I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 444.19 บริวารแห่งเทพ

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 21795 | 2358 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

จินตานบินมาหาเนี่ยลี่ แต่หาได้อยู่ในรูปร่างอ้วนกลมเช่นเดิมใหม่

บัดนี้รูปร่างของจินตานเป็นดั่งวิหคเพลิงที่มีขนสีทอง เป็นเรื่องที่แปลกยิ่งนัก ปกติหากคนธรรมดาทานผลไม้แห่งพระเจ้าเข้าไป ร่างกายจะต้องระเบิดเพราะพลังสวรรค์เอ่อล้นทะลักออกมา คงเป็นเพราะจินตานเป็นสัตว์อสูรวิญญาณ ห้วงขอบเขตวิญญาณของมันจึงกว้างใหญ่กว่ามนุษย์มากนัก เมื่อจินตานกินผลไม้แห่งพระเจ้าลงไป จินตานจึงเปลี่ยนรูปร่างได้เช่นนี้ ตอนนี้ขนาดตัวของมันใหญ่เพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น

เนื่องจากเนี่ยลี่เชื่อมโยงไว้ด้วยห้วงขอบเขตวิญญาณ มันจึงเชื่อฟังเนี่ยลี่ แต่สัตว์อสูรวิญญาณที่มีพลังระดับขอบเขตแห่งพระเจ้านี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก

“เจ้าจงอาศัยอยู่ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไปก่อน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะพาเจ้าออกไป”

เนี่ยลี่พูดพร้อมกับลูบหัวจินตานที่มาคลอเคลีย

“คูลล คูลล”

จินตานส่งเสียงตอบกลับมา

“เมื่อมีเวลาข้าจะเข้ามาข้างในนี้ ตอนนี้ข้าขอตัวออกไปด้านนอกก่อน”

เนี่ยลี่บอกแก่เซี่ยวหยู่และเทพธิดายู่หยานก่อนที่จะนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้

“ตอนนี้เหล่าสหายจากโลกใบเล็กของข้ามารวมตัวกัน และจะเดินทางกลับไปยังโลกใบเล็กด้วยกัน”

เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้ม

“บอกพวกเขาว่า ข้าขออภัยที่ไม่อาจออกไปพบได้”

เซี่ยวหยู่ตอบกลับไป เนื่องจากนางนั้น บรรลุเทคนิคทำนายชะตาสวรรค์
หากออกไปด้านนอกจักรพรรดิปราชญ์ก็จะสามารถสัมผัสถึงนางได้ทันที

“ข้าจะบอกแก่พวกเขาเอง ท่านพี่ยู่หยานต้องการออกไปพบพวกเขาหรือไม่?”

เนี่ยลี่หันไปทางเทพธิดายู่หยานและเอ่ยถาม

“ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเซี่ยวหยู่ จงบอกพวกเขาว่ารอเจอกันตอนที่เดินทางกลับถึงโลกใบเล็ก”

เทพธิดายู่หยานยิ้มและตอบกลับมา

“ข้าว่ามีวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือให้พวกเขาเข้ามาในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำพร้อมกับข้าในคราวหน้า”

เนี่ยลี่พูดขึ้นมา เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้เขาลืมไปได้เช่นใดกัน

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้า”

เทพธิดายู่หยานยิ้มและตอบกลับมา

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

เนี่ยลี่พูดและออกจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ

เมื่อกลับออกมาที่ตำหนักเนี่ยลี่ก็พบว่า เอียจื่ออวิ๋นกับเซี่ยวหนิงเอ๋อนั่งพูดคุยกันอย่างสนิทสนม หัวเราะหยอกล้อกัน แม้ว่าเขาจะแปลกใจ แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนคนอื่น ๆ นั้นพวกเขาไปเดินเยี่ยมชมนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขยิ่งนัก

ในยามที่สงบสุขเช่นนี้ เนี่ยลี่ก็ต้องการที่จะมอบหมายงานต่าง ๆ เอาไว้ล่วงหน้า จึงได้ขอให้กู้เบ่ยเชิญกู้หลานมาที่ตำหนักผู้นำนิกาย

“กู้เบ่ยบอกแก่ข้าว่า ประมุขเนี่ยเรียกหาข้า”

กู้หลานประสานมือคารวะอย่างมีมารยาท

ในยามนี้นางไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งรถเข็นเพื่อแสร้งทำว่าเจ็บป่วยอีกต่อไป เดิมทีนางก็เป็นหญิงสาวที่งดงามอยู่แล้ว หลังจากที่หายป่วย หน้าตาของนางจึงสดใสชวนให้หลงไหลยิ่งนัก

“ท่านพี่กู้หลานอย่าได้มากพิธี ท่านเป็นพี่สาวของสหายข้า ก็นับว่าเป็นพี่สาวคนหนึ่งของข้าเช่นกัน”

เนี่ยลี่พูดขึ้นมาพร้อมกับเชิญให้กู้หลานนั่งลง

“ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องเสียมารยาทแล้ว มีเรื่องอันใด เจ้าถึงเรียกข้ามาพบ”

กู้หลานยิ้มและเอ่ยถาม

“อีกไม่นานข้าและสหายจะกลับไปยังโลกใบเล็ก และคิดว่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อย ณ ที่แห่งนั้น”

เนี่ยลี่พูดออกไป แล้วหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไปอีกว่า

“ยามที่ข้าไม่อยู่ ข้าต้องการให้พี่กู้หลานเป็นผู้ดูแลนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งรักษาการผู้นำนิกาย”

เนี่ยลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“เหตุใดจึงต้องเป็นข้า?”

กู้หลานถามด้วยความสงสัย

“ท่านพี่หลี่ชิงอวิ๋น กู้เบ่ย และหลงยู่อิน ต่างต้องทำหน้าที่ผู้นำตระกูล คนที่ข้าเชื่อใจได้ที่สุด ก็เหลือเพียงแค่ท่านพี่กู้หลานเท่านั้น”

เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหัวเราะ

“ถ้าหากเจ้าเชื่อใจข้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”

กู้หลานตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง บุญคุณของเนี่ยลี่นั้นมากล้นฟ้า การที่จะได้ช่วยเหลือตอบแทนกลับไปบ้าง นางย่อมรู้สึกยินดี
แต่นางก็เป็นกังวลอยู่บ้างเพราะนับว่าเป็นงานใหญ่ไม่น้อย

“ท่านอย่าได้กังวล ข้าจะให้ท่านปรมาจารย์ทั้งห้าช่วยเหลือท่านด้วย”

เนี่ยลี่ยิ้มและพูดออกไปเมื่อเห็นท่าทีที่เป็นกังวลของกู้หลาน ปรมาจารย์เทียนอู่เองก็เป็นอดีตผู้นำนนิกาย จะต้องช่วยเหลือกู้หลานในการดูแลนิกาย ยามที่เขาไม่อยู่ได้อย่างแน่นอน

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็เบาใจ”

กู้หลานตอบกลับมาพร้อมกับยิ้ม

“น่าเสียดายยิ่งนักที่สหายจากโลกใบเล็กของข้า มิได้อยู่พร้อมหน้ากันที่นี่ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะได้แนะนำพวกเขาให้ท่านพี่กู้หลานได้รู้จัก”

เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยความเสียดาย ตอนนี้ในตำหนักมีเพียงเอียจื่อวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับรอง เนี่ยลี่จึงไม่ต้องการที่จะไปรบกวนพวกนาง

“หากมีโอกาสคงได้พบเจอกัน หากเจ้าไม่มีธุระอื่นใด ข้าคงต้องขอกลับกลับก่อน”

กู้หลานลุกขึ้นยืนและพูดอย่างสุภาพ แม้ว่านางจะมิได้เป็นผู้นำตระกูล แต่นางก็ช่วยเหลือกู้เบ่ยในการดูแลด้านการค้าของตระกูล จึงมิได้มีเวลามากนัก เมื่อถึงเวลาที่ต้องรักษาการในตำแหน่งประมุขนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นางคงต้อง แบ่งงานด้านการค้าในตระกูลให้ผู้อื่นช่วยดูแล

“ข้าจะไปส่ง ท่านพี่กู้หลานเอง”

เนี่ยลี่เดินไปส่งกู้หลานที่ประตู การกระทำเช่นนี้ของเนี่ยลี่ทำให้กู้หลานรู้สึกชื่นชมเขามากยิ่งขึ้น

การเดินไปส่งที่หน้าประตูถือเป็นมารยาทของเจ้าบ้าน แต่โดยปกติแล้วผู้มีตำแหน่งใหญ่ มักจะไม่ทำกับผู้น้อย

นิกายเทพอสูร

“ในวันนี้พวกเราต้องพูดกันให้ชัดเจนแล้ว ว่าจะทำสงครามครั้งใหญ่กับพวกมนุษย์หรือไม่”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง เต่าดำ  พูดขึ้นมาในวันนี้เห็นใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของเขาอย่างชัดเจน ใบหน้าของเขานั้นเป็นเต่า แต่ร่างขายของเขาก็เป็นดั่งมนุษย์เพียงแค่ตัวใหญ่กว่ามาก และมีกระดองสีดำและมีหนามแหลมอยู่ด้านหลัง ส่วนหางของเขานั้นเป็นงู

“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นด้วย หากเป็นเรื่องของ นิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิตข้าเองก็ทราบมาว่า พวกเขาเป็นฝ่ายบุกไปที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์และถูกสังหารจนหมด หากคิดดูแล้วพวกเขาเป็นฝ่ายที่เริ่มสงครามกับมนุษย์เอง”

ปรมาจารย์เทพชิงหลง มังกรคราม พูดขึ้นมา ส่วนหัวของเขานั้นเป็นมังกร มีหนวดตรงหน้าผาก แต่มีร่างกายเป็นดั่งมนุษย์เช่นกัน
ทั่วทั้งตัวของเขามีเกล็ดสีครามอยู่โดยรอบ และมีหางของมังกรอยู่ทางด้านหลังเช่นกัน

“ไม่เกี่ยวว่าผู้ใดเป็นฝ่ายเริ่ม แต่การที่พวกมันทำเช่นนี้เป็นการหยามเผ่าอสูรของพวกเรา”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงทุบมือลงบนโต๊ะหินอย่างรุนแรง

“เรื่องนี้ข้าเองก็เห็นว่าเจ้ามนุษย์นั้นก็ทำเกินไป”

ปรมาจารย์เทพไป๋หู่ พยัคฆ์ขาว พูดขึ้นมาบ้าง ใบหน้าของเขาเป็นดั่งพยัคฆ์ขาว แต่ก็ยืนได้ด้วยสองขาไม่ต่างจากมนุษย์ ทั่วตัวของเขานั้นเป็นไปด้วยขนสีขาว มีลายสีดำคาดเล็กน้อย ลำตัวของเขานั้นสวมเกราะสีเงิน

“หากมีการทำสงครามครั้งใหญ่ มันจะไม่จบลงง่าย ๆ เป็นแน่”

ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ย วิหคสีชาด พูดขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ร่างกายของเขานั้นเป็นมนุษย์แต่มีหัวเป็นนกและมีปีกสีแดงเพลิงอยู่ด้านหลัง มือและเท้าของเขาเป็นดั่งกรงเล็บของวิหคเช่นกัน

“พวกเจ้าลองคิดดูให้ดี เมื่อพวกมันทำลายนิกายอสูรไปแล้วถึงสองนิกาย มีหรือว่า พวกมันจะไม่มาบุกนิกายเทพอสูรของเรา”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง พูดด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด

“ถ้าหากพวกมนุษย์บุกมา ข้าก็ยินดีที่จะเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แต่หากจะให้พวกเราเป็นฝ่ายบุกไป ข้านั้นก็ขอปฏิเสธ”

ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ยพูดพร้อมกับส่ายหน้า

“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่า สามารถหาข่าวจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ทราบเป็นเช่นใดบ้าง”

ปรมาจารย์เทพไป๋หู่หันไปถามปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง

“ลืมเรื่องนั้นไปซะ!”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ เพราะเขานั้นเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดหลงเทียนหมิงจึงไม่ติดต่อกลับมาเลยแม้แต่น้อย

“ข้านั้นสืบทราบมาว่า ยามที่ต้าเหลย และ เซวี่ยซินเยวี่ย บุกไปยังนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้น ผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์”

ปรมาจารย์เทพชิงหลงพูดขึ้นมา

“เจ้าจะบอกว่าการที่ ที่ต้าเหลย และ เซวี่ยซินเยวี่ยเป็นเพราะผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกเช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นที่ต้าเหลย และ เซวี่ยซินเยวี่ยก็โง่เง่ายิ่งนัก ที่บุกไปไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนั้น”

ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ยพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ เหล่าลูกศิษย์ที่คืนชีวิตกลับมา และมาขอเข้าร่วมกับนิกายเทพอสูรของเราบอกว่าผู้ที่ซินเยวี่ยต่อสู้จนพ่ายแพ้เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบปีใช้นามว่าเทพดาบเมฆา ส่วนต้าเหลยนั้นประลองกับเด็กหนุ่มที่ใช้นามว่าเทพกระบี่ แต่ไม่มีผู้ใดได้เห็นผลลัพธ์ของการต่อสู้ด้วยตา เนื่องจากถูกสังหารกันไปก่อน”

ปรมาจารย์เทพชิงหลงพูด เนื่องจากยังไม่บรรลุระดับวิถีแห่งมังกรเมื่อตายไปจึงกลับไปคืนชีพที่ห้องโถงวิญญาณของพวกเขา

“เทพดาบ เทพกระบี่ อวดอ้างตัวเองถึงเพียงนั้น ข้าต้องการที่จะสู้กับพวกมันดูสักครา”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก

“อย่าได้ทะนงตนนักเสวียนหมิง เดิมทีเจ้านั้นมีพลังในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า แต่บัดนี้พลังเจ้าเหลือเพียงระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าเท่านั้น อย่าคิดว่าพวกข้านั้นดูไม่ออก”

ปรมาจารย์เทพชิงหลงพูดออกไป แม้จะสงสัยว่าปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงไปทำอันมาระดับพลังจึงได้ถดถอยถึงเพียงนี้ แต่ถึงจะเอ่ยถามออกไปก็คงไม่ได้คำตอบเป็นแน่ เขาจึงได้เงียบไป

“เจ้าจะให้ข้านั่งรอพวกมนุษย์บุกเข้ามาที่นิกายเทพอสูรหรืออย่างไรกัน!”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดด้วยความไม่พอใจ

“หากเจ้าต้องการทำสงครามกับพวกมนุษย์ ก็จงไปขออนุญาตต่อบริวารแห่งเทพ ของท่านจักรพรรดิปราชญ์ก่อน ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงต้องปฏิเสธ”

ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ยพูดขึ้นมา

บริวารแห่งเทพเป็นเหล่าผู้รับใช้คนสนิทของจักรพรรดิปราชญ์ เล่าขานกันว่าระดับพลังของพวกเขานั้นสูงส่งกว่าระดับเทพสงคราม
แต่ก็ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นพวกเขามาก่อน ในการติดต่อกับพวกเขานั้น จะต้องไปยังตำหนักเทพอสูร ซึ่งจะทำได้เพียงแค่พูดคุยกับเหล่าบริวารแห่งเทพเท่านั้น

“ถ้าหากบริวารแห่งเทพ ประสงค์เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปฏิเสธเช่นกัน”

ปรมาจารย์เทพชิงหลงพูดขึ้นมาบ้าง

“ตกลง ข้าจะเดินทางไปยังตำหนักเทพอสูร เพื่อขอความเห็นชอบจากบริวารแห่งเทพ”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

การเดินทางไปยังตำหนักเทพอสูรนั้นแม้จะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ต้องยอมรับการทดสอบจากค่ายกลลวงตาของเหล่าบริวารแห่งเทพ เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ซึ่งนั่นต้องใช้เวลาหลายวัน

ณ ตำหนักเทพอสูร

“ผู้ใดกันที่มารบกวนข้า”

มีเสียงดังก้องกังวาลมาจากด้านบนตำหนัก เมื่อมองขึ้นไปจะมองเห็นเพียงท้องฟ้า ราวกับเป็นเสียงที่ดังลงมาจากสวรรค์

“ข้าคือเสวียนหมิง หนึ่งในสี่ประมาจารย์เทพแห่งนิกายเทพอสูร ข้าต้องการขอความเห็นชอบจากพวกท่านเหล่าบริวารแห่งเทพขอรับ”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง ประสานมือและพูดออกไปด้วยความเคารพ แม้แต่คนระดับเขาก็ไม่อาจที่จะกล้าอวดดีกับบริวารแห่งเทพ

“จงพูดมา!”

เสียงพูดดังลงมาอีกครั้ง

“บัดนี้เหล่ามนุษย์กำแหงยิ่งนัก ได้ทำลายนิกายอสูรไปถึงสองแห่ง ข้าจึงมาขอความเห็นชอบในการเปิดสงครามครั้งใหญ่กับพวกมนุษย์!”

ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“บังอาจ!”

เสียงดังลงมา กึกก้องยิ่งกว่าในคราวแรก ดังเสียจนปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงรู้สึกหวาดกลัว

……………………………..จบตอน

แต่งโดย นายมะพร้าว

คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
<<                  >>

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments