกทางสีหน้าของเขาดูมืดมนอย่างถึงที่สุด แต่ละย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่ง

 

 “เฮยม๋อ!”

 

ชายคนแรกที่มาถึงก็คือเฮยม๋อ 1 ใน 10ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักสวรรค์!

 

 ในตอนนี้ ผู้คนต่างเห็นเพียงว่าเฮยม๋อก้าวเข้าสู่เวทีประลอง จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิและหลับตาลงและไม่ได้ให้ความสนใจผู้คนรอบข้าง

 

 เฮยม๋อคือศิษย์แนวหน้าของสำนักสวรรค์และได้ทะลวงมาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 แล้ว จิตวิญญาณของเขาก็คือเพลิงทมิฬที่หายาก แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 7 ก็ไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเขาโดยตรง

 

มีเพียงผู้ที่เคยต่อสู้กับเฮยม๋อแล้วเท่านั้นที่จะสามารถบอกถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ลำดับที่ 10 แต่บางคนที่มีลำดับเหนือกว่าก็ยังไม่กล้าที่จะยั่วยุเขา เฮยม๋อถือว่าเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง

 

 ในตอนนี้เอง จากที่ห่างไกลมีร่างเงามากมายกำลังเคลื่อนตัวมายังเวทีประลอง พวกเขาเป็นกลุ่มคนขนาดใหญ่ ในบรรดาพวกเขามีชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงด้านหลังของเขามีชายหนุ่มอีก 2 คน หากหลินเฟิงอยู่ที่นี่เขาจะจำคนพวกนี้ได้ในทันที หนึ่งในนั้นคือคนที่หลินเฟิงจับทุ่มใส่เก้าอี้หินที่ลานประลองเชลยและอีกคนก็เป็นศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทราผู้ซึ่งต้องการที่จะมอบปีศาจสิงโตเพลิงให้กับมู่ฟ่าน

 

 นอกจากนี้ยังมีสมาชิกของตระกูลไป๋ ชายวันกลางคนในเสื้อคลุมสีฟ้าซึ่งมาพร้อมกับกลิ่นอายที่รุนแรง

 

 “ตระกูลยู้”

 

 บางคนในฝูงชนประหลาดใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นชายวัยกลางคนๆนี้มาก่อน แต่พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มทั้ง 2 คือสมาชิกตระกูลยู้อย่างแน่นอน

 

 ตระกูลยู้และตระกูลจักรพรรดิ ทั้งสองยืนอยู่จุดสูงสุดของตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นลานประลองเชลยหรือโรงประมูลล้วนแต่ต้องขอกรรมสิทธิ์ในการดำเนินกิจการจากตระกูลยู้เสมอ

 

 ในเมืองจักรพรรดิ นอกจากตระกูลจักพรรดิ, ตระกูลเย่วและนิกายว่านโช่วเหมิน ก็ไม่มีใครที่จะสามารถต่อกรกับตระกูลยู้ได้ ตระกูลเย่วอยู่อย่างสงบราวกับว่าพวกเขาไม่สนใจเรื่องภายนอกซึ่งทำให้ตระกูลยู้สามารถสร้างชื่อเสียงได้มากยิ่งขึ้น

 

 ถัดออกไปทางด้านซ้าย ได้มีกลุ่มคนที่สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันและมีตัวอักษรตัวใหญ่ถูกสลักไว้ว่า “ลานศักดิ์สิทธิ์”

 

 พวกเขาคือคนจากลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา

 

 ทางด้านขวาเป็นกลุ่มของชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำ พวกเขาแต่ละคนดูเย็นชาอย่างมากและมีปราณที่เยือกเย็นกระจายออกมาจากร่างกาย

 

 คนเหล่านี้มาจากตระกูลเนี่ย พวกเขาเป็นตระกูลที่พิเศษอย่างมากแม้ว่าจะไม่เหมือนกับตระกูลยู้ในแง่ของอิทธิพลแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะยั่วยุเขา ไม่มีผู้อ่อนแอแม้แต่คนเดียวในตระกูลเนี่ย

 

 เมื่อคนกลุ่มใหญ่เหล่านี้มาถึงก็ได้สร้างความกดดันให้กับฝูงชนอย่างมากซึ่งทำให้พวกเขาค่อยๆสงบลง จากนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นเงียบงัน

 

 “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านโปรดรับการขอโทษจากข้าที่ไม่สามารถออกไปต้อนรับพวกท่านได้”

 

 เกิดเสียงดังขึ้นและทำลายความเงียบ ทันใดนั้นก็ได้มีร่างเงาลอยลงมาจากท้องฟ้าและไปยืนอยู่ด้านหน้าของเหล่าสมาชิกตระกูลยู้

 

 ชายวัยกลางคนจ้องมองไปที่รองเจ้าสำนักหลง เขาดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

 

 “รองเจ้าสำนักหลง ทำไมท่านถึงดูหยิ่งยโสและไม่ค่อยให้เกียรติพวกเราเช่นนี้” ชายในเสื้อคลุมสีม่วงกล่าวอย่างไม่แยแส เห็นได้ชัดว่าการที่รองเจ้าสำนักหลงลอยลงมาจากท้องฟ้าและมายืนอยู่หน้าพวกเขาถือเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพอย่างมาก

 

 “ฮ่าๆๆ ชื่อเสียงของท่านยู้มีมากมาย ท่านเองก็สามารถที่จะหยิ่งยโสเหมือนกับข้าได้”

 

 รองเจ้าสำนักหลงเองก็ตอบโต้ด้วยวาจาไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังที่นั่งและกล่าว “เชิญพวกท่านไปยังที่นั่งของตัวเองและรอรับชมการต่อสู้ได้เลย”

 

ชายในเสื้อคลุมสีม่วงจ้องมองอย่างมีโทสะและเดินตรงไปยังที่นั่งของตัวเอง

 

ติดตามได้ที่ – 

 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments