ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปในร่างกายของ’หลงเทียนหมิง’ มีร่องรอยของเลือดอสูรเช่นนั้นเหรอ?
“เจ้ามีวิธีล่วงรู้ได้ด้วยหรือ?”
‘เนื่ยลี่’มองไปที่’อู๋หยาจื่อ’และถามด้วยความสงสัย
“เลือดอสูรที่แฝงอยู่ในร่างกายเขา ตราบใดที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยมันออกมา ก็ไม่มีใครที่จักสามารถรับรู้ได้ แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพสงครามก็ตามที แต่เจ้าคงไม่ลืมสินะว่าข้าเป็นใคร ข้าสืบสายเลือดมาจากจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์ พลังในการสัมผัสถึงเลือดอสูรของข้าจึงแม่นยำยิ่งนัก เกินกว่าเผ่าพันธุ์อื่นจักมาเทียบได้”
‘อู๋หยาจื่อ’พูดอย่างภูมิใจ
‘เนี่ยลี่’พยักหน้า จิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ลึกลับยิ่งนัก แม้แต่’เนี่ยลี่’เองก็ไม่อาจที่จะคาดเดาความสามารถทั้งหมดของจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์ได้ แม้ว่าจักเคยมีตำราบันทึกเกี่ยวกับเรื่องของพวกมันเอาไว้ แต่ก็มีคำอธิบายเกี่ยวจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าหากมิได้มีเผ่าอสูรยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ มนุษย์ไม่มีทางที่จักได้รับการสังเวยเลือดอสูรเป็นแน่
“เป็นไปได้ว่า จักมีใครในเผ่าอสูร ทำการสละเลือดช่วยให้เขาได้ทำการสังเวยเลือดอสูรมาแล้ว”
“ข้ารับรู้ได้ว่าเลือดอสูรในตัวของเขานั้น ไม่ได้มาจากการยินดีสละเลือดให้ แต่ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด”
‘อู๋หยาจื่อ’ส่ายหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น
“เจ้ามีวิธีที่จักตรวจสอบให้ชัดเจนได้หรือไม่?”
‘เนี่ยลี่’จ้องหน้า’อู๋หยาจื่อ’แล้วเอ่ยถาม
“ถ้าหากจับมัดเขาได้ จากนั้นก็ใช้เทคนิคลับของตระกูลจิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้าก็อาจจะพอรู้ได้ แต่เรื่องนี้มันยากเกินไป จากการประมือกันเมื่อครู่ ข้ารู้ดีว่าเข้าไม่ไม่อาจเป็นคู่มือให้เขาได้ ถึงแม้ว่าข้าจักพอรับมือเขาได้ ในการต่อสู้ ข้าอาจจะกระตุ้นเลือดอสูรของข้าให้พลังสูงเกินกว่าเขาได้ แต่การที่จักให้ข้าจับเขามานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
‘อู๋หยาจื่อ’พูดต่ออีกว่า
“และอีกอย่าง ข้าไม่รู้ว่า ถ้าหากเขาผสานเข้ากับจิตอสูร เลือดอสูรนั้นจะผลักดันจนให้ความแข็งแกร่งของเขานั้นจักขึ้นไปถึงระดับไหน”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของ’อู๋หยาจื่อ’ ‘เนี่ยลี่’เงียบไปสักครู่ และพูดขึ้นมาว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ลืมมันไปเสีย เจ้าสังหารแค่ลูกน้องของเขาก็พอ จากนั้นก็ปล่อยเขาไว้แค่เพียงคนเดียว!”
ดูเหมือนว่าการสังหาร’หลงเทียนหมิง’นั้นจักเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึงควรที่จะให้อู๋หยาจื่อทำในเรื่องที่เขาพอทำได้ให้จบไป
“ง่ายมาก! เจ้ารอฟังข่าวดีก็แล้วกัน!”
‘อู๋หยาจื่อ’พูดและเริ่มทำการจู่โจมอีกครั้ง
‘เนี่ยลี่’จ้องมองไปยัง’หลงเทียนหมิง’ที่อยู่ห่างออกไป
เมื่อในชีวิตก่อนหน้า ที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้ล่มสลายไป ‘หลงเทียนหมิง’จักต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นเขาก็ได้เดินทางไปยัง ดินแดนบรรพชนแห่งเทพ และหลังจากนั้นอีกร้อยปี ดินแดนบรรพชนแห่งเทพก็ถูกเผาไหม้จากเปลวเพลิงสีทอง เขาไม่รู้ว่าจักมีส่วนเกี่ยวข้องกับ’หลงเทียนหมิง’หรือไม่
‘หลงเทียนหมิง’ผู้นี้ มีอะไรที่เก็บซ่อนเอาไว้ เนี่ยลี่จักต้องลองขุดคุ้ยหาข้อมูลเกี่ยวกับ’หลงเทียนหมิง’ให้มากยิ่งไปกว่านี้
‘เนี่ยลี่’รู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากตัวของ’หลงเทียนหมิง’ รู้สึกราวกับว่ามันเป็นภัยคุกคามที่แฝงเร้นอยู่
“เนี่ยลี่ เจ้าพบเจออะไรเช่นนั้นเหรอ?”
‘เซี่ยวหยู่’จ้องหน้า’เนี่ยลี่’และถามออกไป เพราะ’เนี่ยลี่’ทำหน้าแปลก ๆราวกับว่าพบเจออะไรบางอย่าง
“ไม่มีอะไร หลังจากนี้จักต้องระวังหลงเทียนหมิงให้ดี โดยเฉพาะเจ้า จักเป็นการดีกว่า หากหลีกเลี่ยงการติดต่อกับเขา พยายามอยู่ห่างจากเขาไว้?”
‘เนี่ยลี่’ตอบกลับไป
“ทำไมกัน?”
‘เซี่ยวหยู่’รู้สึกสงสัย ว่าทำไมต้องเจาะจงว่า โดยเฉพาะนาง?
“แค่ฟังข้าแล้วทำไปตามนั้น!”
‘เนี่ยลี่’ตอบ ร่างกายของนางนั้น มีพลังของพ่อและแม่ของนางซุกซ่อนอยู่ ถ้าหากว่า’หลงเทียนหมิง’รู้เรื่องนี้ อาจจะนำไปสู่ปัญหาบางอย่าง ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ‘เนี่ยลี่’ก็ยังไม่คิดที่จะบอกแก่นาง
‘ทำไมข้าจักต้องฟังเจ้าด้วย แม้กระทั่งเหตุผลเจ้าก็ไม่ยอมที่จะบอกให้ข้ารู้’
เซี่ยวหยู่อดไม่ได้ที่จะบ่นกับตัวเอง แต่ก็ยังตอบรับไปว่า“อืม”
ในตอนนั้น ‘อู๋หยาจื่อ’ ก็เริ่มที่จะลงมือ แม้ว่า’หลงเทียนหมิง’นั้นจักแข็งแกร่งกว่า’อู๋หยาจื่อ’ แต่’อู๋หยาจื่อ’นั้นก็สืบสายเลือดมาจาก
จิ้งจอกเลือดศักดิ์สิทธิ์ จึงเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว‘หลงเทียนหมิง’ไม่อาจที่จะมองตาม’อู๋หยาจื่อ’ได้ทัน ด้วยการซุ่มโจมตีแบบกองโจร ลูกน้องของ’หลงเทียนหมิง’ก็ลดจำนวนลงไปอย่างต่อเนื่อง
จากเกือบสามสิบคน เหลือยี่สิบคน จากนั้นก็เหลือแค่สิบกว่าคน และในตอนนี้ ก็เหลือเพียงแค่’หลงเทียนหมิง’และ’หลงลิ่ว’เท่านั้น
‘หลงเทียนหมิง’โกรธจนที่หัวของเขาแทบจะมีควันขึ้นมา เขาพยายามที่จะจับ’อู๋หยาจื่อ’ หลายครั้ง แต่ก็จับได้แค่เพียงภาพติดตา เห็นได้ว่าว่า’อู๋หยาจื่อ’นั้นไม่คิดที่จะเล่นงาน’หลงเทียนหมิง’แต่จะเล่นงานแค่คนที่อยู่รอบ ๆตัวเขา จึงเป็นการยากที่เขาจะรับมือได้ทัน
ความเร็วของอสูรเผ่าจิ้งจอกนั้น มันเร็วเกินกว่าที่จักจินตนาการได้เลย
ลูกน้องของ’หลงเทียนหมิง’ทั้งหมดถูกสังหารไปแล้ว เหลือเพียงแค่’หลงลิ่ว’เท่านั้น
“ตามข้ามา!”
‘หลงเทียนหมิง’พูดอย่างโกรธเกรี้ยว เขากระชาก’หลงลิ่ว’และทะยานไปทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
‘อู๋หยาจื่อ’กลับมาที่’เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ เขายักไหล่และพูดว่า
“ข้าจัดการพวกมันแล้ว ส่วนที่เหลืออีกสองคน ก็เป็นปัญหาแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
‘เนี่ยลี่’มองไปยังด้านหลังของ’หลงเทียนหมิง’และ’หลงลิ่ว’ที่ทะยานหนีไป
‘เนี่ยลี่’อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นี่คงเป็นการพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ’หลงเทียนหมิง’ แต่การต่อสู้ของ’หลงเทียนหมิง’กับ’เนี่ยลี่’นั้น
เรียกได้ว่าเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น“เอาหล่ะ ไปกันเถอะ!”
‘เนี่ยลี่’ยิ้มและมองไปที่’เซี่ยวหยุ่’กับ’อู๋หยาจื่อ’ และพูดต่ออีกว่า
“พยายามตามข้ามา อย่างใกล้ชิด อย่าอยู่ห่างจากข้าเกินกว่าสามหมี่เมตร ถ้าไม่เช่นนั้นจักพลัดหลงกันได้ แล้วอย่ามาตำหนิข้าในภายหลัง!”
ภายใต้การนำของ’เนี่ยลี่’พวกเขาทั้งสามคนก็เข้าไปยังใจกลางของ ค่ายกลลวงตาหนึ่งพันรูปแบบ
ในตอนนี้ ที่ด้านนอกค่ายกลลวงตาหนึ่งพันรูปแบบ
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปไม่นาน ก็มียอดฝีมือจากสำนักและนิกายต่าง ๆ มารวมตัวกัน ซึ่งก็มีหลายคน ที่อยู่ในระดับวิถีแห่งมังกร
หลายคนรู้อยู่แล้วว่าที่นี่คือ ตำหนักซีอิงเสิ่น พวกเขาเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว และหลายครั้งที่พวกเขาคิดที่จะทำลายค่ายกลลวงตาหนึ่งพันรูปแบบเพื่อเข้าไปด้านใน แต่ทุกคนต่างก็ล้มเหลว และหลายคนคนต่างที่ยอมละทิ้งความตั้งใจ แต่ทุกครั้งที่ประตูของตำหนักซีอิงเสิ่นเปิดออก พวกเขาก็กลับมาทุกครั้ง
ไม่ว่าพวกเขาจักมาจากสามนิกายอสูร หรือหกสำนักใหญ่ พวกเขาต่างก็แข็งแกร่งยิ่งนัก พวกเขาจ้องมองกันราวกับพยัคฆ์ที่รอตระครุบเหยื่อ
มีหลายร้อยกองกำลัง และมีนับแสนคน พวกเขามองไปยังค่ายกลลวงตาหนึ่งพันรูปแบบที่อยู่ตรงหน้า
บางคนอาจจะโชคดี หาทางเข้าไปยังค่ายกลลวงตาได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ด้านนอกของค่ายกลลวงตา
ถึงแม้ว่าจักเข้าไปในค่ายกลลวงตาได้ แต่การที่จะไปให้ถึงตำหนักซีอิงเสิ่น มันก็ยากราวกับการปีนขึ้นไปบนสวรรค์เลยทีเดียว
‘หลงเทียนหมิง’และ’หลงลิ่ว’ยังคงติดอยู่ในค่ายกลลวงตา เขาไม่รู้ว่าทิศใดคือทิศตะวันออก หรือตะวันตก เขายังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม
จนแทบจะเป็นบ้าและในตอนนี้’เซี่ยวหยู่’และ’อู๋หยาจื่อ’ได้ตาม’เนี่ยลี่’มุ่งไปยังด้านหน้า พวกเขาทะยานผ่านภาพลวงตาอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก และในที่สุดก็มองเห็นตำหนักซีอิงเสิ่น
‘อู๋หยาจื่อ’รู้สึกตกใจยิ่งนัก ‘เนี่ยลี่’รู้ทุกซอกทุกมุมของค่ายกลลวงตาหนึ่งพันรูปแบบ ราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงหน้าเลยสำหรับ’เนี่ยลี่’
และที่’เนี่ยลี่’บอกว่าสามารถที่จะสร้างค่ายกลค่ายกลลวงตาหนึ่งพันรูปแบบ เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วยาม’เนี่ยลี่’ ‘เซี่ยวหยู่’ และ ‘อู๋หยาจื่อ’ก็ได้มายืนตรงหน้าค่ายกลโบราณขนาดใหญ่ ที่นี่มีเสา ห้าถึงหกต้นตั้งตระหง่านอยู่ พ้นด้านหน้าของค่ายกลโบราณนี้ไป จักมองเห็นตำหนักซีอิงเสิ่น แม้ว่าพวกเขาจะยังมิได้เข้าไป แต่ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัว
ราวกับว่าเป็นสุสานขนาดใหญ่ ที่แผ่ลมปราณที่น่าเกรงขามออกมา แม้แต่อู๋หยาจื่ต้องรู้สึกเคารพ ไม่อาจทำเป็นเล่นอย่างที่ผ่านมาได้
‘อู๋หยาจื่อ’ไม้รู้เลยว่ายอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่คนไหนที่สร้างตำหนักซีอิงเสิ่นที่ยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมา ‘อู๋หยาจื่อ’แทบจะไม่กล้าขยับตัว แม้จักไม่มีผู้ใดบอกแต่เขาก็ต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
ตำหนักซีอิงเสิ่นแห่งนี้ บางทีอาจจะยังคงมีเจตจำนงที่ยิ่งใหญ่คงเหลืออยู่
ไม่เพียงแต่’อู๋หยาจื่อ’ ‘เนี่ยลี่’และ’เซี่ยวหยู่’ก็รู้สึกเช่นกัน ‘เนี่ยลี่’เงยหน้ามองขึ้นไป มองสิ่งก่อสร้างอันงยิ่งใหญ่และงดงามนี้ เขาพูดขึ้นมาว่า
“หลังจากเข้าไปแล้วจักต้องเชื่อฟังที่ข้าพูด อย่าได้คิดที่จักทำอะไรเอง ถ้าหากว่าตายไปก็จงอย่าได้มาตำหนิข้า!”
‘เนี่ยลี่’พูดอย่างจริงจัง ต่างจากก่อนหน้านี้………….
จบตอน
แปลโดย นายมะพร้าว
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
ที่มา: