I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 286 ชะตาสวรรค์

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

เมื่อ’เนี่ยลี่’และพวกของเขากำลังจะออกไป มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา

‘เนี่ยลี่’หรี่ตามอง คลื่นมักจะมาหลังจากที่ลมฟ้ากำลังสงบ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหาความสงบไม่ได้เลย

หัวหน้ากลุ่ม เป็นญาติของ’กู้เบ่ย’ ที่ชื่อว่า ‘กู้เฮง’ เดินเข้ามาหา’เนี่ยลี่’

“เจ้าคงเป็นเนี่ยลี่สินะ!”

ใบหน้าของ’กู้เฮง’ ยิ้มอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

“ได้อยู่ในอันดับสามของศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง ทั้ง ๆที่เป็นแค่เด็กใหม่ กลับก้าวขึ้นไปเหนือกว่า หลงยู่อิน เจ้าช่างน่ายำเกรงยิ่งนัก ข้าคือกู้เฮง จากตระกูล กู้”

หลังจากู้เฮงพูดจบ ‘เนี่ยลี่’ เหลือบตามองกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง’กู้เฮง’ พร้อมกับหรี่ตาเล็กน้อย

“ข้าสงสัยจริงเชียวว่า คนที่มีคนสนับสนุนมากมายเช่นเจ้า ตามหาข้าทำไม”

‘เนี่ยลี่’ไม่เคยได้ยินชื่อของ’กู้เฮง’มาก่อน ในชีวิตที่แล้วของเขา คนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลกู้ ก็คือ ‘กู้เบ่ย’

คนที่ยืนอยู่ด้านหลังตะโกนออกมาด้วยความภูมิใจว่า

“นายน้อยของพวกเรา เป็นผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง ที่อยู่บนเส้นทางความสำเร็จของ ของตระกูลกู้”

ทายาทอันดับหนึ่งงั้นเหรอ? แต่ท้ายที่สุด เขาก็ต้องพลาดหวัง ในการสืบทอดตระกูลกู้ ‘เนี่ยลี่’ยิ้มที่มุมปาก ในขณะที่จ้องมองดวงตาอัน หยิ่งยโส ของชายหนุ่มผู้นี้ ดูเหมือนว่า’กู้เฮง’ผู้นี้ จะมองว่า ‘กู้เบ่ย’ เป็นเสี้ยนหนามสินะ

‘กู้เฮง’โบกมือของเขา ส่งสัญญาณให้พวกลูกน้องของเขาเงียบ เขายิ้มเล็กน้อย พร้อมกับพูดว่า

“จุดประสงค์ในการมาของของข้าก็คือ ต้องการทำความรู้จักกับอัจฉริยะเช่นเจ้า”

‘ลู่เพียว’ ตบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ทำความรู้จักงั้นเหรอ? ข้ายินดีเป็นสหายของเจ้า ตอนนี้พวกเราก็เป็นสหายกันแล้วนะ!”

‘กู้เฮง’ถึงกับหยุดชะงัก หรือว่าเจ้า’ลู่เพียว’คนนี้ จะไม่เข้าใจเจตนาที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของเขา หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจกันแน่?

‘เนี่ยลี่’แอบขำอยู่ในใจ ‘ลู่เพียว’ทำท่าราวกับคนไม่ไม่เต็มบาตร แต่เขาก็รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่

‘เนี่ยลี่ยิ้ม’ พร้อมกับพูดว่า

“ข้าก็ตั้งใจเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าหากน้อยน้อยกู้ ต้องการที่จะเป็นสหายข้า ข้าเองก็ยินดี นับจากนี้ไป พวกเราก็ถือว่าเป็นสหายกันแล้ว”

‘กู้เฮง’ทำสีหน้าเย็นชา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตบไหล่’เนี่ยลี่’พร้อมกับพูดว่า

“ข้าชอบนิสัยของเจ้า ถ้าหากเจ้าพอมีเวลา ก็เชิญแวะมาเยี่ยมชมตระกูลกู้ได้ พวกเราตระกูลกู้ คงจะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับอัจฉริยะเช่นเจ้า!”

‘เนี่ยลี่’พยายามรักษาระยะห่างของเขากับ’กู้เฮง’ พร้อมกับพูดด้วยความเบื่อหน่ายว่า

“พวกเรานั้นเพิ่งจะเป็นสหายกัน และทุกคนต่างก็ชื่นชอบ นายน้อยกู้ เพียงแต่ว่าพวกเรานั้นล้วนรักอิสระ การเข้าร่วมกับตระกูลกู้นั้น เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะกับเราเท่าใดนัก”

เมื่อ’เนี่ยลี่’พูดเช่นนั้น ดวงตาของ’กู้เฮง’ก็เป็นประกายด้วยความเย็นชา เขายิ้มแล้วก็พูดว่า

“ด้วยความสามารถขนาดเจ้า เจ้าจะสามารถบรรลุระดับชะตาสวรรค์ ภายในเวลาแค่ครึ่งเดือน ถ้าหากว่าเจ้ามีทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังอย่างเพียงพอ ลองพิจารณาข้อเสนอนี้ให้ดี ประตูของตระกูลกู้พร้อมเปิดรับเจ้าอยู่เสมอ! ”

เมื่อ’กู้เฮง’พูดจบ ก็เดินไปจาก’เนี่ยลี่’และพวกของเขา เมื่อเห็นว่าพวกคนของตระกูลกู้แยกย้ายกันไปแล้ว

‘เนี้ยหลี่’หันหน้าไปมองดู’กู่เฮง’เดินจากไป

มันดูราวกับว่า’กู้เฮง’ ได้รับการดูแลจากตระกูลกู้เป็นอย่างดี ‘ลู่เพียว’ขมวดคิ้วแล้วถามว่า

“เนี่ยลี่ ดูเหมือนว่าเขาจะมาชักชวนให้เราเข้าร่วมกับเขาสินะ?  จากน้ำเสียงของเขาดูแล้วเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก เขาพยายามที่จะชักชวนเรา แต่ก็ยังคงวางตัวให้เหนือกว่า เขาช่างแตกต่างจากกู้เบ่ยยิ่งนัก ความสัมพันธ์ของเขากับกู้เบ่ยเป็นเช่นใดกันนะ?”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องของเขาหรอก”

‘เนี่ยลี่’ยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อไปว่า

“เขาเป็นพวกที่ถือว่าตนเป็นใหญ่ พยายามชักชวนให้เราไปซุกอยู่ใต้ปีกของเขา แถมยังไม่รู้ตัวเองเสียด้วยซ้ำว่ามีความสามารถแค่ไหน เขาอาจจะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลกู้ก็จริง แต่จริง ๆ แล้วเขาก็มิได้มีอำนาจอะไรเลยในตระกูลกู้ แต่เขากลับคิดว่าตัวเองครอบครองตระกูลกู้เรียบร้อยแล้ว!”

‘เซี่ยวหยู่’ที่ยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่แรก หลังจากที่ครุ่นคิดดีแล้ว สุดท้ายเขาก็พูดกับ’เนี่ยลี่’ว่า

“เนี่ยลี่ เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ตอนนี้เจ้าได้แสดงความสามารถที่น่าทึ่ง จนมีรายชื่ออยู่บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
พวกตระกูลใหญ่ ๆ ย่อมต้องจับตามองเจ้าเป็นแน่ ”

“ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย  เราควรจะหาคนที่ปล่อยข่าวว่า
พวกเราจะพิจารณาเข้าร่วมกับตระกูล หลังจากที่ผ่านการฝึกในสถาบันวิญญาณฟ้าแล้ว!”
เนี่ยลี่พูดต่ออีกว่า

“จะเป็นการดีถ้าหากเราหาทางประวิงเวลาเอาไว้ก่อน  เราจะคุยเรื่องนี้ในภายหลัง หลังจากที่การฝึกเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนหน้าที่การฝึกของพวกเราจะเสร็จสิ้น ตระกูลต่าง ๆ ก็จะไม่มาวุ่นวายกับเราจนเกินพอดี เพราะจะเป็นการเสี่ยงที่จะผลักดันให้เราไปเข้ากับตระกูลอื่น”

‘เซี่ยวหยู่’พยักหน้าหลังจากที่ได้ใตร่ตรองดู

“เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก”

‘กู้เฮง’ยืนห่างออกไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

 “ไอ้คนสารเลวอวดดีนั่น มันคิดจริง ๆเหรอว่า ข้าต้องการเป็นสหายพวกมัน? พวกมันมีอะไรที่คู่ควรที่จะเป็นสหายของข้า?”

‘กู้เฮง’หัวเราะอย่างเย็นชา มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่านี่คือการปฏิเสธจาก’เนี่ยลี่’

“คนที่ข้าจะถือว่าเป็นสหาย ก็คือคนที่ยกย่องข้า และให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีกับข้าเพียงเท่านั้น คนที่ต่อต้านข้าก็ถือว่าไม่คู่ควรที่จะเป็นสหายของข้า!”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขากล่าวสนับสนุนว่า

“จริงๆแล้ว เจ้าสามคนนั่นควรจะสำนึกในความมีน้ำใจของนายน้อย!”

‘กู้เฮง’สาปแช่งด้วยความโมโห

“มีความสามารถมากแล้วมันเป็นไงเหรอ? สุดท้าย พวกคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ ก็ต้องเข้าร่วมกับตระกูลใด ตระกูลหนึ่งอยู่ดี มันเป็นไม่ได้อย่างแน่นอนว่า ที่คนเพียงคนเดียวจะสามารถสั่นคลอนตระกูลอื่นได้   พวกเราตระกูลกู้สามารถชี้เป็นชี้ตายพวกมันได้  ถ้าหากไม่มีกฏของสถาบันวิญญาณฟ้าหล่ะก็ พวกมันก็คงจะตายไปแล้ว!”

การต่อสู้ชิงอำนาจของตระกูลต่าง ๆ ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มีความรุนแรงมากเกินไป ดังนั้น’กู้เฮง’จึงไม่กล้าที่จะทำอะไรมากเกินไป
เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเพิ่มขุมกำลังให้กับตระกูลอื่นๆ

ดวงตาของ’กู้เฮง’นั้นเป็นประกายด้วยความเย็นชา

“นับตั้งแต่ที่เจ้าแข็งขืนไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้า  เจ้าก็คงทำได้เพียงแค่ฝันที่จะ บรรลุจนถึงระดับ ดาราสวรรค์ ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้า”

ในอาณาจักรซากมังกรนี้ การบ่มเพาะพลังเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งนัก อย่างแรกต้องออกไปทำการฝึกฝน และรับศิลาจิตวิญญาณของตนเอง สถาบันวิญญาณฟ้านั้นไม่สามารถที่จะมอบทรัพยากรที่เพียงพอในการบ่มเพาะพลัง แต่การที่จะไปในสถานที่ต่าง ๆใน อาณาจักรซากมังกรแล้ว หมายถึงการไปยังสถานที่อันตรายและมีการตายเกิดขึ้นได้เสมอ

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อนักเรียนคนหนึ่งบรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ พวกเขาจะวางชะตาวิญญาณดวงแรกไว้ที่ห้องโถงวิญญาณ พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลวิญญาณของเขาจะแตกสลาย แต่อย่างไรก็ตาม

ทุกครั้งที่ตายไป พวกเขาต้องใช้ระดับในการบ่มเพาะพลังเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ดังนั้นการที่จะพยายามเลื่อนระดับให้สูงขึ้น โดยปราศจากการช่วยเหลือของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

เมื่อพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์แล้ว และได้รับทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังอย่างเพียงพอ พวกเขาก็จะเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้รวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรทุกๆระดับที่เพิ่มขึ้น

ก็จะสิ้นเปลืองทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะพลังมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีผู้เยี่ยมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะพลัง ที่มีอยู่อย่างจำกัด ในหมู่พวกเขาแล้วมีการตายเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เมื่อถึงจุดนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับตระกูลที่ต้องการจะควบคุมการบ่มเพาะพลังของใครสักคน

โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด เนี่ยกลับบอกปฏิเสธ นั่นทำให้ ‘กู้เฮง’โกรธเป็นอันมาก เรื่องนั้นทำให้กู้เฮง ไม่อาจที่จะลดความขุ่นเคือง
ที่เกิดจาก’เนี่ยลี่’ได้เลยแม้แต่น้อย

ในหุบเขาลึกของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์  มีกระท่อมที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้และพืชนานาพันธุ์ เป็นสวนที่เต็มไปด้วยความสงบสุข! ทัศนียภาพที่สวยงามดังกล่าว แลดูแล้วน่าประทับใจยิ่งนัก!

พอมองแล้วก็เต็มไปด้วยความลึกลับ แสงเรืองรองเป็นประกายหลายชั้นวนรอบๆกระท่อมฟางแห่งนี้

ภายในกระท่อม มีหญิงสาวแสนงดงามนั่งอยู่เงียบๆ พร้อมกับอุปกรณ์ลึกลับหกชิ้นวนอยู่รอบ ๆตัวนาง บอลแต่ละลูกหมุนวนราวกับดวงดารา อุปกรณ์แต่ละรูปแบบปลดปล่อยพลังงานลึกลับ สั่นสะเทือนอยู่โดยรอบ

หญิงสาวคนนี้ก็คือ ‘อิงเยว่ลู่’

ดวงตาทั้งสองข้างของนางปิดอยู่และกำลังขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่านางกำลังจมดิ่งอยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง

หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง นางก็ลืมตาขึ้นมา

‘อิงเยว่ลู่’ ดูราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้

“เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเช่นนี้เอง! ไม่แปลกใจเลยว่าข้าถึงได้รู้สึกคุ้นเคยยิ่งนักเวลาที่มองเขา”

นางยิ้มเล็กน้อยแล้วก็พูดพึมพัมกับตัวเอง

“หนังสือจิตอสูรท่องเวลาช่างเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถย้อนกลับไปได้ทั้งเวลาและสถานที่ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจที่จะท้าทายสวรรค์และเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองได้  เมื่อหันกลับไปมองแล้วเจ้าก็จะไม่เหลืออะไรเลย เมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่ระดับ แก่นแท้แห่งสวรรค์ จักรพรรดิปราชญ์ก็จะค่อยๆสัมผัสถึงการคงอยู่ของเจ้า สิ่งที่ข้าทำได้ในตอนนี้ คือเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้า เมื่อจักรพรรดิปราชญ์ได้ทำนายชะตาชีวิตของเขาในช่วงเวลานี้ คนที่มันจะหาพบก็คือข้าไม่ใช่เจ้า อาจารย์ของเจ้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ ถ้าเป็นไปได้เจ้าก็จงอย่าได้ท้าทายสวรรค์ และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง ทุกอย่างมันก็แล้วแต่ตัวเจ้า”

‘อิงเยว่ลู่’ จ้องมองไปยังพื้นที่ที่ห่างไกล

“แม่ของข้าเป็นเพียงมนุษย์ แต่สายเลือดเทพอสูรยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายของข้า  ชีวิตของข้านั้นถูกลิขิตมามากจนเกินไปแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป พร้อมกับคำสั่งสอนและความคาดหวังของข้า”

ราวกับว่านางเป็นเทพธิดาที่ลงมาโปรดในดินแดนของมนุษย์ ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่นที่ทำให้นางแปดเปื้อน สายตาที่อ่อนโยนของนางนั้นแจ่มชัดดุจดั่งกับสายน้ำ

นางเป็นผู้หญิงที่เยือกเย็นและสงบราวกับดวงจันทร์

นับตั้งแต่ที่นางเกิด นางรับรู้ได้ถึงโชคชะตา นางต้องคอยทำนายให้กับผู้คนจำนวนมาก จากมุมมองของนางนั้น ชีวิตและความตายนั้นเป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้ใส่ใจในการดูแลชีวิตของนางเอง และความตายสำหรับนางนั้นก็ไม่ได้มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย  นางยังคงทำการคำนวนชะตากรรมให้กับ’เนี่ยลี่’ต่อ และนางเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในลานฝึกของ’อาจารย์ชิหลิง’ นักเรียนส่วนใหญ่มานั่งรออยู่แล้ว และรอให้’อาจารย์ชิหลิง’มาถึง

‘เนี่ยลี่’และ’ลู่เพียว’ เดินเข้าไปในห้องฝึกและนั่งอยู่ในที่ของตัวเอง

เมื่อพวกนักเรียนเห็น’เนี่ยลี่’และ’ลู่เพียว’เข้ามา ห้องฝึกที่เงียบสงบก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที

“เจ้ารู้ไหม ผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าเนี่ยลี่ ได้เหยียบย่ำหลงยู่อินไว้ใต้เท้าของเขา บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง”

“ชู่วว ลดเสียงของเจ้าลงหน่อย เจ้าไม่กลัวว่าหลงยู่อินจะได้ยินหรือไง?”

“ข้าได้ยินมาว่า หลงยู่อิน ท้าเดิมพันด้วยการลงแส้สามครั้ง นางมั่นใจยิ่งนัก ในตอนที่นางที่ต้องถูกลงแส้สามครั้ง เป็นความอัปยศของนางเสียยิ่งกว่าความตาย ”

ในตอนนี้นักเรียนเกือบทุกคนให้ความสนใจกับเนี่ยลี่และลู่เพียว

‘หลงยู่อิน’นั่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยเครื่องแต่งกายที่กระชับพอดีตัว นางเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในชั้นเรียน เพราะรูปร่างที่น่าประทับใจ รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่ไร้มลทินของนาง ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของนางในตอนนี้ คือการแสดงออกที่น่ากลัวในขณะที่นางกำมือบนหัวเข่าจนแน่น

มีวิธีไหนกันที่นางจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงนินทาเหล่านี้?

แต่บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความพ่ายแพ้ของนาง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในใจของนางก็ยังคงมีทิฐิอยู่มาก

‘หลงยู่อิน’จ้องมอง’เนี่ยลี่’ ตาของนางเป็นประกายเผยให้เห็นถึงจิตวิญญาณในการต่อสู้ ‘นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง มันไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าความสามารถของเจ้านั้นเหนือกว่าข้า ข้าจะต้องหาทางที่จะชนะเจ้าด้วยหนทางอื่น’  แน่นอนว่านางจะไม่ยอมพ่ายแพ้ใครก็ตามที่อายุพอๆ กับตัวเอง

นางได้รับการสั่งสอนจากแม่ของนาง ตลอดเวลาตั้งแต่เด็ก แม่ของนางบอกกับนางเสมอว่า ผู้หญิงจะต้องพึ่งพาตัวเองได้ นางจะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ และผู้ชายทุกคนจะต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง

นับตั้งแต่ที่นางเป็นเด็ก นางก็ได้แสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยม ในตอนนี้ นางเป็นคนที่เจ็ดที่ประสบความสำเร็จของตระกูลผนึกมังกร นั่นเป็นความทรงเกียรติของนาง แต่แค่นั้นมันยังคงไม่พอ นางต้องการที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด

ในตอนนี้ บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง ‘เนี่ยลี่’ ได้จัดการกับนางอย่างเลือดเย็น จนแทบจะทำให้นางเป็นบ้า แต่ถึงอย่างไร
นางก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เพียงแค่นี้แน่

แปลโดย นายมะพร้าว

คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments