I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 294 ถอยกลับมาตั้งหลัก

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของ’เนี่ยหลี่’นับว่ารวดเร็วมาก

ในชาติก่อน ‘เนี่ยหลี่’ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีก่อนจะมาถึงชั้นชะตาสวรรค์ได้ ทว่าคราวนี้ เขาใช้เวลาเพียงปีเดียว….หรือเกือบสอง
เพื่อมาถึงปากทางเข้าชั้นชะตาสวรรค์ ยิ่งเขาปีนขึ้นสูง ความเร็วในการบ่มเพาะยิ่งลดลง

ทว่า ตอนนี้เขายังอ่อนแออยู่ เขาไม่สามารถควบคุมชะตาชีวิตตัวเองได้ด้วยซ้ำ

‘เนี่ยหลี่’ถูกกดดันด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน ความพยายามและพรสวรรค์ล้วนไร้ประโยชน์เมื่อมาถึงอาณาจักรซากมังกร เขายังต้องการทรัพยากรใรการฝึกปริมาณมากมาไว้ในมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่นศิลาวิญญาณ

อัจฉริยะที่อยู่ในอาณาจักรชั้นล่างมักจะถูกตระกูลใหญ่เรียกไปแล้วกลายเป็นลูกน้อง คนที่สามารถเติบโตได้เองโดยไม่พึ่งทรัพยากรจากตระกูลใหญ่นับว่ามีน้อยมาก เนี่ยหลี่ไม่ต้องการเข้าร่วมกับตระกูลใด นั่นจะทำให้เส้นทางที่เขาตั้งใจเดินยากขึ้น

ทุกคนรอบตัวรวมทั้งมู่หลงหยี่ไม่สามารถหยุดเขาไม่ให้เก็บรวบรวมทรัพยากรเล่านั้นได้

กับคนของ’ฮัวหลิง’อย่างมากเขาก็แก้ตัวไป ที่เลวร้ายที่สุดคือ’เนี่ยหลี่’ไม่มีทั้งพลังและคนหนุนหลัง ดังนั้น’มู่หลงหยี่’จึงกล้ารังแกเขา

‘มู่หลงหยี่’ค้นหารอบด้านแต่กลับไม่พบ’เนี่ยหลี่’เลย เขาได้แต่ขมวดคิ้ว ‘เนี่ยหลี่’มีวิชาพิเศษที่สามารถทำให้เขาเคลื่อนย้ายไปปรากฎตัวที่อื่นได้ในทันทีงั้นหรือ?

ตอนนี้ คนของ’ฮัวหลิง’ที่ตะโกนขึ้นมาตอนแรก ก็กำลังลอยไปมาค้นหา’เนี่ยหลี่’ แต่ก็ยังไม่เจอร่องรอยเช่นเดียวกัน

เขามอง’มู่หลงหยี่’พลางยิ้มกล่าวว่า

“เด็กน้อยเนี่ยหลี่นั่นสมควรหนีไปแล้ว ศิษย์พี่มู่หลง เขาคงไปได้ไม่ไกล พวกเรายังตามไปทัน”

‘มู่หลงหยี่’พูดพลางยิ้มแบบไม่เต็มปาก เขาเดินไปหาลูกน้องคนนั้น แล้วชกไปที่ท้องด้วยรอยยิ้มเย็น

“ถึงข้าจะไม่ชอบเนี่ยหลี่ แต่พวกเจ้าก็เหมือนกัน ข้าไม่ชอบถูกผู้อื่นใช้งานหรอกนะ”

หลังจากถูก’มู่หลงหยี่’ชกใส่ ลูกน้องคนนั้นก็ตัวงอราวกับกุ้งล้มลงไปกุมท้องร้องอย่างเจ็บปวด

“ท่าน….”

เขาใช้สายตากราดเกรี้ยวมอง’มู่หลงหยี่’ แม้ว่าเขาจะอยู่ชั้นชะตาสวรรค์ 2 ชะตาแล้ว เขาก็ยังห่างไกลจาก’มู่หลงหยี่’นัก

“กล้าจ้องข้าหรือ?”

‘มู่หลงหยี่’ยกเท้าขึ้นเยียบอย่างแรงไปที่ศีรษะลูกน้องคนนั้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา ทำให้หัวของเขาถูกกระแทกเข้ากับพื้นและถูกกดไว้อย่างนั้น

“เจ้าควรจะมีสัมมาคารวะกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เข้าใจหรือไม่?”

“ศิษย์พี่มู่หลง…..ขออภัย”

ในที่สุดลูกน้องคนนั้นพูดออกมา เขารู้สึกราวกับสมองจะระเบิด

“เท่านั้นแหละ”

‘มู่หลงหยี่’แค่นเสียงพลางดึงถุงใส่เกล็ดวิญญาณมากจากเหยื่อ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า

“เจ้าเพิ่งล่าได้เพียงแค่สองพันชิ้น? สวะจริง”

ระหว่างที่พูดนี้ ‘มูหรงยู่’ก็เก็บเกล็ดวิญญาณไป

ยอดฝีมือไร้นามมีโทสะพลุ่งขึ้น แต่ไม่อาจทำอย่างไรได้ เขาทำได้เพียงนอนอยู่บนพื้นใต้ฝ่าเท้าของ’มู่หลงหยี่’ เขาหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความทรมาน

“อา ข้าทำตัวเองอับอายให้ศิษย์พี่เห็นเสียแล้ว ข้ามีเพียงเกล็ดวิญญาณพวกนี้เท่านั้น แต่ขอให้ศิษย์พี่รับมันไป”

‘มู่หลงหยี่’เตะเขาไปอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะ

“ใช่แล้ว ลองทำท่าสุนัขแล้วเห่าสามครั้ง แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

ลูกน้องลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เขารู้สึกได้ว่าน้ำหนักฝ่าเท้าของ’มู่หลงหยี่’เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด เขาก็เปิดปากเห่าสามครั้ง

“โฮ่ง ๆ ๆ”

‘มู่หลงหยี่’หัวเราะ

“ไม่เลวๆ เกือบเหมือนจริงทีเดียว”

แม้ว่า’เนี่ยหลี่’จะอยู่ในร่างไร้ลักษณ์ แต่เขาก็เห็นภาพนี้อย่างชัดเจนทีเดียว ‘มู่หลงหยี่’เป็นตัวชั่วยิ่งกว่า’หลงยู่อิน’ในชาติก่อนเสียอีก โชคดีที่’เนี่ยหลี่’ใช้ร่างไร้ลักษณ์หลบการโจมตีของ’มู่หลงหยี่’ ไม่อย่างอย่างนั้น ผลสุดท้ายของเขาคงแย่กว่าภาพที่เขาเห็นอีก

เมื่อไร้พลัง ย่อมต้องถูกผู้อื่นดูถูกให้อับอาย

‘เนี่ยหลี่’กำหมัดแน่นเข้า ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านซากโบราณ ภายใต้การคุ้มกันจากซากอาคาร เขาค่อยยกเลิกร่างไร้ลักษณ์ จากนั้นจึงเปิดใช้งานวิชาต่อสู้กระแสเทพ เพื่อเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่ออกไปไกล

พริบตานั้น ‘มู่หลงหยี่’จับสัมผัสของเนี่ยหลี่ได้ เขาขมวดคิ้วแค่นเสียง

“ใครจะคิดว่าเจ้าจะหนีได้เร็วขนาดนี้? แต่หากจะหนีจากเงื้อมมือข้ามันไม่ง่ายหรอก”

ขณะที่’มู่หลงหยี่’กำลังจะตามไป พลันเกิดความคิดขึ้นบางอย่าง เขาชะงักแล้วรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฎขึ้นที่มุมปาก

“เมื่อเจ้าเก็บเกล็ดวิญญาณเก่งนัก ข้าจะให้เจ้าเก็บไปก่อน แล้วค่อยจัดการเจ้าหลังจากนั้น”

หากเขาตาม’เนี่ยหลี่’ไปตอนนี้ สิ่งที่เขาจะได้จาก’เนี่ยหลี่’ มีเพียงความสะใจเท่านั้น หากเขาทำร้าย’เนี่ยหลี่’มากไป อาจมีคนออกมาปกป้องเขาก็ได้ใครจะไปรู้ ดังนั้นเขาควรจะรอให้เวลาสุกงอมค่อยปลิดผลประโยชน์มา

‘เนี่ยหลี่’บินไกลหลายร้อยลี้ เมื่อเห็นว่า’มู่หลงหยี่’ไม่ตามมา เขาก็ขมวดคิ้ว ‘มู่หลงหยี่’นั้นแข็งแกร่ง หากเขาต้องการตามล่า ‘เนี่ยหลี่’ย่อมไม่อาจหนีได้ แต่’เนี่ยหลี่’เข้าใจความคิดของ’มู่หลงหยี่’หลังจากที่ใคร่ครวญดู

“คิดจะหาประโยชน์จากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ”

เขาเลือกความตายดีกว่าเสียเกียรติ!

เมื่อ’มู่หลงหยี่’วางแผนจะหาผลประโยชน์จากเขา เขาก็แค่ออกไปจากที่นี่เท่านั้น หากเขายังคงล่าผีร้ายต่อ ก็ย่อมมีโอกาสที่ความเหนื่อยยากของเขาจะเป็นประโยชน์ต่อ’มู่หลงหยี่’

เรื่องมีปัญหาจนต้องถอยขนาดนี้หลังจากเข้ามาในซากโบราณไม่เคยอยู่ในความคิดของ’เนี่ยหลี่’เลย แต่ดูเเหมือนว่าการเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณด้วยการล่าผีร้ายในตอนนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาแล้ว

นอกจาก’มู่หลงหยี่’ ยังมีคนคอยจับตาเขาอีกมาก ต่อให้เขาสามารถรวบรวมเกล็ดวิญญาณได้ คนอื่นอาจมาชิงเขาไปอีก เมื่อตอนเผชิญหน้ากับ’มู่หลงหยี่’ ‘หนานเหมียนเทียนไห่’และ’หวงอวี้’ไม่ปรากฎตัว

ทั้งสองคงไม่ต้องการยื่นมือเข้ามา ตราบใดที่ยังไม่ทำเรื่องที่ออกนอกกรอบของกฎที่ตั้งไว้

ยิ่งไปกว่านั้น คนของ’หู่หยง’และ’ฮัวหลิง’ก็รวมตัวกันอยู่ในซากโบราณ ดังนั้น ในสถานโบราณย่อมไม่ใช่ที่สงบของ’เนี่ยหลี่’อีกแล้ว

อย่างนั้น แล้ว’ลู่เพียว’กับ’เซี่ยวหยู่’เล่า? การตามหาพวกนั้นนับเป็นเรื่องยากเมื่อเทียบกับขนาดของซากโบราณ อย่างน้อยชีวิตของ’ลู่เพียว’กับ’เซี่ยวหยู่’ก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย อย่างมากก็มีปัญหาเล็กน้อย การอยู่ที่นี่นานไปนับว่าเสียเวลา ‘เนี่ยหลี่’จึงเคลื่อนตัวไปที่ทางออก

‘เนี่ยหลี’ก็กลับจากซากโบราณสู่โลกภายนอก

ที่หน้าทางเข้ามีผู้คนจำนวนากรวมตัวกัน ทั้งหมดเหม่อมองไปยัง’เนี่ยหลี่’เพราะไม่คิดว่าเขาจะออกมาเร็วขนาดนี้

 “พวกเจ้ารู้รือยัง? เด็กเนี่ยหลี่นั่นเพิ่งเข้าไปล่าในซากโบราณแห่งความสะพรึง แต่ถูกมู่หลงหยี่โค่น แถมยังโดนขโมยเกล็ดวิญญาณไปอีก”

“อย่างน้อยเขาก็ฉลาด เขารู้ว่าต้องถูกโจมตีอีกถ้ายังอยู่ในซากโบราณ”

“เขาผิดเองนะ เขาไปล่วงเกินคนไปไม่น้อยเลย”

“มู่หลงหยี่เป็นอัจฉริยะจากปีก่อน เนี่ยหลี่คงอยากตายที่ไปยั่วยุเขาเข้า”

มีกี่คนไม่รู้ที่ยินดีเมื่อ’เนี่ยหลี่’พบปัญหาในสถานโบราณแห่งความสะพรึง ด้วยการแสดงออกถึงพรสวรรค์อันสูงส่ง เด็กหลายคนมองเขาเป็นคู่แข่ง มีเพียงการป้องกันไม่ให้’เนี่ยหลี่’ได้รับศิลาวิญญาณ จึงจะถ่วงเวลาในการฝึกของเขาได้

พวกเขาย่อมไม่อาจขัดขวางการขึ้นสู่ตางรางอันดับ แต่ครั้งนี้’เนี่ยหลี่’ก็ไม่อาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากซากโบราณแห่งความสะพรึงและทุ่งร้างแห่งเพลิงหยินเช่นกัน

หากเขาต้องการศิลาวิญญาณ เขาก็จะต้องออกไปยังโลกภายนอก แต่โลกภายนอกก็ย่งอันตรายกว่าสนามทดสอบทั้งสองเสียอีก

‘เนี่ยหลี่’รับรู้ได้ถึงความเป็นศัตรูและรู้ว่าพวกเขาจะไม่หยุดขัดขวางไม่ให้’เนี่ยหลี่’ได้ศิลาวิญญาณมาไว้ในมือ

หากไม่มีศิลาวิญญาณ เขาย่อมไม่อาจบ่มเพาะพลังได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังของ’เนี่ยหลี่’แต่ละระดับต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาล ‘เนี่ยหลี่’คิดพลางเดิน ว่าเขาจะหาศิลาวิญญาณได้ยังไง

ในตอนนี้เขาอ่อนแอเกินไป และมีวิธีการอีกหลากหลายที่ไม่อาจใช้ได้เมื่อเขายังอ่อนแออยู่ แม้ว่าจะได้รับศิลาวิญญาณจากการรักษาโรค ย่อมต้องมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกและใช้เวลานานเกินไป

เขาไม่อาจรับผลนั้นได้

ความคิดของ’เนี่ยหลี่’ไหลไปเรื่อยจนถึงเจ้าคนอวดดีสุดจะทนอย่าง’มู่หลงหยี่’ และจอมมารที่กำลังแข็งแกร่งขึ้น เขาคิดถึงศัตรูอันน่าหวดหวั่นอย่างจักรพรรดิ์ปราชญ์และเรื่องราวต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

หากเขาไม่อาจแข็งแกร่งขึ้น เขาย่อมต้องจบชีวิตเร็วกว่าชาติก่อนหากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

‘เนี่ยหลี่’คิดอย่างรอบคอบ และนึกถึงหม้ออสูรฝันร้าย ที่เขาไม่คิดจะให้ใครรู้ว่าสิ่งนี้มีตัวตนอยู่ ทว่า นอกจากทางนี้แล้ว วิธีการรวบรวมศิลาวิญญาณอื่นๆ ล้วนถูกปิดกั้น ต่อให้เขาสามารถก้าวข้ามไปยังชั้นชะตาสวรรค์แล้วออกไปข้างนอกได้ ก็ยังมีคนจำวนมากรอสั่งสอนเขาอยู่

‘เนี่ยหลี่’ไม่มีทางเลือก

หากเขาต้องการใช้หม้ออสูรฝันร้าย ‘เซี่ยวหยู่’และ’ลู่เพียว’ก็ช่วยเขาได้ไม่มากนัก คนที่ทำได้คนเดียวคือ’กู้เบ่ย’

จากที่’เนี่ยหลี่’คอยดูพฤติกรรมของ’กู้เบ่ย’ และข้อเท็จจริงที่ว่าเขารักษาอาการป่วยของพี่สาว’กู้หลาน’ ‘กู้เบ่ย’สมควรรักษาสัญญาได้

ตอนนี้ ‘เนี่ยหลี่’รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังเดินไปทั่วสถาบันวิญญาณฟ้ามาได้สักพัก เขาจึงตัดสินใจรวมร่างกับอสูรเงาพรายแล้วใช้ร่างไร้ลักษณ์เดินทางไปหา’กู้เบ่ย’และ’กู้หลาน’เพื่อหลีกสายตาผู้คน

พอเข้าไปยังส่วนที่พัก ‘เนี่ยหลี่’ก็รับรู้ได้ว่า’กู่หลาน’ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังบ่มเพาะพลังอยู่อย่างเงียบๆ

นางสวมชุดไหมสีขาวห่มผ้าห่มทับบนหน้าตัด นางอยู่ในสภาวะวิกฤตเมื่อหมอกสีขาวก่อตัวขึ้นเหนือหัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จนสามารถเห็นเรือนร่างใต้ผ้าของนางได้อย่างเรือนลาง

วันนี้ ‘กู่หลาน’ยังมีใบหน้าขาวซีดอยู่ แต่มือของนางเริ่มมีเลือดฝาดแล้ว

‘เนี่ยหลี่’ดึงสายตากลับอย่างกระอักกระอ่วนพลางยืนรออยู่ด้านนอก เมื่อ’กู้เบ่ย’ไม่อยู่ เขาย่อมต้องรอจนกว่า’กู่หลาน’จะฝึกเสร็จ

ราวครึ่งชั่วยามต่อมา ‘กู่หลาน’ก็ลืมตาขึ้น พอเห็น’เนี่ยหลี่’ นางก็ยิ้มบางแล้วพูดว่า

“ท่านรอมานานแล้วหรือ?”

‘เนี่ยหลี่’ประสานมือทักทายกล่าวว่า

“ไม่นานหรอก แต่สถานที่นี้ไม่ใคร่ปลอดภัยนักเมื่อข้าสามารถย่องเข้ามาได้ถึงที่นี่ อ้อ ต้องอภัยที่เสียมารยาทด้วย”

‘กู่หลาน’ยิ้ม

“ข้าพิการมานาน ศัตรูย่อมไม่เห้นข้าอยู่ในสายตา ทว่า หากข้าตายย่อมกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ใครกล้าเสี่ยง”

‘เนี่ยหลี่’เข้าใจความหมายของนาง เขากวาดสายตาผ่านร่างของกู่หลานอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นจึงดึงสายตากลับ ก่อนจะถามเสียงสั่นว่า

“ข้าอยากทราบว่าสุขภาพของพี่กู่หลานดีขึ้นหรือไม่?”

‘กู่หลาน’ก้มหน้าลงมองตัวเอง จากนั้นนางจึงนึกขึ้นได้ว่าเหลื่อชุ่มตัวอยู่ ใบหน้าขาวซีดของนางค่อยปรากฎสีแดงขึ้น เมื่อนางใช้พลังระเหยเหงื่อออกไป

“ขอบคุณเจ้ามากที่เป็นห่วง หลังจากรับยา ข้าก็ดีขึ้นมาก”

‘เนี่ยหลี่’ผงกศีรษะ

“อืม”

ด้วยความที่มีเพียงทั้งสองอยู่ในห้อง ย่อมอดกระอักกระอ่วนไม่ได้ ‘เนี่ยหลี่’รอคอยให้’กู้เบ่ย’กลับมาอย่างใจจดใจจ่อ

แปลโดย

คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments