ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป* ปัก ปัก ปัก ปัก *
‘ฉี เฟิงหยาง’ กระชากแขนของ’หลิน หลาน’กลับมา เตะแล้วเตะเล่า ชณะที่ด่าไปด้วยคนที่ได้เห็นฉากนั้น วิญญาณของพวกเขาทั้งตกใจและตกตะลึง พวกเขาพยายามเลี่ยงที่จะมอง แต่ก็อดไม่ได้ ในใจของพวกเขานั้นรู่ว่าทั้งสองคนนั้นอยู่ในระดับ 9 แก่นแท้ แต่พลังมันแสนจะต่างกันราวกับคนละเรื่อง
ในตอนนั้นแม้แต่ ‘ชูเฟิง’ ยังอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่ใช่แค่ในแง่ของอาณาจักรอย่างเดียวที่ห่างกัน อำนาจกันต่อสู้ยังต่างกันอีกด้วย เหมือนกับที่ ‘ชูเฟิง’ อยู่ในระดับ 7 กำเนิด แล้วสามารถเอาชนะ ‘กง ลู่หยุน’ ที่อยู่ระดับ 4 แก่นแท้ได้ ‘ฉี เฟิงหยาง’ก็เช่นเดียวกัน
แม้ว่ายังบอกไม่ได้ว่า ‘ฉี เฟิงหยาง’ มีพลังวิญญาณระดับไหน แต่เขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับ ‘หลิน หลาน’ เขาไปไกลยิ่งกว่านั้นมาก ‘หลิน หลาน’ ตอนนี้เหมือนกับเด็กน้อยไปเลย ซึงเขาไม่มีโอกาสจะตอบโต้เลยด้วยซ้ำ มีแต่ ‘ฉี เฟิงหยาง’ ที่เป็นฝ่ายบดขยี้เขาเพียงฝ่ายเดียว
” นี่ . . . . . . . เราจะทำยังไงกันดี ฉี เฟิงหยาง แค่ลงมือเบาๆ แต่ท่านหลิน หลาน ทีกินยาต้องห้าม กับทำอะไรเขาไม่ได้ . . . . . . “
” จะทำยังไงได้อีกล่ะ รีบถอยสิ สัตว์ประหลาดแก่ที่หายไปนาน บัดนี้ ตระกูล ฉี กลับมาปราบตระกูล หลิน อีกครั้ง หากเรายังฝืนดื้อดึง เขาคงไม่ยกโทษให้เราแน่ “
เห็นผู้นำ ‘หลิน หลาน’ ถูกเตะอย่างหนักหน่วง กองทัพกิเลนของตระกูลหลิน ได้แต่ขมวดคิ้วแน่นและยืนตัวสั่น พวกเขาเริ่มเหลือบมองซ้าย ขวา เพื่อจะหาโอกาสหนีออกไปยังไงก็ตาม คงเป็นไปได้ยากที่กองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้จะหนีไป โดยไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน เมื่อ ‘ฉี เฟิงหยาง’ เห็นพวกเขาหันหลังเพื่อถอยทัพ เขาก็ตะคอกใส่ด้วยเสียงที่ดังกังวาล
” บัดซบ!!! พวกเจ้าทุกคนหยุด 3 ขา อยู่ตรงนั้นซะดีๆ อย่าได้คิดจะไปจากที่นี่ หากใครกล้า ข้าจะตัดมันให้หมด “
3 ขา ขาขวา ขาบน และขากลาง
” ว้าาา ~ ~ ~ “
หลังจากที่สิ้นเสียงตะโกน กองทัพกิเลนทุกคนหยุดอยุ่กับที่ ด้วยความหวาดกลัว ขณะนั้นพวกเขาได้แต่ยืนสั่นสะท้านไปทั้งร่างพวกเขา กลัว ‘ฉี เฟิงหยาง’ ประมุขของตระกูล ฉี อย่างมาก เวลานี้พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้า ‘ฉี เฟิงหยาง’ ในฐานะมิตรสหาย
ถึงแม้จะอยู่ คฤหาสน์องค์ชายกิเลน เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขาพวก ตระกูล หลิน ต่างหวาดหลัว แม้แต่ ประมุขตระกูล หลิน ยังปวดหัวเพราะเขา ต่อมา ‘ฉี เฟิงหยาง’ ได้หายตัวไปอย่างกะทันหัน ทำให้ตระกูล ฉี เหมือนมังกรไร้หัว ดังนั้นตระกูลหลิน จึงฉวยโอกาสตอบโต้พวกเขา
ในเวลานั้นตระกูลฉีจึงต้องตกอยู่ใต้อาณัติตระกูลหลิน แต่ยังไงก็ตาม บัดนี้ ราชาแห่งนรก ได้ฟื้นกลับมา และพวกเขารู้ว่า ตระกูล หลิน คงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่
” บัดซบ เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ดีมากสินะ ในช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้ามันช่างบาจยิ่ง ไม่เพียงแต่กลั่นแกล้ง ตระกูล ฉี ในคฤหาสน์ แต่ยังพาลมาหาสำนัก ของสหายคนสนิทของข้า ให้ตายสิ ขอโทษพวกเขาซะ “
” คุกเข่าลงซะ !!! “
” ฮ้าาาา~ “
เมื่อ ‘ฉี เฟิงหยาง’ ตะโกนสั่ง กองทัพกิเลนของตระกูล หลิน คุกเข่าลงพร้อมกันอย่างไม่ลังเล ความหยิ่งยโสพวกเขามันเป็นอดีตไปแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ฉี เฟิงหยาง’ พวกเขาก็แค่ขยะเน่าๆที่จะเขี่ยทิ้งไปตอนไหนก็ได้’ฉี เฟิงหยาง’ เห็นฉากนี้เป็นปกติไปแล้ว แต่คนภายนอกและในเวที ต่างรู้สึกสะใจกันอย่างมาก เรื่องนี้มันเกินความคาดหมายและยังน่าตกใจ ไม่เพียงแต่กองทัพกิเลนคุกเข่าให้ ‘ฉี เฟิงหยาง’ กองทัพยังคุกเข่าให้กับพวกเขาด้วย
เท่าไหร่ ที่ผู้คนได้รับเกียรติเช่นนี้จากกองทัพของคฤหาสน์องค์ชายกิเลน ที่ยอมคุกเข่าต่อหน้าพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหน อย่างน้อยพวกเขาก็นำเรื่องนี้ไปเล่าสู่ลูกหลานรุ่นต่อๆไปของพวกเขาได้
” พวกเจ้าทั้งหมด ตบหน้าตัวเองร้อยครั้ง!!! “
ขณะนั้น ‘ฉี เฟิงหยาง’ ที่กำลังเหยียบหัว ‘หลิน หลาน’ ตะคอกใส่ ขณะที่ชี้มาที่พวกกองทัพกิเลน
” ปะ . . . ประ . . . ประมุข ฉี เราแค่ทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการ พวกเรานั้นถูกบังคับจริงๆ!!! “
เวลานั้น มีคนที่ลังเลพูดขึ้น ในขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและความเศร้า ตอนที่ตะโกนบอก ‘ฉี เฟิงหยาง’ในเวลาเดียวกัน คนนับหมื่นจากคฤหาสน์องค์ชายกิเลน ก็พยักหน้าด้วยท่าทางที่แสนจะคับข้องใจด้วยเช่นกัน พวกเขาหวังให้ ‘ฉี เฟิงหยาง’ ละเว้นพวกเขาไปสักครั้ง
” บัดซบ เจ้านายบังคับงั้นหรอ!!! “
อย่างไรก็ตาม ‘ฉี เฟิงหยาง’ ไม่เชื่อแม้แต่น้อย เขาสถบด่าเสียงดัง พร้อมกับถอดรองเท้า เขวี้ยงใส่หน้าของคนทีอ้อนวอนรองเท้าของคนอื่นต่างจากรองเท้าของ ‘ฉี เฟิงหยาง’ เพราะมันคืออาวุธทีโหดร้าย หลังจากที่รองเท้า เข้าไปถูกคนที่อ้อนวอนเขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จมูกเบี้ยว และใบหน้าแต่ถูกกระแทกไม่เพียงแต่ทำให้เขาบาดเจ็บ
แต่มันทำให้เป็นอัมพาตได้อีกด้วยเมื่อเห็นรองเท้าที่กระแทกใส่ใบหน้าของคนคนนั้น กองทัพตะกูลหลินนับหมื่นที่ลังเลอยู่ เสี้ยววิ ก็ยกฝ่ามือขึ้น พร้อมกับฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของตัวเอง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า พวกเขาเคยตบหน้าตัวเองแค่ทีสองที แต่ไม่มีใครเคยมานั่งตบหน้าตัวเองถึงร้อยครั้ง
แม้ว่าจะเจ็บปวดแต่ก็ไม่มีใครกล้าหยุดผู้คนต่างมึน งง เมื่อมองดูฉากนั้น ตาและปากพวกเขาบวมบูด บางคนก็ถึงกับสลบไป กองทัพกิเลนก่อนหน้านี้ที่เต็มเจตนาฆ่า บัดนี้ถูกทำให้เชื่องได้ง่ายๆ วันนี้พวกเขานับว่าได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่
แม้แต่ใบหน้าหวานๆของ ‘ต้านต้าน’ ที่อยู่ในโลกวิญญาณของ ‘ชูเฟิง’ ยังต้องตกตะลึง ปากเล็กๆของนาง ได้แต่เปิดขึ้นเล็กน้อย ด้วยความประหลาดใจนั้นนางก็อดพูดออกมาไม่ได้
” ตาแก่หุบเขาร้อยโค้งนี้แปลกดีจิงๆ เราเห็นได้ชัดว่าคนๆนี้ช่างมีคุณธรรม แต่ไม่เคยนึกมาก่อน ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู เขาจะไม่สนใจวิธีการใดๆ “
” เห้อ โชคดีนะที่ได้เขามาเป็นมิตร หากเขาเป็นศัตรูเขาคงเป็นศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่า หลิน หลาน “
‘ชูเฟิง’ ก็มีรอยยิ้มเล็กแขวนไว้ที่มุมปาก เขาดีใจมากที่ได้พบคนที่ยิ่งใหญ่อย่าง ‘ฉี เฟิงหยาง’ ไม่เพียงแต่เขาจะได้ช่วยชีวิตตัวเอง เขายังได้ช่วยคนใกล้ๆตัวอีกด้วยในเวลาเดียวกัน เขาก็ดีใจที่ ‘ฉี เฟิงหยาง’ ไม่ใช่ศัตรูของเขา เพราะเขารู้ว่าหากผู้เฒ่าคนนี้กลายเป็นศัตรู เขาคงจะกลายเป็นของเล่นของผู้เฒ่าคนนี้หลังจากที่ตบหน้าครบ 100 ครั้ง
กองทัพตระกูลหลินหลายหมื่นก็ลุกขึ้นด้วยใบหน้าสีแดงที่บวมปวดเป็นรูปฝ่ามือ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตบตัวเองค่อนข้างแรงแน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าเบามือ ต่อหน้าของ ‘ฉี เฟิงหยาง’ หากพวกเขากล้าเล่นตุกติก แล้ว ‘ฉี เฟิงหยาง’ จับได้ แน่นอนว่าเขาคงกลายเป็นของเล่นของ ‘ฉี เฟิงหยาง’จนตาย
” น้อง ชูเฟิง ไอ้พวกสุนัขรับใช้มานี่เพื่อสร้างปัญหาให้กับเจ้า และได้ทำลายความสงบสุข การประลองชี้เป็นชี้ตาย วันนี้จึงสมควรได้รับโทษ หากเจ้าจะเอาเรื่องใดๆข้าจะช่วยเจ้าเอง “
‘ฉี เฟิงหยาง’ มาถึงหน้า ‘ชูเฟิง’ อีกครั้งพร้อมกับตบไหล่ของ’ชูเฟิง’ แต่วิธีการที่เขากระทำ ไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังเผชิญกับคนที่เด็กกว่า มันเหมือนกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับน้องชาย
‘ชูเฟิง’ รู้สึกขอบคุณ ‘ฉี เฟิงหยาง’ จากใจจริงในตอนที่เขาช่วยชีวิตในตอนที่อยู่หุบเขาร้อยเลี้ยว และในตอนนันเขาก็รู้สึกถูกชะตากับ ‘ฉี เฟิงหยาง’ ก่อนที่จะคืนหนี้ให้กลับไป ชีวิตของเขาก็ถูก ‘ฉี เฟิงหยาง’ ช่วยไว้อีกครั้ง
ไม่ใช่แค่เขาช้วยชีวิต ‘ชูเฟิง’ เขายังช่วยชีวิตคนนับล้านที่อยู่รอบๆในงานประลอง ‘ชูเฟิง’จึงซาบซึ้งเขาอย่างมากจึงได้แต่ ประคองมือขึ้นและกล่าว
” อาวุโส ฉี ข้าน้อยจะไม่ลืมความเมตตาของท่าน และพระคุณของท่าน หากมีโอกาสข้าต้องทดแทนมันให้แก่ท่าน “
” เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร ? “
ในตอนนั้น ‘ฉี เฟิง หยาง’ ทำท่าทางไม่พอใจ ขดริมฝีปาก พร้อมกับเบิกตากว้าง และกล่าวกับ’ชูเฟิง’
” ใครให้เจ้าเรียกข้าว่าอาวุโส เจ้าควรเรียกข้าว่า ท่านพี่ !!! “
นับวันมันยิ่ง ยาวขึ้น ยาวขึ้น
แปลไม่เคยทันสักวัน . . . . . .
ที่มา: