I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Perfect World (完美世界) ตอนที่ 12 เจตอักษรกระดูก

| Perfect World (完美世界) | 711 | 2372 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

นานแล้วที่ชาวบ้านไม่ได้มีบรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ นี่เป็นของขวัญที่สร้างความแปลกใจและดีใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าอินทรีเกล็ดเขียวจะส่งมอบลูกของตนเองให้แบบนี้ ช่างเป็นสัตว์ร้ายที่ฉลาดและรอบรู้เสียจริง

วันแล้ววันเล่าที่อินทรีเกล็ดเขียวปรากฏตัวพร้อมกับสัตว์ร้ายพวกนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่อสรพิษเวหาจนถึงช้างเขามังกร สัตว์ร้ายแทบทุกประเภทถูกส่งมาถึงที่หมู่บ้าน

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เจ้านกน้อยทั้งสามอ้วนขึ้นคล้ายเป็นลูกโป่ง พวกมันสูงเกือบจะถึงสองเมตร ปริมาณที่กินไปเยอะมากจนน่าตกตะลึงแถมยังเพิ่มขึ้นทุกวัน

พี่ใหญ่เรียก

“ต้าเผิง”

พี่รองเรียก

“เขียวน้อย”

น้องเล็กเรียก

“เมฆม่วง”

ทั้งหมดนี้เป็นชื่อที่ตั้งให้แก่เจ้าลูกนกทั้งสามตัว

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมาก เจ้าอินทรีน้อยทั้งสามตัวฉลาดมากๆ ไม่ธรรมดาราวกับมีเวทมนต์ พวกมันทั้งหมดฉลาดเกินพอที่จะสามารถเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าจะพูดว่าอะไร พวกมันก็สามารถที่จะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก เสียดายที่ไม่สามารถพูดภาษาคนได้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต่างมนุษย์เลยทีเดียว

แต่ดูเหมือนเจ้าน้องเล็ก เมฆม่วงจะฉลาดที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดด้วย หลังจากที่เจ้าเมฆม่วงสูงหนึ่งเมตร มันมักจะตีของปีกของมันแล้ววิ่งออกไปจากหมู่บ้านและกลับมาพร้อมกับชิ้นส่วนของเสือบ้าง หมาป่าบ้างเป็นของฝากทำให้ชาวบ้านงงเล่น

“เมฆน้อย!! มานี่เร็ว”

‘ฉีเฮ่าวิ่ง’นำหน้าโดยมีเมฆม่วงวิ่งตามหลังอย่างกระหาย? สร้างความอิจฉาถล่มทลายให้แก่เด็กคนอื่นๆ เจ้านกวิเศษลี้ลับมักจะทำตัวน่ารักกับ’เฮ่าน้อย’เสมอ

“จิ๊บ จิ๊บ”

เมฆม่วงวิ่งไปข้างหน้า แล้วใช้ปีกเล็กๆของมันช่วยนวดเฟ้นไปที่แผ่นหลังของ’เฮ่าน้อย’ ช่างหายากนกที่สัตว์ร้ายอย่างอินทรีเกล็ดเขียวจะแสดงพฤติกรรมสนิทสนมแบบนี้ออกมา

“มันอะไรกันฟะ เพราะเจ้าหนูแค่สอนตำรากระดูกให้เนี่ยนะ”

กลุ่มเด็กยื่นปากออกมาอย่างขุ่นเคือง

เจ้าหนูน้อยผู้ถูกเข้าหานั้นยืนกรานที่จะสอนเจ้านกทั้งสามตัวด้วยตำรากระดูกที่ถูกบันทึกโดยมนุษย์ สำหรับเมฆม่วงนั้นจะกระตือรือร้นเสมอเมื่อถึงเวลาเรียน ฉลาดกว่ามนุษย์ นับว่าเข้าใกล้คำนี้เพิ่มขึ้นทีละนิด

เจ้าหนูน้อยยกแขนขึ้น ปรากฏตัวอักษรขึ้นมาบนแขนทั้งสองข้างเรียงตัวหนาแน่นเหมือนตาข่ายเป็นแสงอำไพลุกโชติช่วง หลังจากเล็งเป้าหมายก็ปล่อยพลังเป็นรูปนกกระจิบตัวน้อยพุ่งทะยานเข้าใส่ลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อถึงเป้าหมายพลังก็แตกระเบิดเผาไหม้ทันที

*แปะ แปะ*

เจ้าเมฆน้อยชื่นชมโดยใช้ปีกของมันทำท่าคล้ายการปรบมือ กระพริบตาที่กลมโตสดใสปริบๆทั้งยังส่งเสียงจิ๊บๆไม่หยุดหย่อนด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดระงับ

“ว้าว เจ้าตัวน้อยนั่นสุภาพสุดๆ อายุแค่ไม่กี่เดือนแต่กลับรู้อะไรมากมาย”

กลุ่มเด็กๆพูดคุยเสียงดัง

*ฟิ้ว!!*

เจ้านกอีกสองตัว ‘ต้าเผิง’และ’เขียวน้อย’ วิ่งมาเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็วแล้วพุ่งเฮดบัต?ใส่’เฮ่าน้อย’เต็มเหนี่ยวด้วยความอิจฉา สัตว์ร้ายที่มีความฉลาดนั้นมีความกระหายในพลังมากกว่ามนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฝึกตำรากระดูกยิ่งช่วยให้พวกมันโตเร็วยิ่งขึ้น

เมื่อหลายวันก่อน ‘ฉีเฮ่า’ได้รับประโยชน์มหาศาล เพราะว่าอินทรีเกล็ดเขียวสืบสายเลือดมาจากสัตว์ร้ายโบราณ ร่างกายและกระดูกแข็งแรงโดยธรรมชาติและยังมีพลังเจตลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัว ‘เฮ่าน้อย’คอยสังเกตพวกมันตลอดเวลา

กระดูกของสัตว์ร้ายโบราณจะแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดและมีรูปแบบที่พิเศษไม่เหมือนใครตามแต่ละสายพันธุ์ โดยจะค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นโดยผนึกพลังเจตลักษณ์ให้มากพอ โดยทั่วไปสัตว์ร้ายจะปลดปล่อยพลังจนหมดเพื่อให้ทรงพลังมากขึ้น

แต่เจ้านกทั้งสามตัวนี้พิเศษกว่านั้น พวกมันได้รับพลังจากทั้งอาหารและยาของชาวบ้านอีกทั้งพวกมันมีพลังเจตลักษณ์แบบดั้งเดิมจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และพลังเจตลักษณ์ของพวกมันทะลุขีดจำกัดเพราะตำรากระดูกอีกด้วย จึงสามารถผนึกเจตได้ตามใจนึก

(ปล.สำคัญมาก การผนึกเจตของสัตว์ร้ายทั่วไปก็เหมือนกับเหตุการณ์ที่อินทรีเกล็ดเขียวรวมพลังไว้ที่จะงอยปากนั่นแหละครับ เป็นสกิลเฉพาะตัวของสัตว์ร้ายครับ )

ในช่วงหนึ่ง ‘ฉีเฮ่า’มักจะออกไปเที่ยวกับสามนกเสมอและเมื่อกลับมาจะพบว่าทั้งสี่ได้ทะลุขีดจำกัดของพลังไปอีกสามขั้น ทำให้’ฉีหยุ่นเฟิง’อารมณ์ดีมากและปล่อยให้ไปเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ

โดยเฉพาะเมฆม่วงผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์แห่งการสืบทอดสายเลือดนกปีศาจโบราณแม้ว่าจะได้รับมาเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่หากมีโอกาสเติบโตขึ้น พลังเจตลักษณ์ในร่างกายของมันสมควรถูกเรียกว่า เจตอักษรกระดูก

หากข่าวสำคัญเช่นนี้หลุดออกไป คงดึงดูดให้เผ่าพันธุ์ต่างเข้าหาจนวุ่นวายเป็นแน่

เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน แสงตะวันยามเช้าสีกุหลาบส่องผ่านหมู่หมอกลงมา ทำให้แสงตะวันดูนุ่มนวลแล้วสบายตายิ่ง เมฆหมอกเริ่มกลายเป็นสีแดงค่อยๆลอยเอื่อยไปในอากาศ

ท่ามกลางอากาศที่สดใส หยดน้ำค้างล่วงลงมากเปล่งประกายเหมือนดั่งเศษแก้ว กลุ่มชายฉกรรจ์เริ่มวางแผนเตรียมออกล่านอกหมู่บ้านหินผาอีกครั้ง

“ท่านลุงต้องระมัดระวังให้มากๆนะขอรับ”

เจ้าหนูน้อย ‘ฉีเฮ่า’วิ่งนำเจ้านกเด็กทั้งสามตัวมาส่งพวกเขาอย่างกระตือรือร้น เด็กน้อยเงยหน้าส่งสายตากลมโตสดใสส่งผ่านความปรารถนาดีไปให้พวกเค้าแต่ละคน ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาส่งพวกเขาโดยเฉพาะ

กลุ่มของชายฉกรรจ์ที่มีชีวิตอย่างเอกอุหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานใจ พวกเขาเดินเข้าหยิกแก้มที่แดงเหมือนแอปเปิ้ลอย่างหมันเขี้ยว ก่อนจะเดินจากไปเข้าสู่หุบเขามืด

“เมฆน้อยให้ข้าดูอีกครั้งนะ รูปแบบการโคจรของพลังเจตลักษณ์ในร่างกายเจ้า ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจเลย”

หลังจากช่วงเช้า ‘เฮ่าน้อย’กำลังยื่นมืออันขาวผ่องและอ่อนนุ่มไปกอดคอของเมฆน้อยอย่างสนิทสนม เจ้านกน้อยทำท่าผ่อนคลายแล้วเริ่มโคจรพลังแล้วผนึกเจตลักษณ์แห่งกระดูกแสดงออกมาเพื่อให้เด็กน้อยมองดูได้สะดวก

“จิ๊บ จิ๊บ”

‘ต้าเผิง’ไม่พอใจเล็ก ถลาเข้าเฮดบัตใส่ฝ่ามือของเด็กน้อย(มันอิจฉา)

“ต้าเผิงหยุดก่อน เดี๋ยวข้าจะตรวจสอบพลังเจตลักษณ์ของเจ้าทีหลังนะ เขียวน้อยด้วย เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าจับปลาเยอะๆเลย แต่อย่าพึ่งมากวนข้าเลย”

เด็กน้อยเข้าไปกอดคอเช่นเดียวกันเพื่อเป็นการเอาใจเจ้านกขี้อิจฉาคู่นี้

ในความเป็นจริงนั้น เจ้านกทั้งสามตัวมีความสูงท่วมหัวขอเด็กน้อยเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน เขาก็ยังเป็นเจ้าเด็กน้อยของหมู่บ้านอยู่ดี

“หวา นี่มันโคจรไปยังไงบ้างเนี่ย ดูซับซ้อนเหมือนกับกลุ่มดาวเลย”

เด็กน้อยมองไปที่พลังเจตลักษณ์ที่ปรากฏบนผิวของเมฆน้อยเป็นลักษณะเรียงตัวตามกระดูกภายในร่างกายของเจ้านกน้อย ดวงตาของเฮ่าน้อยเบิกกว้าง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว

“จิ๊บ จิ๊บ”

‘ต้าเผิง’กับ’เขียวน้อย’เองก็อยากรู้อยากเห็นต่างเพ่งมองไปที่พลังเจตลักษณ์ที่ปรากฏบนร่างกายของน้องชายตนอย่างตาไม่กระพริบ ราวกับว่าต้องการจดจำและพยายามวิเคราะห์ข้อมูลในหัวของพวกตน

“ต้าเผิง เขียวน้อยให้ข้าดูพลังเจตลักษณ์ของพวกเจ้าด้วยสิ”

เด็กน้อยหันกลับไปให้ความสนใจแก่เจ้าอินทรีเกล็ดเขียวทั้งสองตัว

เขารู้สึกสนใจอย่างไม่รู้จบเมื่อมองไปที่แสงที่อุบัติขึ้นและรูปแบบพลังเจตลักษณ์ที่งามสง่าที่ประดับอยู่บนเกล็ดของพวกมัน

‘เฮ่าน้อย’ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง จากสิ่งที่เขาได้รับมาทั้งหมดในหลายวันที่ผ่านมาแล้วหลับตาพึมพำออกมา

“เหมือนกันมาก ความซับซ้อนของรูปแบบพลังที่ผสานกันก็เหมือนกัน ประกายแสงที่ค่อยๆขับเคลื่อนจนพลังลี้ลับปะทุออกมาภายนอก…..”

*วู้ม!!*

เด็กน้อยวาดมือออกไปเล็กน้อยก่อเกิดประกายแสงรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พลังทะยานเข้าตัดไปที่ลำต้นของต้นไม้ จนต้นไม้ล้มลงไปที่พื้นส่งเสียงดังสนั่น ฝุ่นตลบไปทั่วอากาศ

“ว้าว!! เจ้าหนูทำสำเร็จแล้ว เขาเรียนรู้พลังจากอินทรีเกล็ดเขียวได้สำเร็จแล้ว นั่นคือการผนึกเจตอย่างแน่นอน แข็งแกร่งฝุดๆ”

ไม่ไกลออกไป กลุ่มเด็กๆเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

“หุบปากได้แล้ว!!”

หัวหน้าหมู่บ้านปรากฎตัวออกมาระงับความปั่นป่วนและเสียงรบกวนจากเด็กๆไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสมาธิของ’ฉีเฮ่า’ผู้ที่กำลังขบคิดอย่างลึกซึ้ง

“เมฆน้อยให้ข้าดูอีกครั้งเถอะ ข้าเข้าใจรูปแบบพลังจากต้าเผิงกับเขียวน้อยแล้ว”

‘เฮ่าน้อย’กอดคอของเมฆน้อยไว้แล้วส่งสายตามุ่งมั่นไปให้ เข้าจะต้องเข้าใจมากกว่านี้อีกแน่นอน

เมฆม่วงส่งเสียงจิ๊บออกมายาวๆและค่อยๆผนึกเจตจนเกิดแสงส่องอำไพขึ้นบนร่างกายนกน้อย แม้ว่ามันจะยังเด็กแต่ก็สามารถแผ่บรรยากาศอันสูงส่งและเข้มแข็ง สร้างความสั่นไหวใจแก่ชาวบ้านทั้งหลาย

ความลี้ลับและซับซ้อนของพลังเจตลักษณ์ที่เคลื่อนตัวตลอดเวลาบนร่างกายทำให้เกล็ดสีม่วงเปล่งประกายจนดูโปร่งแสง ดูมีมนต์ขลังยิ่งนัก

ดวงตาเปล่งประกายสุกใสดั่งอัญมณีคู่นั้นกำลังจดจ้องไปที่การผนึกเจต ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ เด็กน้อยยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาก่อเกิดแสงที่ลุกโชนเคลื่อนจากแขนไปที่ฝ่ามือก่อนจะซัดออกไป

*ควิ้ง!!*

ลำแสงนั้นที่ซัดออกมาเหมือนดั่งดาบที่ถูกชักออกจาฝักแล้วเกิดเสียงคล้ายเหล็กฝ่าอากาศ มีลักษณะเป็นแผ่นทรงกลมคล้ายจันทร์เต็มดวงสุกสว่างหมุนคว้างไปที่หินยักษ์สูงกว่า 56เมตร ทันทีที่โดนพลังเข้าไปหินยักษ์ก้อนนั้นก็ขาดครึ่งทันที

การตัดที่เรียบเนียนทำให้ส่วนยอดของหินยักษ์ที่หนักกว่าพันจิน(500กิโลกรัม)ที่ถูกตัดนั้นตกลงมาที่พื้นเกิดรอยยุบที่พื้นและเสียงดังสนั่น ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว

ไกลออกไป กลุ่มผู้คนที่กำลังดูอยู่ตัวแข็งเป็นหินทันที มันพลังอะไรกันฟะ กลุ่มแสงที่กลมเหมือนดวงจันทร์สามารถตัดทะลวงหินขนาดใหญ่ที่แข็งเหมือนเหล็กได้ สร้างความตกใจสุดขีดให้แก่ทุกคน

“ช่างเป็นเจตลักษณ์ที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ!! สมแล้วที่เป็นพลังที่ได้รับสืบทอดจากพลังส่วนหนึ่งของนกปีศาจในตำนาน”

‘ฉีหยุ่นเฟิง’กล่าวด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยม

“เฮ่าน้อยก็ช่างน่ากลัวยิ่งนัก แค่เวลาไม่กี่เดือน เขาก็สามารถล่วงรู้เคล็ดลับของการผนึกเจตได้อย่างไม่น่าเชื่อ ช่างเป็นพรสวรรค์ที่น่าตกใจเสียจริง”

เมฆม่วง ‘ต้าเผิง’และ’เขียวน้อย’ต่างตกตะลึง พวกเขายังเด็กเกินไปที่จะทำความเข้าใจในพลังเจตลักษณ์ แต่ในตอนนี้พวกเขากำลังตื่นเต้นกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

“ท่านปู่ ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

นัยน์ตาของเด็กส่องประกายระริกและตะโกนออกมาอย่างมีความสุข

‘ฉีหยุ่นเฟิง’รีบเข้ามาชมเชยเด็กน้อย

“พลังเจตที่เจ้าพึ่งใช้ออกมา ต้องเป็น เจตแห่งอักษรกระดูกอย่างแน่นอน มันทรงพลังอย่างหาได้ยากยิ่งทั้งยังแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ อย่าได้ใช้ออกอย่างพร่ำเพรื่อหากไม่จำเป็น”

เด็กน้อยกระพริบดวงตากลมโตปริบก่อนจะเกาหัวของตนแล้วเอ่ยออกมา

“มันแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ แต่มันยังไม่สมบูรณ์เลยนะขอรับ ข้ารู้สึกได้ว่าควรมีต้นไม้และปราสาทปรากฏอยู่บนแผ่นดวงจันทร์ แต่ข้าไม่สามารถทำได้”

“อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ เจ้าแข็งแกร่งพอๆกับท่านลุงของเจ้า หลิงหู่กับเฟยเฉียว พลังเจตอักษรกระดูกก็ไม่ต่างจากสมบัติล้ำค่าที่ผู้คนหมายปองหรอกนะ”

ท่านหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวด้วยความเคร่งขรึม

เด็กน้อยพยักหน้าอย่างจริงจังเป็นการตอบรับ แล้วหัวเราะคิกคักออกมาอย่างไร้เดียงสา เขายังคงฝึกต่ออย่างไม่ลดละจนใช้พลังได้เกือบสมบูรณ์แล้ว เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านรับรู้ก็ชมเชยออกมา ที่สามารถฝึกฝนสำเร็จได้ด้วยตนเอง

เมื่อดวงตะวันตกดิน ขอบฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงและแล้วกลุ่มนักล่าก็กลับมา พวกเขาได้เหยื่อกลับมาไม่มากนักสร้างความฉงนให้แก่ชาวบ้านที่รออยู่ยิ่งนัก

“เกิดอะไรขึ้นกัน!!”

ชาวบ้านถามออกไปด้วยความกังวล

“ใจเย็นก่อน ไม่มีใครตายหรอก แต่บิดาของไป๋หัวได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาถูกธนูยิงเข้าที่ใกล้ๆตับ”

‘ฉีหลิงหู่’ชี้แจงออกมาด้วยสีหน้าอันน่ากลัว

“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”

พวกผู้อาวุโสปรากฏตัวออกมา

“ก็เพราะเจ้าพวกหมู่บ้านหมาป่านั่นแหละ พวกเราไม่ได้รับข่าวเกี่ยวกับพวกมันมาครึ่งปีแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงเข้ามาในเขตล่าของพวกเราแล้วแย่งเหยื่อของพวกเรา จนทำให้บิดาของไป่หัวเกือบตาย”

 

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments