I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Martial God Asura ตอนที่ 187 – ขั้นที่ 3

| Martial God Asura | 2540 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

‘ชูเฟิง’รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องเข้ามา แน่นอนว่ามันคือ ตะกูลเจี่ย

“เจี่ยเฮง” ที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาจากระยะไกลถัดจาก’เจียเฮง’ ก็เป็นสมากชิกของตระกูล เจี่ย ‘ชูเฟิง’ รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน จากสมาชิกตระกูล เจี่ย ที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่ชื่อ ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญอาณาจักรกำเนิดวิญญาณระดับ 7

แต่โชคดีที่ยังมี’เจี่ยฉวน’ เดินมาข้างๆ ‘เจี่ยเฮง’ และตั้งแต่ที่’เจี่ยเฮง’ใช้สายตาแปลกๆมองมา เขาก็ถูก ‘เจี่ยฉวน’ จ้องหน้าเหมือนข่มขู่ ‘เจี่ยเฮง’ จึงไม่ได้พูดอะไรสักคำและจากนั้นก็หลบสายตาออกไปฉากนั้นทำให้ ‘ชูเฟิง’ โล่งอก

เพราะเห็นได้ชัดว่า ‘เจี่ยฉวน’ ยังคงรักษาสัญญา และอย่างน้อยๆพวกเขาก็ไม่ได้บอกคนในตระกูลเรื่องที่ ‘ชูเฟิง’ เหยียบ ‘เจี่ยเฮง’ จมดิน หากพวกเขารู้เรื่องนี้ พวกตระกูลเจี่ย ที่หยิ่งทรนง คงจะทำให้’ชูเฟิง’เจอปัญหานอกจากตระกูลเจี่ย ยังมีจำนวนกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งประมาณสิบกว่าคน พวกเขาคือ อัจฉริยะของนิกายโลกวิญญาณ

ทั้งสองฝ่ายแสดงถึงพลังอำนาจของพวกเขา และเห็นได้ชัดว่า หอคอยอสูรฟ้า จะต้องเกิดความขัดแย้งนอกจากนิกายโลกวิญญาณ และ ตระกูล เจี่ย ยังมีคนอื่นๆอีกจำนวนหลายสิบคน ที่กระจัดกระจายออกไปเหมือนกับกลุ่ม ‘ชูเฟิง’ นั่นหมายความว่าคนที่มาถึงที่นี่และผ่านการสอบเสื้อคลุมสีขาว มีไม่ถึง 300 คน ที่กล้าท้าทายหอคอยอสูรฟ้า

” ดูนั่น อาวุโสจากนิกายโลกวิญญาณ “

ทันใดนั่น มีคนตะโกนออกมา และตอนนั่นทุกคนโดยรอบต่างหันหน้าไปมองด้านเดียวกัน มีคนกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นพวกเขาทั้งหมดคือผู้เชี่ยวชาญของนิกายโลกวิญญาณ ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้เชื่อมต่อฯชุดเทา และ มีชายชราสามคนหนวดเคราสีขาวเดินมาขณะลูบเคราที่สวมชุดดูต่างออกไปชายชราไม่ได้สวมเสื้อคลุมของผู้เชื่อมต่อฯเพื่อแสดงสถานะของพวกเขา

พวกเขาล้วนแต่สวมเสื้อผ้าธรรมดาถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีหนวดเคราสีขาว แต่ผิวพรรณของเขาเปล่งไปด้วยออร่า มีหนึ่งในนั้นปล่อยออร่าออกมาแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเขาอยู่ในระดับไหน แต่พวกเขาคงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและพวกเขาทั้งหมดเข้าสู่จุดสูงสุดของอาณาจักรแก่นแท้วิญญาณ

” นั้นมันตระกูลเจี่ย . . . . .? ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย ? “

ในตอนนั้น อีกด้านหนึ่งของลาน มีคนอีกกลุ่มหนึ่งสวมชุดสีดำค่อยๆปรากฏขึ้นมา ในนั่นมีผู้เชี่ยวชาญอยู่นับไม่ถ้วน และมีสามคนที่ไม่สามารถระบุพลังวิญญาณของพวกเขาได้ แต่ด้วยท่าทางยโสโอหังของพวกเขาบอกได้เลยว่า มันคือคนของ ตระกูล เจี่ย

” ตระกูลเจี่ยก็มาเช่นกัน นิกายโลกวิญญาณคงไม่ง่ายที่จะเลี่ยงหลีกการปะทะ “

” เจ้าไม่รู้หรอ ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ ตั้งแต่อัจฉริยะของตระกูลเจี่ยมาที่นี่ พวกเขาก็ตามมาอารักขาเพื่อไม่ให้ใครรังแก เป็นธรรมดาที่ พวกผู้ใหญ่จะมาด้วย “

” นอกจากนี้ ตั้งแต่นิกายโลกวิญญาณหยุดการต่อสู้ที่ยาวนาน พวกเขาก็กลายเป็นพันธมิตรกัน และแน่นอนว่า ตระกูลเจี่ย จะต้องมา “

‘ชูเฟิง’ยังคงได้ยินการสนทนาของพวกเขาและพอจะเข้าใจคำพูดของคนอื่นๆ แม้ว่านิกายโลกวิญญาณ และ ตระกูล เจี่ย ดูภายนอกแล้วจะดูเหมือนพันธมิตร แต่ลึกๆแล้วพวกเขาก็คิดว่าต่างฝ่ายต่างคือศัตรูหรือบางทีความสัมพันธ์ของทั้งสองอาจจะไปได้เป็นสหายกันอย่างที่ใครๆคิด พวกเขาเปรียบได้กับ น้ำและไฟ สำหรับคนที่รู้เรื่องนี้จริงๆเท่านั้นถึงคิดแบบนี้

ซึ่ง’ชูเฟิง’ก็ได้ข้อมูลนี้มาพอสมควรหลังจากที่ทั้งสองกลุ่มปรากฏขึ้นมา พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เดินไปรวมที่ลาน แต่พวกเขาเดินไปทิศทางตรงกันข้ามกับหอคอยอสูรฟ้า จากนั่นพวกเขาก็นั่งหันหน้าไปมองหอคอยอสูรฟ้าเพื่อนั่งฟังคำอธิบายในเวลาเดียวกัน คนที่ดูมีตำแหน่งของนิกายโลกวิญญาณเริ่มอธิบายกฏและบอกข้อสังเกตุหลังจากที่เข้าไปในหอคอยอสูรฟ้า

โดยทั่วไปแล้วหากมีใครไม่สามารถต้านทานแรงดันวิญญาณภายในนั้น จะต้องรีบออกมาทันที หากยังฝืนดื้อดึงอาจจะทำให้พวกเขาตายนอกจากนี้ ทุกคนยังจะได้รับเครื่องราง หากติดอยู่ในนั้นหรือไม่พบทางออกจากหอคอยอสูรฟ้า พวกเขาสามารถทำลายเครื่องราง

และ นิกายโลกวิญญาณจะส่งคนเข้ามาช่วย แน่นอนว่าคนที่พวกเขา เข้าไปช่วยจะต้องสอบตก และพวกเขาจะสูญเสียคุณสมบัติในการซื้อเสื้อคลุมสีขาวของผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณตามหลัก เมื่อเมฆสีแดงปรากฏขึ้นหมายความว่าพระอาทิตย์กำลังตก โลกของเราจะถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด แต่หอคอยอสูรฟ้านั้นแปลกออกไป

เพราะภายในนั้นต่อให้เป็นตอนกลางคืนมันก็ยังไม่มืดสนิท ภายในหอคอยสีดำ มีลมจากด้านในพัดออกมาด้านนอก เป็นลมสีแดงสด ราวกับว่าถูกสร้างมาจากโลหิต ถึงแปลกแต่ก็ดูงดงาม

* หวือ หวือ *

เสียงดังก้องกระหึ่มภายใต้ความมืดนั้นมันค่อยๆขยายออก ประตูที่เหมือนปีศาจของหอคอยอสูรฟ้าค่อยๆเปิดออก หลังจากที่ประตูเปิด สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาไม่ใช่ทางเข้าของหอคอย แต่เป็นวิญญาณสีแดงโลหิตเหมือนวาป นั้นคือทางเข้าที่แท้จริงของหอคอยอสูรฟ้า

” ไปได้ ~ ~ ~ “

* โอ้วววววว *

ทันใดนั้น ก็มีคนตะโกนออกมาา หลังจากนั้นอัจฉริยะของนิกายโลกวิญญาณและอัจฉริยะจากตระกูล เจี่ย ก็วิ่งเข้าไปพร้อมกัน พวกเขารวดเร็วเป็นอย่างมากแสดงว่าพลังวิญญาณของพวกเขาไม่ธรรมดาโดยเฉพาะตัวแทนอัจฉริยะของนิกายโลกวิญญาณ ‘กู่ โบ๋’ และตัวแทนอัจฉริยะของ ตระกูล เจี่ย

‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ทั้งสองคนเป็นเด็กอัจฉริยะที่มีพลังวิญญาณอยู่ในอาณาจักรกำเนิดวิญญาณระดับ 7 พวกเขาทั้งคู่รุดหน้าเข้าไปในหอคอยอสูรฟ้ารวดเร็วกว่าคนอื่นๆหลังจากที่ทั้งสองเข้ามา คนอื่นๆก็เกิดความกล้าพวกเขาจึงมุ่งหน้าตามเข้าไป มีเพียง’ชูเฟิง’ที่ไม่รีบร้อน เขากุมเมล็ดวิญญาณของเขาไว้ในมือและค่อยๆไหลตามกระแสของผู้คนเพื่อเข้าไปยังหอคอยอสูรฟ้า

หลังจากก้าวเข้ามาภายในประตูสีแดงโลหิตที่ถูกสร้างจากอำนาจพลังวิญญาณ  ‘ชูเฟิง’ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีประสบการเช่นนี้ แสงที่ปรากฏต่อเขามีแรงดันวิญญาณที่แข็งแกร่งเข้าปกคลุมรอบๆตัวเขาจากทุกทิศทางแรงดันวิญญาณ สาดใส่ร่างกายของ’ชูเฟิง’ไม่หยุดหย่อน

แต่เมื่อ ‘ชูเฟิง’ แผ่พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมาปกคลุมทั่วร่าง ซึ่งสามารถต้านแรงดันนั้นไว้ด้าน แต่ ‘ชูเฟิง’ ก็ยังรู้สึกได้ชัดเจนว่ายังคงมีการรบกวนจากกระแสแรงดันวิญญาณ จากนั่นเมล็ดวิญญาณในมือของเขาก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

” อ้า ~ ~ ~ ~ ~ “

แต่ก่อนที่ ‘ชูเฟิง’จะมีโอกาสที่จะได้มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมล็ดวิญญาณ ก็มีเสียงร้องไห้ดังออกมาจากรอบๆตัว บางคนที่ไม่สามารถทนกับแรงดันวิญญาณได้ ทวารทั้งเจ็ดของเขามีเลือดไหลออกมาจากจุดต่างๆ ขณะที่ร้องด้วยความเจ็บปวดดิ้นทุรนทุรายลงกับพื้น

จู่ๆ คนๆนั้นก็ยกมือขึ้นมา เพื่อจะทำลายเครื่องรางแต่มือของเขาก็ลดลง เครื่องรางตกอยู่ใกล้ๆ ในตอนนั้นเขาได้หมดโอกาสที่จะได้ใช้ เครื่องรางในช่วงเวลานั้น จำนวนขนาดใหญ่ของผู้สอบตกเพื่มขึ้นมากมาย แต่ดูฉากนั้น มีหลายคนได้แต่มองด้วยสายตาที่เย็นชา

บางคนก็มองพวกเขาขณะที่นั่งไขว้ขาลงช้าๆ และ เรื่มให้อาหารเมล็ดจิตวิญญาณในมือของพวกเขาด้วยแรงดันวิญญาณ

” คนพวกนี้ช่างเลือดเย็นจริงๆ!!! “

‘ชูเฟิง’ส่ายหัว และเดินมาที่หนาของคนๆนั้นและหยิบเครื่องรางขึ้นมา แต่ไม่ได้ส่งเขากลับไป เขาแบกคนคนนั้นขึ้นบนหลังของเขาตอนนั้นหลายคนสับสน แม้แต่คนที่ไม่รู้จักกันยังร้องกระซิบราวกับว่าคัดค้าน ทำไมเขาถึงไม่ใช้เครื่องรางช่วยชีวิตเขาเอาไว้ล่ะ

หลังจากที่ ‘ชูเฟิง’อุ้มเขาขึ้นมาบนหลังเขาก็เดินมาถึงทางเข้าที่สร้างด้วยอำนาจพลังวิญญาณ และยัดเครื่องราง เข้าไปในถุงจักรวาลเขา เขาก็’ชูเฟิง’คิดจะช่วยหรือไม่ช่วยเขากันแน่เขานั้นทำเพื่อช่วยคนๆนั้นจริงๆ เขาไม่ได้ทำลายเครื่องรางของคนคนนั้นเพราะไม่อยากให้เขาต้องสอบตก

และ ต้องการให้เขานั้นปลอดภัย และยังสามารถสำเร็จในการสอบตอนแรกของเขา’ชูเฟิง’ โยนคนๆนั้นออกไป ตอนนั้น ‘ชูเฟิง’มองเห็นสายตาของคนคนนั้น ที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง และเขายังได้รับคำชื่นชมจากคนรอบข้าง

เพราการที่เขาอยู่ภายในนี้ก็ลำบากอยู่แล้วอีกทั้งยังต้องมาแบกคนขึ้นหลัง หากเป็นคนส่วนใหญ่คงไม่มีใครทำเช่นนั้น

” โอ้ เจ้านี่ช่างเป็นคนที่มีความเมตตาซะจริง !!! “

ในตอนนั้น ก็มีออร่าแปลกๆและเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของ ‘ชูเฟิง’

 

อีกไม่กี่ตอน ก็ตีกันชัวร์ อีแบบนี้ !!!

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments