I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

tsuki-ga-michibiku-isekai-douchuu ตอนที่ 10 ถิ่นฐานของมนุษย์ ยังคงอีกไกล

| Tsuki ga Michibiku Isekai Douchuu | 1811 | 2364 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้สองวันแล้ว ยังไงก็เถอะ การเดินทางตลอดทั้งวันมันทำให้รู้สึกอย่างกับจะอาเจียนออกมา ผมเริ่มคิดแล้วว่า ช่วงเวลาในรั้วโรงเรียนสมัยมัธยม ชีวิตของผมเป็นสุขมากกว่านี้เยอะเลยออร์คภูเขาเหมือนกำลังจะช่วยกันเปลี่ยนแปลงอะโซระอยู่

ตัวผมในช่วงพักบ่าย แล้วก็ช่วงพักกินข้าวเย็น เริ่มถามถึงสถานะการงานในปัจจุบันแล้วก็สถานการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้น จากเอม่าแล้วก็คนอื่นๆดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันจะไม่เป็นปัญหาอะไร พวกเขาขอบคุณผมกันยกใหญ่ ถึงจริงๆแล้วผมจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็เถอะส่วนเช็น ดูเหมือนจะพยายามอย่างจริงจังเพื่อที่จะสร้างทีวีขึ้นมาเธอกำลังพยายามสร้างเครื่องที่สามารถฉายภาพความทรงจำได้

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่พวกเราพักผ่อนในอะซโระเช็นก็ใช่สมาธิจดจ่ออยู่กับความคิดของเธอเธอนั่งคิดอะไรที่ไม่น่าเชื่อ อย่างพวกเครื่องบันทึก, HDD แล้วก็ DVD  เช็นได้ความคิดบางอย่างจากสิ่งของเหล่านี้ แล้วก็ตัดสินใจว่า จะไปเอาสิ่งของที่คล้ายกันมา  มันเป็นแท่งคริสตัลโปร่งใสที่น่าจะมีชื่อเรียกบางอย่างเป็นของมันเอง

ผมรู้สึกได้ว่ามันน่าจะเป็นที่ค่อนข้างมีค่ามากเลยหล่ะดูจากสิ่งที่เธอทำแล้ว ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะสังหรณ์ใจว่า อาจจะเกิดอะไรบางอย่างที่ไม่ดีขึ้นในอนาคตแต่ว่านะ ความทรงจำของคนหน่ะ มันเป็นสิ่งที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นภาพฉายออกมาได้ด้วยเหรอ?ด้วยคำถามนั้น

ผมก็เลยถาม’เช็น’ไป แต่ว่า’เช็น’บอกว่า สิ่งที่เรียกว่า ‘ความทรงจำ’ เป็นสิ่งที่ผู้คนเคยเห็นและจดจำมันมา เสร็จแล้วก็ลืมมันไป แต่ความทรงจำพวกนั้นก็ยังคงอยู่ในตัวพวกเขานั้นแหละถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า เธอคือคนคนเดียวที่สามารถเข้าไปจุ้นจ้าน บริเวณที่ความทรงจำยังไม่ศูนย์หายไปได้มันเป็นไปได้สำหรับเธอ ที่จะดึงความทรงจำที่แม้แต่คนคนนั้นลืมไปแล้วให้กลับมาได้

เป็นความสามารถที่มีประโยชน์จริงๆข้าคือ ‘เช็น’ สิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่ครอบครองความสามารถนี้ไว้ แต่ผมได้จำกัดให้เธอไม่สามารถส่องความทรงจำเมื่อไหร่ก็ได้อีกแล้ว ผมควรจะดีใจในเรื่องนั้นนะไม่ใช่แค่นั้น ดูเหมือนว่าภูเขาไฟที่พวกเรากำลังจะเดินทางไปนั้นที่นั้นมีเผ่าดวอร์ฟ(คนแคระ) อาศัยอยู่

ในที่สุด เผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ถึงจริงๆแล้วตอนนี้ ‘เช็น’เองก็อยู่ในร่างมนุษย์ก็เถอะถ้าหากพวกเขาเป็นแบบที่ผมคิดละก็ พวกเขาน่าจะมีเครายาว แล้วก็เป็นช่างตีเหล็กอีกด้วยถ้าหากสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกต้อง  ผมรู้สึกได้ว่า’เช็น’ จะต้องไปขอร้องให้พวกเขาทำคาตานะให้อย่างแน่นอนผมหล่ะสงสารพวกเขาจริงๆหลังจากที่ผมมองดูเหล่าออรค์ภูเขา ที่ถูกเธอสั่งแล้วก็พยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะทำชุดกิโมโนให้กับเธอ

ผมรู้สึกเหมือนกับจะร้องไห้ออกมาเลยแผนของ’เช็น’ที่อยากจะเพิ่มประชากร ผมเคยได้ยินมาก่อนแล้วถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตอนที่พวกเราออกจากอาณาเขตของสุดปลายของโลกได้สำเร็จพวกเราก็คงจะมีกองกำลังผสม ของเผ่าพันธุ์จากสุดปลายของโลกอย่างแน่นอนสถานที่แห่งนี่ เป็นดินแดนรกร้างซึ่งถูกเรียกว่าขอบโลก

ไม่ใช่แค่โด่งดังเท่านั้น แต่มันยังครอบคลุมพื้นที่ของโลก ในอัตราส่วนที่มากพอสมควรอีกด้วยในสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมรุนแรงแบบนี้ ผู้ที่อาศัยอยู่จะเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์ปีศาจที่แสนโหดร้าย หรือไม่ก็พวกอมนุษย์ ที่มีลักษณะนิสัยแปลกๆ

อย่างนึง หรือไม่ก็สองอย่างเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ก็อาศัยอยู่กันด้วยความเคยชิน และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เรียกได้ว่าสูงมากทีเดียว ถ้าหากพวกเขาหายไปจากโลกแล้วหล่ะก็ สมดุลของพลังงานในโลกใบนี้ก็คงจะสั่นครอน

” อืม.. ถ้าหากพวกดวอร์ฟ ใช้ภูเขาไฟเป็นแหล่งที่มั่นแล้วหล่ะก็ มันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ส่วนตัวผม ก็น่าจะจำเป็นต้องหลบเลี่ยงแฟล็กต่อสู้ให้ถึงที่สุดสินะ “

(มาโกโตะ)

พวกเรามาถึงจุดนี้แล้ว และพวกดวอร์ฟก็ไม่น่าจะต้องการพื้นที่ปลอดภัยด้วยเช่นกันยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังอาศัยอยู่ในภูเขาไฟอีกด้วย ใช่แล้ว สถานที่ที่เหมาะสมมากฉะนั้นมันจะต้องไม่มีอะไร จะต้องผ่านไปด้วยดีเช็นน่าจะทำอะไรสักอย่างนั้นแหละ

แต่ทำโดยไม่มีบอกกล่าวอะไรเลยอย่างแน่นอนผมรู้สึกได้ถึงความขนลุก ที่อยู่ดีๆก็ก่อตัวภายใต้ร่างกายของผมผู้หญิงที่บอกผมเกี่ยวกับเมืองลับแลแล้วก็ละครย้อนยุค และสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เธออยากจะทำ ผมไม่มีแรงจะหยุดเธอเลย

ยังไงก็ตาม ตอนนี้ผมอยู่ในสถานะที่ยังไม่รู้จะทำอะไร มากไปกว่าการไปให้ถึงถิ่นอาศัยของมนุษย์แม้ว่าผมจะไปที่อะโซระ  แต่สิ่งที่ผมจะทำที่นั้นก็คงจะมีแต่การฝึกซ้อม หรือไม่ก็จัดระเบียบสมดุลของพลังของผมผมรู้สึกตกต่ำ จริงๆนะ

พลังที่ผมใช้ตัวของผมเองเป็นศูนย์กลาง แล้วสร้างอาณาเขตขึ้นมารอบๆตัว ผมเริ่มที่จะศึกษามันอย่างจริงจังในแง่บวกมากขึ้นแล้วก็เป็นอย่างที่คิด ขอบเขตและพลังงาน ทำงานในอัตราส่วนที่ผกผันกัน แล้วจากนั้น เมื่อผมใช้งานมัน พลังเวทย์รอบๆตัว กลับไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเลย แม้แต่เช็นเอง ก็ไม่รู้สึกว่าผมกำลังใช้งานมันอยู่โคตรเนียน โคตรโกงสมกับเป็นหนึ่งในมิกิโกะจริงๆ

ท่านผู้ซึ่งสละพลังทั้งหมดแล้วมอบพลังนั้นให้กับผม

[กล่าวถึงสึคุโยมิ]

ในความเป็นจริง ผมเคยเรียกออร์คที่ได้รับบาดเจ็บมา แล้วสร้างอาณาเขตที่มีขนาดเพียงพอ สำหรับการให้คนสองคนเข้าไปอยู่ในนั้นได้ แล้วใช้เวทย์มนต์รักษาบาดแผลนั้น ผมเห็นบาดแผลหายวับไปกับตา ประสิทธิภาพของมันดีกว่าที่ผมคิดเยอะเลยผมเพิ่มความสามารถให้กับมันด้วยพลังเวทย์ แล้วผมก็สามารถหยุดดาบของออร์คภูเขาด้วยมือเปล่าได้

การเพิ่มความสามารถโดยใช้งานพลังเวทย์ ทำให้ร่างของผมเบาขึ้น มันให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆเวลาใช้มันในตอนนี้ ผมตัดสินใจที่จะเรียกมันชั่วคราวว่า ‘ซากาอิ(Sakai)’ (แปลว่าสนาม)

เมื่อผมใช้งานมันตอนนี้ผมสามารถปรับใช้มันกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผมได้ หมายความว่า มันจะยังคงมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ถ้าหากผมจะใช้มันเพื่อโจมตีตัวผมยังทำได้แค่นี้ ฉะนั้นแค่เพิ่มความสามารถได้ก็โอเคแล้วหล่ะนะผมได้รับอาวุธมาด้วยเช่นกันถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ

มันก็แค่คันธนูที่สร้างอย่างเร่งรีบ กับมีดทีใช้ในพีธีกรรมเท่านั้นดูเหมือนว่าเหล่าออร์คจะไม่ค่อยได้ใช้ธนูมากเท่าไหร่นัก ฉะนั้นที่หมู่บ้านของพวกเขา ก็เลยมีแต่คันธนูแบบขอไปทีอยู่เท่านั้นมันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรใช้เลยนั้นแหละ ผมเลยรับไว้ด้วยความยินดีมันเป็นคันธนูที่ ถ้าหากผมต้องการที่จะใช้งานมัน ผมจำเป็นจะต้องผ่อนแรงของผมลง ไม่อย่างนั้นมันจะต้องหักอย่างแน่นอน

เวทย์บริดที่ผมใช้ใส่เช็นนั้น ผมฝึกใช้มันมากขึ้นกว่าเดิม แล้วถ้าหากผมจำเป็นจะต้องใช้อาวุธหล่ะก็ ผมก็จะใช้มัน..  บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า ผมเริ่มจะเข้าใจความหมายของการร่ายคาถาเวทย์มนต์มากขึ้น แต่ผมรู้สึกได้ว่าการฝึกฝนก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเช่นกันหรือบางที ความสามารถ ‘หยั่งรู้’

ที่ยัยแมลงนั้นมอบให้กับผม จะมีประโยชน์มากกว่าที่ผมคิด?ตอนที่ผมพยายามจะถามถึงผู้ที่เป็นคนสอนเวทย์มนต์ให้กับผม ซึ่งก็คือเอม่า เธอบอกกับผมว่า เธอก็แค่ร่ายตามคำที่จดจำได้ แต่เธอไม่เข้าใจว่าพวกมันมีความหมายว่าอะไร การที่ผมสามารถเข้าใจภาษาการร่ายเวทย์มนต์พวกนั้นได้ บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะ พลังที่ยัยแมลงนั้นมอบให้กับผม พลัง ‘หยั่งรู้’

ต่อมา นอกจากคันธนูแล้ว สิ่งที่ผมได้รับมาจากพวกออร์คมันยังเป็นมีด ที่พวกเขาขอร้องให้ผมรับมันอาไว้ มันดูเหมือนมีดระดับสูงเลยทีเดียวมันเป็นมีดที่ถูกตกแต่งไปด้วยเครื่องประดับมากมาย ที่ไม่น่าใช่ของที่พวกออร์คสร้างขึ้นมีดเล่มนี้ ไม่ถึงกับโปร่งใสหรอก แต่มันเป็นมีดสีน้ำเงิน ที่น่าจะถูกสร้างมาจากเหล็กที่มีคุณสมบัติความโปร่งใสสูง

พอมันสะท้อนเข้ากับแสงจากดวงอาทิตย์ บอกได้คำเดียวเลยว่า มันงดงามมากด้ามมีดถูกสร้างขึ้นจากวัสดุที่มีคุณภาพ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหล็ก มันก็ให้ความรู้สึกสบายเวลาถือมันไว้ในมือของผม ราวกับว่ามันเป็นหินมากกว่าจะเป็นเหล็ก  ถ้านับจากสิ่งที่ผมเคยเห็นมา ไม่มีอะไรงดงามเท่ามีดเล่มนี้อีกแล้วมันถูกสร้างมาจากวัตถุดิบที่เร้นลับมากถ้าหากดูจากการออกแบบแล้ว

เครื่องประดับและลวดลายที่ถูกแกะสลักไว้ที่คมมีดนั้น ความยาวทั้งหมดน่าจะประมาณ 15 เซนติเมตร ส่วนขอบนั้นครอบคลุมทั้งหน้าและหลัง ยาวถึง 30 เซนติเมตรหรือมากกว่านั้นพวกเขาบอกกับผมว่า มันมีไว้ใช้สำหรับงานพีธีหรืออะไรทำนองนั้น ฉะนั้นมีดนี้ น่าจะเป็นมีดที่ไว้ใช้สำหรับประกอบพิธี หรือที่พวกเขาเรียกกันว่า มีดอะตาเมะหรือมีดดำ*

[*Athame Knife  คือมีดที่มีด้ามจับสีดำ เป็นเครื่องมือวิเศษไว้ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรม]

ความคมของมันนั้นเรียกได้ว่าดีเยี่ยม ผมเลยตัดสินใจที่จะใช้มัน ถ้าหากผมต้องต่อสู้ในระยะประชิด แต่ผมก็ลังเลเล็กน้อยที่จะกวัดแกว่งมันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ผมมี  เพราะลวดลายแล้วก็การออกแบบของมัน เป็นศิลปะที่งดงามมากนั้นแหละปลอกมีดเองก็โปร่งใส แล้วดูเหมือนจะทำมาจากวัสดุที่มีสีขาว

ในส่วนนี้เองก็เช่นกัน ที่ผมเห็นถึงความละเอียดอ่อนของผู้เชี่ยวชาญที่สร้างมันขึ้นมา ผมคิดว่ามันน่าจะทำมาจากกระดูก หรืออีกสักอย่างที่ใกล้เคียงกันสำหรับมีดที่ใช้กันอย่างปกติ มันทำมาดีทีเดียว ผมอาจจะเรียกมันว่ามีดในพีธี แต่มันใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลายเลยหล่ะ ถ้าหากผมจำเป็นจริงๆหล่ะก็ ผมสามารถเปลี่ยนมันเป็นเงินได้อีกด้วย ฉะนั้นผมจะต้องดูแลมันเป็นอย่างดี

[เดี๋ยวๆ เอาจริงสิ?!]

” ตอนนี้ ผมก็ควรจะเดินทางไปพร้อมๆ กับให้ความร่วมมือกับเช็น ปัญหาก็คือ ผมจะทำอะไรต่อไปหล่ะ หลังจากที่ผมได้พบกับมหนุษย์ แล้วก็สำรวจโลกใบนี้แล้ว “

(มาโกโตะ)

ผมแกว่งนิ้วมือข้างขวาของผมไปรอบๆ  ที่ปลายนิ้วมีลูกบอลหลากสีอยู่แดง น้ำเงินเข้ม แล้วก็เหลือง กำลังหมุนไปรอบๆนิ้วผมพยายามที่จะผสมธาติชนิดต่างๆลงไปใน บริด แล้วก็สร้างมันขึ้นมาดูเหมือนว่า บริด จะใช้ทำอะไรได้หลายอย่างเลยแฮะบริด ปกติแล้วจะใช้เพื่อยิงบอลเพลิงไปใส่ศัตรู

แต่ว่า ผมลองพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของมันไปเรื่อยๆตัวอย่างเช่น ทำให้มันกระจายออก คล้ายๆกับกระสุนปืนลูกซอง  ตอนที่ผมจัดระเบียบการร่ายใหม่มันก็ออกมาเป็นสกิลที่แตกต่างจากรูปแบบเดิมอย่างสิ้นเชิงถ้าหากผมปรับเปลี่ยนการใช้งานแล้วก็ผลลัพธ์ของบริดบางส่วน ผมสามารถเปลี่ยนมันเป็นสกิลที่น่าสนใจหลายอย่างได้ตามที่ใจผมต้องการเลย

มันน่าจะเป็นธรรมชาติของมัน หรือไม่ก็เหมือนกับกำลังเรียนวิชาคำนวณในแหล่งกำเนิดของมัน อะไรแบบนั้นแหละในหลายวันที่ผ่านมา มันไม่ค่อยมีอะไรผมทำเลย ผมก็เลยใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนเวทย์มนต์แล้วมันก็คือเวทย์มนต์พื้นฐานของทั้ง ไลท์ และ บริด

อยู่ด้วยผมคิดถึงเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่ว่า แก่นแท้ของการร่าย บริด ก็คือการเรียกใช้ ไฟแล้วแก่นแท้ของการร่าย ไลท์

* ก็คือการเรียกใช้ แสง*

ผมคิดไว้แบบนั้นถึงแม้ว่าผมจะลองพยายามร่าย ‘ไฟ’ ให้กลายเป็น ‘แสง’ มันก็ไม่ยอมเปลี่ยนเป็น แสง อยู่ดีมันอาจจะหมายถึงว่า ยังมีเรื่องที่ผมต้องเรียนรู้อีกเยอะก็เป็นได้

[จากเว็บแปลอังกฤษเขาเขียนเป็นคำว่า Light ทั้งสองคำเลยครับ ดูเหมือนว่าตัวภาษาญี่ปุ่นเองจะเป็นแสงเหมือนกันทั้งสองคำ แต่ความหมายนั้นต่างกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงๆหมายถึงอะไรก็เลยขอใช้เป็น ไลท์ กับ แสง แยกกันเลยละกันนะครับ]

พื้นฐานของการร่ายคาถาประเภทเวทย์มนต์รักษา ยังไม่มีใครสอนผม ผมก็เลยยังไม่ได้ลองใช้มันดู แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ผมอาจจะสามารถเปลี่ยนเวทย์มนต์รักษา เป็นเวทย์มนต์ประเภทล้างสถานะได้*

[น่าจะหมายถึงพวกอาการติดพิษหรืออมพาตครับ]

ผมมั่นใจว่า การร่ายคาถาเป็นสิ่งที่ถูกจัดเตรียมขึ้นมาก่อน เหมือนกับว่ามันคือต้นกำเนิดของเวทย์มนต์ก็ว่าได้ ดังนั้นตอนแรก ผมเลยกลัวเล็กน้อยที่จะลองใช้มัน แต่ว่าผมก็ยินดีกับผลลัพธ์ที่ได้เช่นกันการได้รู้ถึงสูตรหลักของเวทย์มนต์ แล้วก็สามารถควบคุมมันได้ ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากในโลกใบเดิมของผม

ผมไม่มีอะไรดีเลยในวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ แต่ก็อย่างว่าแหละ ไม่มีใครรู้เลยว่าอะไรจะเป็นตัวดึงความสนใจของแต่ละบุคคลออกมา ซึ่งตอนนี้ผมกลับชื่นชอบมันไปซะแล้วอุ๊บ มันเหลือแต่สีน้ำเงินแล้วก็หายไปอีกแล้ว หรือว่าลำดับของมันคือ เหลือง แดง แล้วก็ดำ?ธาตุสีเขียว หรือก็แค่ธาตุลม ผมไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้เลย

ดูเหมือนว่าความสามารถในเรื่องธาตุของผมจะไม่ได้ไปทางธาตุสายนั้น  แต่ดูเหมือนว่าธาตุบางอย่างที่ผมคิดว่าคือ ไฟฟ้า ผมจะไม่สามารถควบคุมมันได้ด้วยเช่นกันผมกำลังตรวจสอบว่าธาตุไหนเป็นธาตุที่เหมาะกับผม และดูเหมือนว่าอันดับหนึ่งคือ ธาตุสีน้ำเงิน หรือธาตุน้ำ อันดับต่อมาคือสีดำ หรือธาตุมืด แล้วจากนั้นก็ไฟ แล้วจบลงที่ไฟฟ้า

ถ้าให้พูดถึงไฟฟ้าหล่ะก็ ผมรู้สึกว่าผมสามารถใช้มันได้เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากใช้มันแบบจริงจังหล่ะก็ หนทางยังอีกยาวไกลมันยังมีธาตุชนิดอื่นอีก แต่ดูเหมือนว่าธาตุน้ำจะเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยถึงแม้ว่าพลังเวทย์มนต์ของผมจะเข้าขั้นโกงก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าความสามารถในการควบคุมธาตุของผมจะไม่ได้โกงแฮะในอะโซระ

ผมฆ่าเวลาด้วยการนั่งฝึกเวทย์มนต์อยู่ในเต้นท์ตอนที่ผมคิดว่าจะไปช่วยพวกออร์คซะหน่อย  ‘เช็น’ก็เข้ามาหยุดผม แล้วตอนนี้ผมก็เลยไม่เหลืออะไรให้ทำ

ชิส์… ในวันแบบนี้ ผมควรจะหาข้ออ้างแล้วก็เป็นอิสระสิ!

ผมถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนแห่งนี้ แต่ผมไม่ใช่พวกประเภทที่ ชอบที่จะยืนอยู่เหนือหัวของคนอื่นซะหน่อยยิ่งไปกว่านั้น บ้านแต่ละหลังก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง แล้วตอนนี้พวกเราก็อาศัยอยู่ในเต้นท์ ผมไม่อยากมองเห็นตัวเองเป็นพวกใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์เลยพวกออร์คภูเขาได้นำหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านของพวกเขามาด้วย

ถ้าไม่นับบ้านที่ได้รับความเสียหายหล่ะก็ทุกๆคนต่างก็มีบ้านพักอาศัยกันหมดแล้ว  มีแค่ผมกับเช็นเท่านั้น ที่ต้องอาศัยอยู่ในเต้นท์ในเต้นท์ที่ผมอยู่ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้างในนั้นมีรูปภาพที่เป็นซีรี่ย์ของละครย้อนยุคอยู่ด้วยแล้วยังมีเครื่องฉายภาพเต็มไปหมดทั้งเต้นท์อีก  เห็นได้ชัดเลยว่าเช็นเป็นคนทำ

” หือ? “

(มาโกโตะ)

หนึ่งในนั้นหนึ่งในนั้นมีรูปภาพที่ไม่เกี่ยวข้องกับละครย้อนยุคอยู่ด้วย

” ภาพของครอบครัวผมงั้นเหรอ “

(มาโกโตะ)

มันเป็นภาพถ่ายของตระกูล มิซุมิ ทั้งหมดมันเป็นภาพถ่ายที่ถูกถ่ายตรงทางเข้าบ้าน ผมจำได้ว่าทุกๆปี คุณพ่อจะชอบสร้างปัญหา เพราะต้องการถ่ายรูปครอบครัวสักใบหนึ่ง  แต่สุดท้ายพวกเราก็ถ่ายด้วยกันทุกปีในความจริง พวกเขาไม่แม้แต่จะยอมให้พวกเราออกไปเที่ยวกับเพื่อน ทั้งช่วงวันคริสมาส รวมไปถึงวันปีใหม่มันเป็นเรื่องราวที่ทำให้พวกเราถึงกับท้อเลยหล่ะ

คุณแม่ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย’ ถ้าหากจะไปเที่ยวกับเพื่อนหล่ะก็ จะต้องเชิญเพื่อนของพวกเธอมาเที่ยวที่บ้านของเรา ‘ คือสิ่งที่พวกเขาพูดมันเป็นแบบนั้นตลอดเดือนมกราคม รวมไปถึงวันคริสมาส

ฮือ ฮือออ มันทำให้คิดถึงความหลังขึ้นมาพวกเรายืนกันเรียงเป็นลำดับ จากทางซ้ายคือพ่อของผม ต่อมาคือพี่สาวของผมยูกิโกะ

* ตรงกลางคือน้องสาวคนเล็กชินริ ตามด้วยผม แล้วสุดท้ายก็แม่ของผม[ที่ตอนแรกสุดผมแปลไปว่ามาโกโตะมีน้องสาวสองคน ขอแก้เป็น มีพี่สาวหนึ่งแล้วก็น้องสาวหนึ่งนะครับ]

มันเป็นรูปถ่ายล่าสุด รูปถ่ายที่เพิ่งถ่ายในปีนี้

” นั้นสินะ ภาพนี้ก็คงไม่เพิ่มจำนวนขึ้นอีกแล้ว เพราะนี่เป็นภาพสุดท้ายแล้ว “

(มาโกโตะ)

แย่หล่ะ ผมว่าผมจะลืมมันได้แล้วนะถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้เข้าสังคมก็เถอะผมสามารถเข้าใจได้ว่ามนุษย์นั้น ไม่มีทางที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้พอผมคิดถึงผู้คนรอบๆตัว และอนาคตของพวกเขา  ผมก็รู้สึกได้ถึงความเสียใจที่ค่อยๆก่อตัวในร่างกายของผมครอบครัวของผม เพื่อนของผม สหายที่ชมรม

” พอ พอออ! คิดแบบนี้มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย “

(มาโกโตะ)

มันไม่มีความหมายเลยที่จะไปคิดถึงมัน รังแต่จะทำให้ตัวผมเองรู้สึกเศร้าเปล่าๆไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะจริงด้วย ถ้าหากผมมีรูปภาพครอบครัวของผมแบบนี้หล่ะก็

” มันค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ถ้าหากผมใช้ภาพภาพนี้เพื่อค้นหาว่า ครอบครัวของผมทำอะไรไว้ในโลกใบนี้บ้าง “

(มาโกโตะ)

มันเป็นสิ่งที่ผมจะทำ หลังจากออกไปจากดินแดนขอบโลกนี้ได้ ผมก็แค่ทำเป็นไม่ใส่ใจคำเตือนของเทพธิดาก็แค่นั้น เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะออกไปจากดินแดนรกร้างนี้ถ้าหากใช้ความทรงจำที่อยู่ในภาพนี้เป็นพื้นฐาน แล้วขอให้ใครสักคนวาดพวกของออกมาเป็นรูปภาพผมน่าจะตามรอยครอบครัวของผมได้

ถ้าหากผมได้รูปภาพพวกเขาโดยตรงเลย มันก็จะดียิ่งกว่านี้ไปอีกโอ้ มันเริ่มน่าสนใจแล้วสิตอนนี้ผมมีเป้าหมายแล้ว ว่าจะทำอะไรระหว่างเดินทางไปรอบโลก ไม่น่าจะเบื่อได้ง่ายๆอย่างแน่นอนโอเค ผมตัดสินใจแล้ว!

” เอาหล่ะ ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว “

(มาโกโตะ)

ผมควรจะเริ่มหาคนที่วาดรูปได้เก่งก่อน  อันดับแรกผมต้องไปหาคุณออร์ค คนที่ดูแล้วน่าจะวาดภาพสเก็ตช์ได้ ถ้าหากภาพยังไม่ดีพอหล่ะก็ ผมก็แค่ต้องไปหามหนุษย์สักคน แล้วจ้างให้เขาวาดให้ด้านศิลปะของผมนั้นมันแย่มาก ฉะนั้นถ้าจะให้ตัวผมนั้นวาดเอง มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ผมเรียนวิชาศิลปะตอนอยู่ชั้นประธม บอกได้คำเดียวว่ามันห่วยมาก

หึๆๆ ในที่สุดผมก็มีเป้าหมายสักที

” มันออกจะเร็วไปหน่อย แต่ว่าเดินทางต่อกันดีกว่า♫ “

(มาโกโตะ)

เมื่อผมเดินออกจากเต้นท์ แล้วเดินไปยังประตูทางออกที่เช็นสร้างขึ้น ถึงจะเรียกว่าประตูก็เถอะ แต่มันไม่ใช่สิ่งก่อสร้างอะไรหรอก มันก็แค่หมอกที่มีแสงระยิบระยับ

” เจ้านาย~ “

(เช็น)

นั้นเสียงของ’เช็นสิ’นะ

อ่า..จริงด้วยสิ  ผมควรจะให้ชื่อกับเธอเร็วๆนี้’เช็น’เอาแต่ทำตัวงอแงว่าอยากจะได้ชื่อใหม่  จนผมต้องบอกเธอว่า เรียก’เช็น’เหมือนเดิมนั้นแหละดีแล้ว  แต่เธอกลับเถียงแถบจะขาดใจ  แต่ตัวผมเองไม่คิดว่า’เช็น’เป็นชื่อที่แย่นะผมเลยคิดชื่อ ที่เหมือนจะเป็นฉายาให้เข้ากับความสามารถในการสร้างภาพมายาของเธอแทนเงามายา ความฝันลวงตา แล้วก็อื่นๆอีกมากมาย

แต่เธอก็ปฏิเสธมันจนหมดด้วยท่าทางที่น่ากลัวเอามากๆยัยตุ๊กแกบินได้นี่ต้องการอะไรเนี่ย?

สรุปคือ เธอต้องการชื่อที่มีลักษณะเป็นของคนญี่ปุ่นเหรอ?เธอเป็นคนญี่ปุ่นเหรอไง ไม่สิ คนเอโดะมากกว่าถ้าแค่ชื่อใกล้เคียงก็พอใจแล้วหล่ะก็ ผมควรจะเรียกเธอว่า ‘คิโยฮิเมะ'(เจ้าหญิงอสรพิษ)* เลยดีไหม?

[คือเจ้าหญิงของเมืองหนึ่งตามตำนานของญี่ปุ่น ที่สามารถกลายร่างเป็นอสรพิษหรือมังกรได้]

จากนั้น

” โอ~ มีอะไรเหรอคะ? จะเดินทางเร็วกว่ากำหนดเหรอ? “

(เช็น)

ผมมองไปยังต้นตอของเสียงนั้นตรงนั้นมีเช็นยืนอยู่เธอกำลังอุ้มใครบางคนที่มี่เส้นผมปกคลุมไปทั่วทั้งตัว และดูเหมือนจะบาดเจ็บหนักอยู่ หญิงสาวร่างสูงที่สง่างาม กำลังอุ้มชายแก่ที่มีผมรุงรัง ด้วยท่าทางการอุ้มแบบเจ้าสาวช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดผมกำลังมองอะไรอยู่เนี่ยผมหันหัวหลบด้วยสัญชาตญาณของผมอย่างอัตโนมัติ

อ่าห์~

ผมกระตือรือร้นที่จะเดินทางต่อมากแค่ไหน รู้ไหม?อุปสรรคมันไม่ควรจะมาติดๆกันแบบนี้จริงไหม?! ผมเพิ่งผ่านการต่อสู้ระดับบอสมาแท้ๆ ฉะนั้นตอนนี้ ต้องเป็นช่วงเวลาพักผ่อน จริงไหม?!

” ข้าคิดว่า ท่านควรจะเก็บเรื่องอื่นไว้ทีหลังนะ “

(เช็น)

” เหตุผลคือ คนคนนั้นเหรอ? “

(มาโกโตะ)

ผมรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสมและหยาบคาบ แต่ผมก็ยังชี้นิ้วไปยังชายแก่คนนั้นเพราะอะไรก็รู้กันอยู่ มันทนดูไม่ได้!

” ใช่ ข้าเองก็คิดเช่นกัน  ไม่เหมาะกับสายตาเลยสินะ “

(เช็น)

แต่ดูเหมือนว่า’เช็น’กลับดูไม่เร่งรีบอะไรเลย

” คราวนี้เรื่องอะไรหล่ะ? “

(มาโกโตะ)

” ศัตรูบุก “

(เช็น)

อยู่ดีๆ เช็นก็พูดเรื่องไร้สาระบางอย่างขึ้นศัตรูบุก~ ศัตรูบุก~ นั่นคือสิ่งที่เธอพูด?!

” เดี๋ยวก่อนสิ ไม่ใช่ว่านี่คือโลกของเธอเหรอ? เธอกำลังจะบอกว่าใครมาบุกโจมตี? “

(มาโกโตะ)

ที่นี่คืออะโซระ โลกใบอื่นที่อยู่ข้างในโลกใบอื่นอีกทีทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็น มีศัตรูมาบุกซะอย่างนั้น  จริงๆเลย ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจทีได้ไหมยัยคนที่เคยเป็นงู(มังกร)มาก่อนขอโทษครอบครัวไก่ฟ้ากับงู ของเธอเดี๋ยวนี้เลย!

[อันนี้ผมไม่รู้ว่าคืออะไรนะครับ คนแปลอังกฤษบอกว่าน่าจะเป็นต้นกำเนิดของเช็น]

” อืม.. ครั้งนี้มันค่อนข้างจะพิเศษหน่อย เพราะมันเอาแต่หิวอยู่ตลอดเวลา… โอ้ มันมาแล้ว “

(เช็น)

” ทำไมเธอพูดอย่างกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้น?! “

(มาโกโตะ)

” นายท่าน “

(เช็น)

ตอบคำถามผมด้วยสิ! เดี๋ยวนะ.. นายท่าน? เธอกำลังพาดพิงผมอยู่เหรอ?

” ตรงนั้น “

(เช็น)

” เอ๋? “

(มาโกโตะ)

ร่างที่มีขาสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งเหมือนกับภาพ CG   กำลังแทรกมิติเข้ามายังที่แห่งนี้เหมือนกับพยายามจะเจาะ แล้วก็พังมันเข้ามาเมื่อขาหลายข้างทะลุเข้ามาได้แล้ว ในความมืดมิดที่เป็นรอยต่อของมิติผมมองเห็นเขี้ยว ที่น่าจะเป็นของมด ไม่ก็ตัวต่อ

แล้วมันก็กระโดดเข้าใส่ผม ที่กำลังยืนอึ้งอยู่

” จะพยายามกินผมอีกแล้วเรอะ! ตัวผมมันน่ากินแค่ไหนกัน?! “

(มาโกโตะ)

ผมส่งเสียงกรีดร้อง ต่อสถานการณ์ที่เหมือนกับตอนที่ผมเจอ’เช็น’เป็นครั้งแรก

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments