ตอนที่แล้ว“อำนาจดาบ”
เมื่อฝูงชนสัมผัสได้ถึงอำนาจพลังที่แหลมคมของหลินเฟิงทำให้พวกเขาประหลาดใจมาก หลินเฟิงสามารถใช้อำนาจดาบได้และยังใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ
แต่ละย่างก้าวของหลินเฟิงทำให้แรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศทั้งหมดเต็มไปด้วยอำนาจดาบ ภายใต้แรงกดดันที่น่ากลัวทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆเริ่มถอยห่างออกไปเรื่อยๆ อำนาจดาบที่ดุดันพุ่งทะลวงผ่านอากาศตรงไปยังเฮยม๋อไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ตัวของหลินเฟิงและอำนาจดาบของเขาได้ประทับลงไปในจิตใจของผู้คน พวกเขาต่างตื่นเต้นอย่างมาก
เฮยม๋อยืนขึ้น ปราณที่มืดมนและเยือกเย็นได้แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา การคุกคามจากอำนาจดาบของหลินเฟิงไม่ได้ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวแม้แต่น้อย
ภายในดวงตาของเฮยม๋อยังคงลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง ในตอนนี้เขาต้องการที่จะสังเวยเลือดของหลินเฟิงเพื่อที่จะเพิ่มพูนชื่อเสียงของตัวเอง
ความไม่พอใจของฝูงชนได้รับการเยียวยา แม้ว่าหลินเฟิงจะมาช้าแต่อำนาจดาบของเขาก็ทำทำให้ฝูงชนหลงลืมความไม่พอใจไปในทันที การต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นกำลังจะบังเกิดขึ้นและมันก็คุ้มค่าอย่างมากที่รอคอยมาทั้งวัน
“จองหองสิ้นดี” ทันใดนั้นเอง ชายในเสื้อคลุมสีม่วงก็กล่าวและจ้องมองไปบนเวทีต่อสู้ “หลินเฟิง เจ้าช่างอวดดียิ่งนัก เจ้ากล้าที่จะให้พวกเรารอคอยเจ้าทั้งวันและจะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือ?”
เขาพูดด้วยเสียงที่ดังและรุนแรงทั้งยังสร้างความเสียหายให้กับแก้วหูของหลินเฟิง เขาโทษว่าที่เฟิงทำให้เขาและคนอื่นๆต้องรอ
หลินเฟิงโอดครวญเล็กน้อย พลังงานที่อยู่รอบๆตัวแตกกระจายและต้องถอยหลังไป 2-3 ก้าว ก่อนหน้านี้หลินเฟิงไม่ได้ใช้ความพยายามมากนักในการควบคุมอำนาจดาบและพลังปราณ แต่เขาก็จดจ่ออยู่กับแค่เฮยม๋อเท่านั้น เขาไม่คิดเลยว่าชายในเสื้อคลุมสีม่วงจะมีความคิดที่น่ารังเกียจและใช้พลังที่แฝงมากับเสียงทำร้ายเขา ในตอนนี้หลินเฟิงได้สูญเสียการควบคุมอำนาจไปจึงทำให้ปราณที่เฮยม๋อปลดปล่อยออกมาบุกทะลวงเข้าไปในร่างกายของเขาได้สำเร็จและทำให้เขาบาดเจ็บเล็กน้อย
ฝูงชนเริ่มจ้องมองไปที่ชายในเสื้อคลุมสีม่วงด้วยความประหลาดใจ ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้!
หลงติ่งขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
ในตอนนี้ หลินเฟิงได้หันไปมองชายในเนื้อคลุมสีม่วงและเห็นชายหนุ่ม 2 คนที่นั่งข้างเขา หลินเฟิงเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ในทันทีและกล่าวออกไปอย่างเย็นชา “ไม่ใช่ว่าเจ้าขยะ 2 ตัวที่นั่งข้างๆท่านคือคนที่ข้าทำให้อับอาย? หากท่านต้องการจะล้างแค้นก็พูดออกมาตรงๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ท่านมันไร้ยางอายจริงๆ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมคนแบบท่านถึงมีสิทธิ์นั่งที่ตรงนั้น ท่านเพิ่งจะทำให้ตัวเองดูโง่เขลา”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้ฝูงชนตกตะลึง เขาเป็นคนที่บ้าบิ่นอย่างมาก คำพูดของเขารุนแรงและไม่มีการไว้หน้าแม้แต่น้อย เข้ากล้าที่จะหยาบคายต่อหน้าสมาชิกตระกูลยู้ทั้งยังดูถูกพวกเขาต่อหน้าคนจำนวนมาก
ม่านตาของชายในเสื้อคลุมสีม่วงหดแคบลง เขาคิดว่าการที่เขามอบบทเรียนให้กับหลินเฟิงจะทำให้หลินเฟิงตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตัวเองและเอ่ยคำขอโทษออกมา เขาคิดว่าหลินเฟิงไม่มีความกล้าพอที่จะต่อต้านคำพูดของเขา แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นแบบที่คิด เขาประเมินหลินเฟิงต่ำไป
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” น้ำเสียงของชายในเสื้อคลุมสีม่วงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาเป็นบุคคลที่สำคัญมากของตระกูลยู้ แม้แต่หลงติ่งก็ยังไม่กล้าที่จะทำกับเขาเช่นนี้… แต่นี่ เพียงแค่เด็กเมื่อวานซืนกลับกล้าดูหมิ่นและทำให้เขาเสียหน้า?
“ท่านบอกว่าข้าอวดดีที่ทำให้ท่านต้องรอตลอดทั้งวันและยังต้องการคำอธิบายจากข้า การต่อสู้ของข้ากับเฮยม๋อถูกกำหนดไว้ว่าเป็นวันนี้แต่พวกเราก็ยังไม่ได้ตกลงเวลาที่ชัดเจน แม้ว่านี่จะเป็นตอนเย็นแต่ก็ไม่ได้แปลว่าข้ามาสาย นอกจากนี้ข้าอยากที่จะถามท่านสักเรื่อง ข้า หลินเฟิงได้เชิญท่านมาที่นี่หรือไม่? ไม่ว่าข้าจะสู้หรือไม่ มันก็ไม่ได้เป็นธุระอะไรของท่าน ท่านเป็นคนรีบมาเองแล้วยังมีหน้ามาขอคำอธิบายจากข้า? ถามจริงๆข้ากับท่านรู้จักกันด้วยหรือ?”
คำพูดที่แหลมคมของหลินเฟิงทำให้ชายในเสื้อคลุมสีม่วงตกตะลึง แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลินเฟิงยังคงพูดต่อ
“ผู้อาวุโส เป็นท่านเองที่ต้องการมาชมการต่อสู้ของข้า ท่านไม่คิดว่าการกระทำของตัวเองไร้ยางอาย? ท่านไม่คิดว่าการกระทำของท่านจะทำให้ตัวเองเสียหน้า? ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านจะมาจากตระกูลไหน แต่ท่านคงจะเป็นความอัปยศสำหรับพวกเขา หากข้าเป็นท่าน ข้าคงต้องลำบากใจอย่างมากแน่นอน”
ฝูงชนล้วนตกตะลึง พวกเขาจ้องมองชายในเสื้อคลุมสีม่วงด้วยสายตาแปลกๆ ดูเหมือนว่าคำพูดของหลินเฟิงจะถูกต้องเอามากๆ หลินเฟิงไม่ได้ตกลงเรื่องเวลาอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกและไม่ได้เชิญใครเพื่อมาชมการต่อสู้ การที่มีผู้คนมากมายมาชมการต่อสู้ในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นความต้องการของตัวเองซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลินเฟิงแม้แต่น้อย การที่ผู้อาวุโสของตระกูลยู้กล่าวตำหนิหลินเฟิงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะไม่สมควร
ทุกคนต่างคิดเหมือนกับหลินเฟิง แต่ไม่คิดใครกล้าที่จะพูดมันออกมาตรงๆ
ใบหน้าของชายในเสื้อคลุมสีม่วงบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด รองเจ้าสำนักหลงที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ เป็นวิธีการที่ต่ำช้าจริงๆ สมแล้วที่เป็นลำดับที่ 3 แห่งตระกูลยู้”
ชายในเสื้อคลุมสีม่วงต้องการที่จะสอนบทเรียนให้กับหลินเฟิงแต่เขาไม่คิดเลยว่าหลินเฟิงจะทำให้เขาอับอายเช่นนี้
“แคร๊ก!”
เก้าอี้หินของชายในเสื้อคลุมสีม่วงปริแตก แม้ว่าจะเกิดรอยลึกแต่ก็ไม่ถึงกับแต่เป็นชิ้นๆ
เขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงด้วยความอาฆาต
“หลินเฟิง หากเจ้าพ่ายแพ้ในวันนี้ เฮยม๋อก็จะสังหารเจ้าและถึงแม้เจ้าจะชนะ ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า” ชายในเสื้อคลุมสีม่วงไม่ปิดบังเจตนาที่ชั่วร้ายเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความก้าวร้าวอย่างมาก
“ยู้โฉวดูเหมือนว่าท่านจะลืมไปแล้ว่าที่นี่ไม่ใช่ตระกูลยู้ของท่าน ท่านไม่สามารถทำตามเภอใจที่นี่ได้” หลงติ่งกล่าวอย่างเย็นชา หลังจากนั้นเขาก็หันไปหาหลินเฟิงและกล่าว “หลินเฟิงเจ้าไม่ต้องกังวลไป หากยู้โฉวกล้าโจมตีเจ้า แม้ว่าข้าจะไม่อาจสังหารเขาได้แต่ข้าก็ยังสังหารเหล่ารุ่นเยาว์ที่มากับเขาได้”
“ว่าอะไรนะ?” ยู้โฉวกล่าวอย่างเย็นชา เขาจ้องมองไปที่รองเจ้าสำนักหลงและกล่าว “รองเจ้าสำนัก นี่ท่านกำลังข่มขู่ตระกูลยู้ของข้า?”
“ไร้ยางอายยิ่งนัก”
เมื่อฝูงชนได้ยินสิ่งที่ยู้โฉวกล่าว พวกเขาต่างประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าบุคคลระดับยู้โฉวจะไร้ยางอายเช่นนี้
หลงติ่งเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ท่านได้ข่มขู่ศิษย์ของสำนักสวรรค์ แต่ไม่อนุญาตให้ข้าข่มขู่รุ่นเยาว์ของท่าน? ยู้โฉว สมองของท่านยังคงทำงานดีอยู่หรือไม่?”
ยู้โฉวขมวดคิ้วและกล่าว “เหอะ ท่านไม่กลัวว่าจะทำให้ตระกูลยู้โกรธ?”
“ตอนนี้ท่านอยู่ในสำนักสวรรค์” หลงติ่งกล่าว
“แล้วยังไง? ข้าไม่สนใจว่าที่นี่จะเป็นสำนักสวรรค์หรือไม่ แต่การยั่วยุตระกูลยู้จะทำให้สำนักสวรรค์ต้องเผชิญกับหายนะ” ยู้โฉวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้ายซึ่งทำให้ฝูงชนตื่นตระหนก พวกเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นยู้โฉวเผชิญหน้ากับหลงติ่งเพราะหลินเฟิง
บรรยากาศกลายเป็นเงียบงัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่หลงติ่ง ยู้โฉวขู่ว่าจะทำลายสำนักสวรรค์ ตอนนี้ต่างไม่มีใครกล้าทีจะกล่าวอะไรออกมา
บรรยากาศในตอนนี้ตึงเครียดอย่างมาก
“ท่ายยู้ ดูเหมือนว่าท่านจะอารมณ์ไม่ดีนะ”
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงๆหนึ่งเข้ามาทำลายความเงียบงัน ได้มีร่างๆหนึ่งเดินมาท่ามกลางฝูงชน คนๆนั้นมีรอยยิ้มที่อบอุ่นและดูเป็นกันเองอย่างมาก
หลายคนประหลาดใจเมื่อได้เห็นชายคนนี้ แม้แต่ยู้โฉวก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ตามที่คาดไว้ที่นั่งหลักถูกสงวนไว้ให้เขา
เมื่อหลินเฟิงเห็นชายหนุ่ม เขาก็ต้องประหลาดใจ เขาเคยเจอชายคนนี้มาก่อน เขาเคยขออาสาเป็นผู้ตัดสินการต่อสู้ของหลินเฟิงในลานประลองเชลยก่อนหน้านี้
“ชายคนนี้ลึกลับอย่างแท้จริง” หลินเฟิงสังเกตเห็นที่นั่งหลักที่กำลังว่างอยู่ มีความเป็นไปได้ว่าที่นั่งตรงนั้นถูกสงวนไว้ให้กับชายหนุ่มคนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะมีสถานะสูงส่งกว่าแม้กระทั่งตระกูลยู้
เมื่อหลงติ่งเห็นชายหนุ่มก็ทำให้ใบหน้าของเขาเกิดรอยยิ้มในทันทีจากนั้นเขาก็ลุกขึ้น
“ฝ่าบาท” หลงติ่งกล่าวอย่างสุภาพ
ยู้โฉวยืนขึ้นเช่นกัน เขายิ้มและกล่าว “ฝ่าบาทจะต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ข้าไม่ได้อารมณ์ไม่ดีขอรับ”
“ฮ่าๆๆ หากเป็นเช่นนั้นก็ประเสริฐ ท่านยู้ รองเจ้าสำนักหลง โปรดนั่งลงเถิด ไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้น”
รอยยิ้มของชายหนุ่มถือว่าจริงใจและไม่ถือตัวอย่างมากสำหรับตัวตนระดับองค์ชาย เมื่อเขามาถึงก็ได้นั่งบนเก้าอี้หลัก
ในตอนนี้เอง ภายในกลุ่มของศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา ปรากฏความดุดันขึ้นในดวงตาของฉู่จั่นเผิงขณะจ้องมองไปยังชายหนุ่ม
ชายหนุ่มหันศีรษะและมองไปที่ฉู่จั่นเผิง เขาพยักหน้าและยิ้ม “ฉู่จั่นเผิง เจอกันอีกแล้วนะ”
“ขอคารวะ ฝ่าบาท” ฉู่จั่นเผิงพยักหน้าและทักทายชายหนุ่ม ความดุดันในดวงตาของเขาค่อยๆหายไป องค์ชายลำดับที่สอง ต้วนอู๋หยา ก็เป็นเหมือนกับเขา ที่เป็นหนึ่งในแปดปรมาจารย์รุ่นเยาว์และลำดับของต้วนอู๋หยาก็ยังสูงกว่าเขาอีกด้วย
ติดตามได้ที่ –