ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป‘อู๋หยาจื่อ’เอ่ยถาม’เนี่ยลี่’ว่า
“แล้วเลือดอสูรที่เหลือหล่ะ?”
“เลือดอสูรที่เหลือข้าจักเก็บเอาไว้ในแหวนห้วงมิติ”
จากนั้น’เนี่ยลี่’ก็สบัดแขนของเขาเก็บขวดเลือดเอาไว้
“ได้!”
‘อู๋หยาจื่อ’คิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบกลับไป
เขาไม่ต้องการที่จะโต้เถียงกับ’เนี่ยลี่’ในเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่ออกจากตำหนักซีอิงเสิ่น เขาก็จักสังหาร’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ ตราบเท่าที่แหวนห้วงมิติที่เก็บเลือดอสูรของเขาเอาไว้ เขาก็สามารถที่จะเอาคืนมาได้
แม้ว่าด้วยวิธีนั้นอาจจะโหดร้ายเกิดไป แต่’อู๋หยาจื่อ’ก็ไม่ทีทางเลือก ถ้าหาก’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’รู้ว่าเลือดอสูรสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง ในภายภาคหน้าจักต้องเกิดปัญหากับเผ่าอสูรเป็นแน่
เมื่อครั้งอดีต เคยมีเผ่าอสูรให้การช่วยเหลือมนุษย์โดยการใช้วิธีสังเวยเลือดอสูร สุดท้ายเขาก็ถูกสังหารโดยยอดฝีมือของเผ่าอสูร สำหรับผู้ที่เคยสังเวยเลือดอสูรแล้ว ไม่มีผู้ใดจักได้รับผลดีเลยแม้แต่คนเดียว
ความลับของการสังเวยเลือดอสูรนั้นมีมากมายนัก แม้แต่’อู๋หยาจื่อ’ก็ยังไม่รู้ถึงความลับนั้นทั้งหมด แต่ว่ามันเป็นความลับที่ยอดฝีมือระดับสูงของเผ่าอสูรเท่านั้นที่จักรู้ความลับทั้งหมดของการสังเวยเลือดอสูร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง’อู๋หยาจื่อ’นั้นเป็นผู้สืบสายเลือดดั้งเดิมของอสูร เขาจักไม่ยอมให้มันตกไปอยู่ในเงื้อมมือของมนุษย์เป็นแน่
หลังจากการหาสมบัติในตำหนักซีอิงเสิ่น เขาจักต้องทำการสังหาร’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ทันที และหากมีโอกาสได้พบกันอีกหลายหลัง เขาสัญญากับตัวเองว่าจักมอบสมบัติบางอย่างเป็นการไถ่โทษในเรื่องนี้
“เอาหล่ะ! พวกเราไปกันได้แล้ว”
‘อู๋หยาจื่อ’มองไปที่’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’
‘เนี่ยลี่’มองไปที่’เซี่ยวหยู่’พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“ข้าได้ยินมาว่า ถ้าหากทำการกระตุ้นเลือดอสูรที่ไหลเวียนอยู่ เจ้าจักสามารถที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์และกลิ่นอายของพวกเราได้”
‘เนี่ยลี่’ทำการกระตุ้นเลือดอสูรเพียงเล็กน้อย รูปร่างของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงรูปใบหน้า ที่หัวมีหูแหลมยาว งอกออกมาและมีขนอยู่บ้านบน มองดูคล้ายกับ’อู๋หยาจื่อ’
ทันทีที่มองดูหน้าตัวเองจากแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ๆ เจ้าหูที่แหลมออกมาและมีขนราวกับเศษหญ้า ทำให้’เนี่ยลี่’ก็แทบที่จะกระอักเลือดออกมา
เขาชำเลืองมองไปที่’เซี่ยวหยู่’ แม้ว่ามันจะงอกยาวเช่นเดียวกับของเขา แต่ทว่ามันกลับดูแล้วช่างอ่อนนุ่ม นิ่มนวลน่ารักยิ่งนัก
หลังจากที่กระตุ้นพลังของเลือดอสูร รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เขาเกรงว่าแม้’ลู่เพียว’ก็คงไม่อาจที่จะจดจำได้ทั้ง’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’
“อู๋หยาจื่อ ชาติพันธ์ของเจ้านั้นคือสิ่งใด”
‘เนี่ยลี่’จับที่หูแล้วพูดต่อไปอีกว่า
“หรือว่าเจ้าจักเป็นพวกกระต่าย?”
หลังจากได้ยินคำพูดของ’เนี่ยลี่’ ‘อู๋หยาจื่อ’โกรธจนหน้าดำ เขาตอบกลับไปว่า
“เจ้าสิเป็นกระต่าย ข้าสืบสายเลือดมาจากอสูรจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์ ข้าสืบสายเลือดอสูรดั้งเดิมมา เจ้ารู้จักหรือไม่?”
‘เนี่ยลี่’รู้สึกตกใจไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่า ‘อู๋หยาจื่อ’ จักสืบสายเลือดมาจาก เผ่าจิ้งจอกเก้าหาง 九幽妖狸 ทีเป็นสายเลือดโบราณ
เขาไม่คิดเลยว่า จักเป็นอสูรจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นสายเลือดดั้งเดิมช่างวิเศษยิ่งนักนี่เขาได้การสังเวยเลือดอสูรจากอสูรจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์อยู่ เขาจักสามารถทำสิ่งใดได้บ้างนะ?
‘เนี่ยลี่’ทำการกระตุ้นเลือดอสูรให้เชื่อมต่อเข้ากับขอบเขตวิญญาณของเขา เส้นทางของสายเลือดอสูรราวกับแม่น้ำที่ทอดสายไปห้วงทะเล ที่เป็นขอบเขตวิญญาณของเขา
ตูมม!
ตูมม! ตูมม!
เลือดอสูรระเบิดพลังออกมาในขอบเขตวิญญาณของเขา และกระตุ้นขอบเขตวิญญาณของเขาร้อนขึ้นราวกับว่าเป็นน้ำเดือด
สายเลือดอสูรดั้งเดิม ช่างวิเศษยิ่งนัก
เถาวัลย์ลึกลับในร่างกายของเขาถูกกระตุ้นจากสายเลือดอสูรดั้งเดิม ทำให้เจริญเติบโตอย่างบ้าคลั่ง และเริ่มผลิดอกไม้สีขาวบานออกมา ดอกที่สอง ดอกที่สาม จนสุดท้ายเบ่งบานขึ้นมาถึงห้าดอก ดอกไม้ที่ขาวบริสุทธิ์ห้าดอกได้เบ่งบานอย่างเงียบ ๆ
พลังงานนี้ดูเหมือนว่าจักเชื่อมต่อเข้ากับจิตกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำขึ้นมา และจิตอสูรทั้งสามตนของเขาก็ได้รับการกระตุ้นจากพลังเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
พรึ่บบ!
นอกเหนือไปจากชะตาวิญญาณสีแดง ฟ้า เหลือง ดำ และม่วง ชะตาวิญญาณสีเขียวก็ก่อรูปขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ชะตาวิญญาณดวงที่หก
“นี่! เจ้าเลื่อนระดับพลังเช่นนั้นเหรอ?”
‘อู๋หยาจื่อ’สัมผัสได้ถึงพลังที่เปลี่ยนแปลกไปของ’เนี่ยลี่’จึงเอ่ยถามขึ้นมา
‘เนี่ยลี่’เองก็ดูสับสนเช่นกัน เขาตอบไปว่า
“ข้าไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆระดับพลังของข้าก็เพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับห้าชะตา ข้าไม่รู้ว่าทำไม จู่ ๆ ก็เลื่อนระดับพลังได้เอง”
“อืม”
‘อู๋หยาจื่อ’พยักหน้า
ทั้งสามคนยังคงทะยานไปยังตำหนักซีอิงเสิ่น ด้วยการนำทางจาก’อู๋หยาจื่อ’ ด้วยวิธีนี้’อู๋หยาจื่อ’สามารถที่จะอยู่ใกล้กับ’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ตลอดเวลา
แม้ว่า’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’นั้นจักเป็นเพียงยอดฝีมือระดับชะตาสวรรค์ ส่วน’อู๋หยาจื่อ’นั้นอยู่ในระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ก็ตาม หาก’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’คิดจะหลบหลี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทว่า’อู๋หยาจื่อ’ก็ยังรู้สึกกังวลไม่น้อย
ตอนที่ทั้งสามกำลังทะยานผ่านไป’เนี่ยลี่’ยังคงพยายามที่จะกระตุ้นสายเลือดอสูรอย่างต่อเนื่อง
การบ่มเพาะพลังของเผ่าอสูรนั้น มันจักไปสะสมอยู่ที่เลือดอสูรด้วย ด้วยพลังที่’อู๋หยาจื่อ’ได้บ่มเพาะเอาไว้ หลังจากที่ผ่านการสังเวยเลือดอสูร ทำให้’เนี่ยลี่’นั้นได้ผสานเข้ากับสายเลือดอสูรของ’อู๋หยาจื่อ’ หากเลือดอสูรของ’อู๋หยาจื่อ’นั้นถูก’เนี่ยลี่’กระตุ้นอย่างทั่วถึง
‘เนี่ยลี่’ก็จักเพิ่มพลังในการบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว และจักเทียบเท่ากับระดับพลังของ’อู๋หยาจื่อ’เลยทีเดียวในตอนนี้ เขาไม่จำเป็นที่จักต้องบ่มเพาะพลังถึงสามเดือนอย่างที่ผ่านมา
และนอกจากนี้’อู๋หยาจื่อ’นั้นยังครอบครองสายเลือดอสูรดั้งเดิม ย่อมมีเจตจำนงของเหล่าบรรษชนของเขาไหลเวียนอยู่ด้วยเป็นแน่
เมื่อ’เนี่ยลี่’กระตุ้นให้เลือดอสูรที่ถูกผนึกเอาไว้ได้ เขาก็จักได้อำนาจของสายเลือดอสูรดั้งเดิม ใช้ในการเปลี่ยนแปลงกล้ามเนื้อของร่างกายได้ร่างกายของเผ่าอสูรนั้นแข็งแกร่งมากที่สุด แม้ว่ามนุษย์จักได้รับความแข็งแกร่งนั้นมาจากการผสานร่างเข้ากับจิตอสูร แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับร่างกายของเผ่าอสูรที่แท้จริง ในรูปแบบของมนุษย์ก่อนที่จะทำการผสานร่างนั้น สามารถถูกกำจัดได้โดยง่าย แต่เมื่อมนุษย์นั้นได้ครอบครองเลือดอสูร ‘เนี่ยลี่’ก็จักปรับเปลี่ยนความแข็งแกร่งของร่างกายได้ และร่างกายของเขานั้นจักแข็งแกร่งราวกับเผ่าอสูรที่แท้จริง
การที่จักรพรรดิปราชญ์นั้นแข็งแกร่ง ก็เป็นเพราะเลือดอสูรดั้งเดิมเช่นกัน แต่’เนี่ยลี่’ก็ไม่อาจที่จะรู้ได้ว่า เลือดอสูรดั้งเดิมที่จักรพรรดิปราชญ์ครอบครองอยู่นั้น เมื่อเทียบกับอสูรจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์ ใครจักแข็งแกร่งยิ่งกว่ากัน
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความสามารถที่ได้รับ
จากการสังเวยเลือดอสูร!
‘เนี่ยลี่’ทำการกระตุ้นเลือดอสูรอย่างสนุก เขารับรู้ว่าเส้นชีพจรทั่วร่างของเขา กำลังโครจรไปทั่วร่างพร้อมกับเลือดอสูร ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานสวรรค์ในการชำระล้างเลือดอสูรให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ราวกับเป็นการขัดเช็ดเครื่องโลหะให้สะอาดใส
พรึ่บบ!
นอกเหนือไปจากชะตาวิญญาณทั้งหกดวง ชะตาวิญญาณดวงที่เจ็ดสีน้ำเงินเข้ม ก็ได้ก่อรูปขึ้นมาดูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก มีพลังโคจรอยู่รอบ ๆ’เนี่ยลี่’
‘เนี่ยลี่’พยายามที่จะปกปิดเอาไว้แต่ก็ไม่อาจที่จะทำได้ พลังของสายเลือดอสูรรุนแรงเกินไป
‘เนี่ยลี่’อดคิดไม่ได้ว่า นี่เขาแค่เพียงกระตุ้นส่วนหนึ่งของเลือดอสูรเท่านั้นก็ยังทำได้ถึงเพียงนี้
“นี่เจ้าเลื่อนระดับอีกแล้วเหรอ?”
ระหว่างที่ทะยานอยู่นั้น ‘อู๋หยาจื่อ’หันมาถาม’เนี่ยลี่’ด้วยความตกใจ
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะเทคนิคที่ข้าใช้ในการบ่มเพาะพลังก็เป็นได้”
‘เนี่ยลี่’ตอบกลับไปหลังจากที่ขบคิดชั่วครู่
‘อู๋หยาจื่อ’รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ทว่า ขั้นแรกเขานั้นจักต้องไปให้ถึงตำหนักซีอิงเสิ่นก่อน หลังจากที่ค้นหาสมบัติในตำหนักซีอิงเสิ่นแล้ว เขาก็จะรีบกำจัด’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ ถ้าไม่เช่นนั้นการที่เลือดอสูรของเขานั้นอยู่ในตัวของมนุษย์ มันรบกวนจิตใจของเขามากเกินไป
แม้ว่า’เนี่ยลี่’นั้นจักเลื่อนระดับขึ้นไปถึงสองระดับ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เจ็ดเท่านั้น เขายังคงสามารถควบคุมสถานการณ์นี้เอาไว้ได้
‘อู๋หยาจื่อ’จักไม่ยอมให้เกิดสถานการณ์ที่เขาไม่อาจควบคุมได้เป็นแน่
ทั้งสามคนยังคงทะยานไปยังตำหนักซีอิงเสิ่น ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาที่ห่างไกลออกไป เป็นตำหนักยิ่งใหญ่ที่ ห้อมล้อมไปด้วยแสงประกายทั้งเจ็ดสี เป็นตำหนักที่งดงามยิ่งนักราวกับว่าเป็นภาพลวงตา
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงตำหนักซีอิงเสิ่น……………
จบตอน
แปลโดย นายมะพร้าว
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
ที่มา: