ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“หลานหนิงเอ๋อช่างงดงามและสง่างามยิ่งนัก ข้าใคร่สงสัยว่าตอนนี้นางอยู่ในระดับอะไรแล้วงั้นรึ?”
‘เนี่ยไฮ้’ถามขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่า’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’เพิ่งจะจัดการกับ’เสิ่นเฟย’ไป นี่เป็นสาเหตุที่เขาถามคำถามแบบนี้
ผู้นำตระกูลต่างๆยังคงรอบๆนั้น แม้ว่าพวกเขากำลังพบปะพูดคุยอยู่กับ’เนี่ยอิง’และพรรคพวกอยู่ พวกเขาก็ยังคงแอบฟังการสนทนาระหว่าง’เซี่ยวหยุนฟาง’กับ’เนี่ยไฮ้’อยู่ด้วยเช่นกัน‘เซี่ยวหยุนฟาง’มอง’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ด้วยสายตาที่อบอุ่น จากนั้นจึงยิ้มออกมาและพูดว่า
“บุตรสาวข้าอยู่ในระดับโกลด์ 2 ดาวและกำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับโกลด์ 3 ดาวในเร็วๆนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดของ’เซี่ยวหยุนฟาง’ พวกผู้นำตระกูลก็แอบตะลึงอยู่ในใจ แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินข่าวลือมาบ้างแต่เมื่อทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ทำให้พวกเขาแทบช็อค เธออยู่ในระดับโกลด์ 2 ดาวทั้งๆที่เธออายุเพียงเท่านี้ เธออยู่ไม่ต่ำกว่าอันดับสามของนักสู้รุ่นเยาว์แน่ๆ!
คิ้วของ’เนี่ยไฮ้’ ขมวดเข้ามา ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’สามารถกลายมาเป็นภรรยาที่ดีของ’เนี่ยหลี่’ได้แน่นอน ถ้าเขาไม่อาจจะได้บุตรีของท่านเจ้าเมืองมาครองคู่ ถ้าได้แต่งกับ’เซ่ยวหนิงเอ๋อ’ก็คงไม่เลวนัก ยิ่งไปกว่านั้น’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’เองก็มีกิริยาที่อ่อนช้อยงดงาม ไม่ได้เป็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการจากได้มองดู
‘เนี่ยไฮ้’ยังคงวางแผนที่จะหาภรรยาให้’เนี่ยหลี่’ เขายักไหล่แล้วพูดออกมาว่า
“เนี่ยหลี่ชอบสร้างปัญหามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากหลานหนิงเอ๋อเป็นเพื่อนของเขา ช่วยดูแลเขาด้วยหล่ะ ถ้าเจ้ามีเวลา เจ้าสามารถมาเยี่ยมเยียนพวกเราตระกูลบันทึกสวรรค์ได้ทุกเมื่อ!”
‘เนี่ยไฮ้’ไม่ได้เป็นคนเหนี่ยวไกปืนซะหน่อย แต่เป็นเพราะ’เนี่ยหลี่’ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยสักนิด
มีหรือที่’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’จะไม่เข้าใจสิ่งที่’เนี่ยไฮ้’ต้องการจะสื่อ? แก้มของเธอถึงกับร้อนผ่าวเพราะความเขินอาย แต่เธอก็ยังคงตอบกลับไปว่า
“ขอบคุณค่ะท่านลุง ข้าจะไปเยี่ยมเยียนพวกท่านอย่างแน่นอน”
‘เซี่ยวหยุนฟาง’ ‘เนี่ยไฮ้’และผู้นำตระกูลคนอื่นๆเริ่มพูดคุยสนทนากัน แม้ว่าตระกูลบันทึกสววรค์จะเป็นเพียงตระกูลขุนนางเล็กๆ แต่หาได้มีคนรังเกียจตระกูลบันทึกสวรรค์แต่อย่างใด
ณ ที่นั่งที่อยู่ด้านบน
‘เอี้ยซิ่ว’มองไปที่’เนี่ยหลี่’และพูดออกมาอย่างยิ้มแย้ม
“เนี่ยหลี่ ข้าอยากจะให้เจ้าเป็นประธานในการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
ด้วยความจริงที่ว่า การกรีฑาทัพของสัตว์อสูรที่ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ด้วยชื่อเสียง’เนี่ยหลี่’ต่างก็เป็นที่จับตามองของเหล่าผู้นำตระกูลต่างๆ พวกเขาต่างก็ต้องประเมินค่าในตัวของ’เนี่ยหลี่’ซะใหม่แล้วในตอนนี้ แน่นอนรวมถึงฐานะของเขาด้วยเช่นกัน
‘เนี่ยหลี่’มองไปที่’เอี้ยซิ่ว’ เขาต้องมีเจตนาที่จะทำอะไรบางอย่างแน่ๆ เขาจึงหยักหน้าและพูดว่า“คงไม่เสี่ยงเกินไปที่จะให้ข้าเป็นประธานในงานนี้หรอกนะ!”
‘เอี้ยซิ่ว’เผยรอยยิ้มออกมา ด้วยโอกาสครั้งใหญ่เช่นนี้ ต่อหน้าจำนวนยอดฝีมือห้า ถึง หกพันคนจากตระกูลต่างๆในตอนนี้’เนี่ยหลี่’ไม่มีท่าทีที่จะแสดงออกถึงความกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อได้คิดทบทวนอีกครั้ง มันไม่แปลกเลย เพราะ’เนี่ยหลี่’นั้นไม่ใช่เพียงเด็กธรรมดาทั่วไป
ทั่วทั้งบริเวณต่างก็เต็มไปด้วยเสียงของผู้คน ยอดฝีมือจากตระกูลต่างๆ ต่างก็กำลังพบปะพูดคุยกันกับคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ‘เนี่ยหลี่’ ‘เอี้ยซิ่ว’และ’เอี้ยโช่ว’ยังไม่ทีท่าว่าจะกล่าวเริ่มงานเลี้ยงเลย พวกเขาได้แต่อดทนรอจนกว่าเหล่ายอดฝีมือนั้นจะพูดคุยกันเสร็จ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการยื้อเวลาเอาไว้ เพื่อให้’เอี้ยเซิ่ง’จัดการกับภารกิจของตนเอง
ทางฝั่ง’เอี้ยเซิ่ง’ได้เตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม เขาได้พายอดฝีมือจากตระกูลวายุเหมันต์มาจนถึงที่หมายคือตระกูลศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่คนจากตระกูลศักดิ์สิทธิ์ได้เดินทางไปยังตำหนักเจ้าเมือง เขาจึงเริ่มแผนการเพียงแต่ไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรรออยู่
ณ ที่พักของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ คนของตระกูลศักดิ์สิทธิ์เพียงดื่มเหล้าด้วยกันเอง พวกเขาดูแล้วช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก
ตั้งแต่ที่ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ถูกกำราบโดยตระกูลวายุเหมันต์ ผู้นำตระกูลต่างๆทำเพียงแค่มองดูอยู่ห่างๆ พวกเขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือพูดคุยกับ’เสิ่นฮอง’ถ้าพวกเขาเข้าไปนั่นก็หมายถึงการต่อต้านตระกูลวายุเหมันต์หรอกหรือ? อีกทั้งเมื่อก่อนตระกูลศักดิ์สิทธิ์ยังกดขี่ขมเห่งมาแล้วหลายครั้ง มันจะเป็นการดีกว่าที่ตระกูลต่างๆไปซ้ำเติมพวกเขา พวกเขาจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไงกันนะ?
อย่างไรก็ตามมีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย และนั่นก็คือ ‘ฮูเหยียนชาง’ จากตระกูลฮูเหยียน
‘ฮูเหยียนชาง’ ถือจอกเหล้าเอาไว้และหัวเราะออกมา“พี่เสิ่น นานแล้วที่พวกเราไม่ได้ดื่มด้วยกัน ม่ะ..ก่อนที่ท่านเอี้ยเซิ่งประธานงานนี้จะมา เรามาดื่มด้วยกันเถอะ…ดื่ม!”
“น้องฮูเหยียน เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
‘เสิ่นฮอง’มีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เขาก็ยกจอกเหล้าขึ้นมา
“เหล้าชั้นดี อีกสักจอกจะเป็นไรไป? พวกเจ้า ไปเอามาเพิ่มให้พี่เสิ่นอีก!”
‘ฮูเหยียนชาง’หัวเราะออกมา
ทั้งๆที่ตระกูลวายุเหมันต์กำราบตระกูลศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผู้นำตระกูลต่างๆกลัวที่จะผิดใจกับตระกูลวายุเหมันต์หากไปยุ่งกับพวกเขา มีเพียง’ฮูเหยียนชาง’ที่ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น ใครเล่าจะไม่รู้ว่าตระกูลฮูเหยียนนั้นเป็นถึงมือขวาของตระกูลวายุเหมันต์ เรื่องความจงรักภักดีนะหรือ? ตระกูลวายุเหมันต์ไม่เคยสงสัยตระกูลฮูเหยียนที่ไปมีความสัมพันธ์กับตระกูลศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย
ระหว่างการแลกจอกกับ’ฮูเหยียนชาง’ จากเหตุการณ์นี้เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้น เขาเริ่มเอะใจอะไรบางอย่างได้จากงานนี้ครั้งนี้ แต่เขาไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้
มีคำถามที่กวนใจเสิ่นฮองอย่างมากมาตลอด คือ ‘เอี้ยเซิ่ง’ตายแล้วใช่มั้ย? ถ้า’เอี้ยซ่ง’ตาย หากเป็นดังนั้นงานเลี้ยงนี้ก็เป็นการคัดเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่เป็นแน่ ตระกูลวายุเหมันต์ไม่อาจจะหาคนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้ได้ หาก’เอี้ยเซิ่ง’ไม่ตาย งานเลี้ยงนี้อาจจะใช้เป็นที่ในการจัดการตระกูลศํกดิ์สิทธิ์ก็ได้
ด้วยยอดฝีมือจากของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่นี่ ถ้าตระกูลวายุเหมันต์ต้องการที่จะกำจัดตระกูลศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะก็ ‘เอี้ยเซิ่ง’จะต้องปรากฎตัวอย่างแน่นอน แต่นี่’เอี้ยเซิ่ง’กลับไม่ได้มาปรากฎตัวเลย หรือจะเป็นดั่งที่’เอี้ยฮั่น’ได้บอกมา เขาถูกพิษของหญ้าลิ้นมังกรจนตายไปแล้ว
ถึงอย่างนั้น ทำไม’ฮูเหยียนชาง’ถึงไม่ได้แสดงความเศร้าบนใบหน้าออกมาเลยล่ะ? อาจจะเป็นเพราะ’ฮูเหยียนชาง’ยังไม่รู้ข่าวการตายของ’เอี้ยเซิ่ง’เป็นแน่!
“ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าพวกเจ้าวางแผนอะไรเอาไว้!”
‘เสิ่นฮอง’พูดกับตัวเอง เขาสูดลมหายใจเข้าไปและทำทีท่าที่จะดื่มเหล้าทั้งไหต่อไปเรื่อยๆ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ความมืดเข้าปกคลุมพื้นดินจนหมด
หลายพื้นที่ในเมืองกลอรี่ เงียบสงัด แต่ตำหนักเจ้าเมืองยังคงสว่างอยู่
ณ ตำหนักของเจ้าเมือง ในขณะนี้ทั้งบริเวณพื้นที่ที่จัดงานและบริเวณอื่นต่างมีทหารเฝ้ารักษาการณ์หนาแน่น ทหารทั้งหมดล้วนสวมชุดเกราะและอาวุธเต็มอัตราศึก ไอเย็นที่ถูกปล่อยออกมาจากตราประทับของพวกเขา มีทั้งหน้าไม้ หอก และโล่ขนาดใหญ่ที่อยู่บนกำแพงของตำหนักเจ้าเมือง เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
ณ ที่ทางเข้าตำหนักเจ้าเมือง มีชายสวมชุดคลุมสีเทาวิ่งอย่างเร่งรีบเข้ามา ซึ่งสามารถเห็นสีหน้าเขาดูกระวนกระวายได้อย่างชัดเจนแต่ก็ถูกขวางไว้เพราะทหารคุ้มกันหลายคน
“ข้าต้องไปหาท่านผู้หนึ่งในนั้น!”
“ที่นี่เป็นถึงตำหนักของท่านเจ้าเมือง คนที่ไม่ได้แสดงตัว ไม่อนุญาตให้ผ่านไปได้!”
ทหารคุ้มกันตะคอกใส่อย่างเย็นชาและท่าทางที่เคร่งขรึม
“ถ้าต้องไปพบกับท่านผู้นำตระกูลของข้า”
ชายคนนั้นกล่าวออกมา
“แล้วเจ้ามาจากตระกูลไหนกัน?”
ชายคนนั้นสายตาลอกแล่กมีพิรุธและพูดอย่างกระวนกระวายว่า
“ตระกูลฮูเหยียน!”
เหล่าทหารคุ้มกันต่างมองหน้ากัน เมื่อมองกันและกันแล้วก็พูดออกมา
“ตามพวกเรามา พวกเราจะพาเจ้าไปพบผู้นำตระกูลของเจ้าเอง!”
“ขอบคุณท่านมาก นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆ”
ชายคนนั้นกล่าว เพื่อเป็นการติดสินบนพวกเขาจึงได้มอบเงินหลายจิตเหรียญมารให้กับสองคนในกลุ่มทหารนั้น
ทหารทั้งสองคนนั้นรับมาโดยไม่กระพริบตาและพูดอย่างสงบเงียบ
“ตามพวกเรามา”
“ได้ๆ”
ชายคนนั้นหัวเราะออกมา และตามหลังทหารคุ้มกันทั้งสองไป
ทหารทั้งสองพาชายชุดคลุมสีเทามาเรื่อย อ้อมผ่านทางเดินยาวและกำลังเข้าไปในลานที่ดำมืดเล็กๆแห่งหนึ่ง“พวกท่านพาข้ามาที่ไหนกันแน่? นี่มันไม่เหมือนเป็นทางที่จะไปงานเลี้ยงที่บริเวณจัดงานเลยนี่”
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดเสร็จ ทหารคนหนึ่งก็ปิดปากเขาเอาไว้และอีกคนก็แทงดาบเข้าไปที่ท้องของชายคนนั้น ชายคนนั้นคัดขืน และพยายามที่จะส่งเสียงร้องออกไปแต่สายตาของเขาก็ค่อยๆมืดลงจนกระทั้งหยุดหายใจไป
“หึ พวกกบฎอย่างตระกูลศักดิ์สิทธิ์สมควรตายอยู่แล้ว! เจ้าคิดว่าจะอ้างตัวเป็นคนจากตระกูลฮูเหยียน คิดว่าพวกเราจะจำเจ้าไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
“ไร้สาระ ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาของคนในตระกูลศักดิ์สิทธิ์พวกเราล้วนแต่จำได้หมดแล้วทั้งสิ้น!”
ทหารทั้งสองคนนั้นค้นศพของชายคนนั้นแต่ก็ไม่พบอะไร ชายคนนี้เพียงแค่มาส่งข่าวเท่านั้น ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าเมืองได้ออกคำสั่งเอาไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้า-ออกตำหนักเจ้าเมืองโดยเด็ดขาด หากคนของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ถูกพบว่ากำลังจะเข้าหรือออกจากงานเลี้ยงฆ่าได้ทันที!
คำคื่นมีแต่ความมืดมิด หมอกในยามคำคื่นเห็นแล้วก็สัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟัน
ณ บริเวณลานจัดงานเลี้ยงของตำหนักเจ้าเมืองยังคงมีแต่เสียงดังกึกก้องอยู่ เสียงเหล่านั้นดังไปทั่วทั้งบริเวณ
หลังจากที่ ‘ฮูเหยียนชาง’และ’เสิ่นฮอง’ดื่มไปสิบกว่าจอก ‘ฮูเหยียนชาง’จู่ก็หัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะของเขาแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณของเขาเอาไว้ เขาปาจอกเหล้าลงไปที่พื้น จอกเหล้าก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆทันที
เสียงทุกอย่างก็เงียบลงทันที ยอดฝีมือจากตระกูลศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ตื่นตระหนก พวกเขาทั้งหมดและหยิบเอาอาวุธออกมาจากแหวนของพวกเขา ทันใดนั้นแสงสะท้อนจากดาบของพวกเขาที่ปรากฎออกมา ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนมาเป็นน่าวิตกทันที ก่อนหน้าที่จะมาที่งานเลี้ยง ‘เสิ่นฮอง’ได้บอกพวกเขาเอาไว้ว่าให้ระวังตัวเอาไว้ให้มากๆหลังจากที่เข้ามาในตำหนักของเจ้าเมือง ตระกูลวายุเหมันต์อาจจะกำจัดพวกเขาก็เป็นได้
ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว เมื่อพวกเขาถูกจับพิรุธได้โดย ‘ฮูเหยียนชาง’ พวกเขาคิดว่าที่เขาทำไปนั่นเป็นการให้สัญญาณกับตระกูลวายุเหมันต์
ยอดฝีมือจากตระกูลต่างๆมองไปยังคนของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนล้วนตื่นตกใจกันหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคนของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ถึงหยิบเอาอาวุธออกมาเช่นนี้ได้? รอยยิ้มแห้งๆเผยออกมาบนใบหน้าของเหล่ายอดฝีมือจากตระกูลต่างๆ
บรรยากาศภายในลานจัดงานเลี้ยงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
‘ฮูเหยียนชาง’นั้นคิดไม่ถึงและหัวเราะออกมา
“ท่านนี่คอแข็งจริงๆนะ ท่านพี่เสิ่น นับถือ,นับถือ!”
‘ฮูเหยียนชาง’มองดูแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สายตาของเขาจ้องไปทางเหล่ายอดฝีมือของตระกูลศักดิ์สิทธิ์และพูดขณที่ยังเบลอๆว่า
“โอ้ พี่เสิ่น นี่มันหมายความว่ายังไงกัน…พวกท่านถึงเอาอาวุธหยิบออกมาทำไมกัน?”
‘ฮูเหยียนชาง’กำลังหลอกล่อพวกเขา ‘เสิ่นฮอง’รู้สึกโกรธแค้น เขากวาดสายตามองไปยังเหล่ายอดฝีมือของตระกูลศักดิ์สิทธิ์และถอนหายใจออกมา
“พวกเจ้าจะทำอะไร? ดึงเอาอาวุธออกมาทำไมกัน? ที่นี่เป็นถึงตำหนักของท่านเจ้าเมือง และนี่ก็ยังเป็นงานเลี้ยงของท่านเจ้าเมือง พวกเจ้าจะสร้างความวุ่นวายอย่างนั้นรึ?!”
ยอดฝีมือเหล่านั้นจึงเก็บอาวุธและนั่งลง
‘ฮูเหยียนชาง’หัวเราะและพูดออกมาว่า
“ข้าล่ะกลัวคนจากตระกูลศักดิ์สิทธิ์ของท่านยิ่งนัก พวกเขาเอาอาวุธมางานเลี้ยงนี้ทำไมกัน? พวกเขาคงไม่คิดว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะก่อการกบฎหรอกนะ! ตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะก่อกบฎได้ยังไงกัน? นี่มันเป็นเรื่องตลกที่สุดในโลกเลยนะเนี่ย! ตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะได้ประโยชน์อะไรจากการก่อกบฎกันเล่า?”
จบตอน
ที่มา :