I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 1 : ไป่หยุนเฟย

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 2475 | 2357 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ปี 2008 ศักราชเทียนหุน จักรวรรดิเทียนหุน จักรวรรดิเดียวแห่งทวีปเทียนหุน มณฑลฉิงหยุน ยามสนธยา ณ เมืองลั่วซี

“เฮ้อ! ในที่สุดก็เลิกงาน วันนี้ได้รับค่าแรง 23 เหรียญทองแดง เย็นนี้ข้ากินซาลาเปาเพิ่มได้อีกลูกหนึ่ง…”

ชายหนุ่มแต่งกายมอมแมมใบหน้าเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเดินผ่านตรอกมืดสลัวขณะที่ประคองตัวเองไปตามกำแพง มันนวดไหล่พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

‘ไป่หยุนเฟย’ อายุ 18 ปี สูง 175 เซนติเมตร ไว้ผมทรงเรียบง่าย ใบหน้าเรียว จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาใสกระจ่าง แม้ไม่อาจบอกได้ว่าหล่อเหลา แต่อย่างน้อยรูปร่างหน้าตาก็ไม่ทำให้ผู้คนรังเกียจ เนื่องด้วยเป็นกรรมกรใช้แรงงานมาหลายปีจึงมักเดินหลังค้อมราวกับรอรับคำสั่ง ร่างกายของมันนับว่าแข็งแรงแต่เพราะความอดอยากมานานทำให้แลดูซูบผอม

หลังจากตรากตรำมาทั้งวัน ยามนี้มันเพียงต้องการซื้อซาลาเปาสักหลายลูกมาเติมกระเพาะแล้วกลับไปซุกหัวนอนที่บ้านผุพังของมัน ‘บ้าน’ ที่มันอาศัยอยู่ลำพังมา 9 ปี

นับแต่จำความได้’ไป่หยุนเฟย’ไม่เคยพบหน้าบิดา มารดาและท่านปู่ล้วนไม่เคยพูดถึงบิดา มารดาของมันล้มป่วยและสิ้นลมไปเมื่อมันอายุได้ 5 ขวบ ทิ้ง’ไป่หยุนเฟย’และปู่ที่แก่ชราซึ่งฝากชีวิตแก่กัน แต่คราวเคราะห์ก็ยังไม่ละเว้นครอบครัวของ’ไป่หยุนเฟย’ ขณะที่กำลังตั้งแผงขายรองเท้าฟางปู่ของมัน’ขวาง’ทางของผู้สูงศักดิ์อายุเยาว์จากตระกูลมั่งคั่งจึงถูกทุบตีอย่างทารุณจากข้าทาสบริวารของเด็กหนุ่มนั้น หลังจากนั้นไม่นานชายชราก็จาก’ไป่หยุนเฟย’ไป

ปีนั้น’ไป่หยุนเฟย’อายุเพียง 9 ขวบ

สิ่งที่เกิดขึ้นพบเห็นได้ทั่วไปในทวีปเทียนหุน ชีวิตของชาวบ้านโดยเฉพาะเช่นคนในครอบครัวของ’ไป่หยุนเฟย’ ไร้ที่ดิน ว่างงาน และมีเพียงบ้านเล็กซอมซ่อที่แทบอาศัยอยู่ไม่ได้ ล้วนไม่มีค่าแม้แต่สตางค์แดงเดียวในสายตาของผู้สูงศักดิ์และร่ำรวย

ด้วยอายุเพียง 9 ขวบ ‘หยุนเฟย’ที่ต้องอยู่เพียงลำพังจารึกความรักของมารดาและความเมตตาของท่านปู่ไว้ในจิตใจและความรู้สึก มันกัดฟันทนมีชีวิตอยู่ต่อไป

หลังจากวิงวอนอยู่สองวันสองคืนจึงได้งานเป็นพนักงานของร้านค้าข้าวขนาดใหญ่ ไม่ต้องคาดคิดถึงจิตใจของเถ้าแก่ร้านว่าดีงามเพียงใด เถ้าแก่ไม่เคยให้เงินแก่ผู้ใดเป็นพิเศษแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง ก่อนหน้านี้’ไป่หยุนเฟย’เพียงได้รับค่าแรงเป็นเงินไม่กี่เหรียญทองแดงต่อวัน

หลายครั้งที่’ไป่หยุนเฟย’คิดว่าไม่อาจแบกรับอีกต่อไป ทุกคืนต้องขดตัวในบ้านซอมซ่อที่ลมพัดผ่านได้ทั่วและหลั่งน้ำตาเพียงลำพัง แต่ทุกครั้งที่ร่ำไห้จนหลับไปจะฝันถึงท่านปู่ลูบหัวมันอย่างอ่อนโยนและสานรองเท้าฟางพลางสอนสั่ง มารดาโอบกอดมันแนบอกและชี้ไปยังหมู่เมฆขาวบนท้องฟ้าพร้อมกล่าวว่า

“วันหนึ่งเมื่อหยุนเฟยน้อยของมารดาเติบใหญ่จะเป็นดั่งเมฆขาวบนนภา ล่องล่อยอย่างเสรีไร้กังวล”

วันต่อมามันจะปาดน้ำตา กัดฟันแบกกระสอบข้าวสารที่หนักอึ้ง มันแบกข้าวสารมา 9 ปีแล้ว ระหว่าง 9 ปีนี้’ไป่หยุนเฟย’ได้สัมผัสธรรมชาติอันปลิ้นปล้อนของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เข้าใจลึกซึ้งถึงความเดียวดายของโลกใบนี้ มันทำงานอย่างหนักทุกวันฝากชีวิตไว้กับสองมือสองเท้าบนหนทางที่แสนต่ำต้อย

แท้จริงแล้วมีคนธรรมดาสามัญมากมายอย่างมันในสังคมระดับล่างสุด แต่ภายใต้แรงกดดันส่วนมากจะเลือกเดินในทางมิจฉาชีพ อย่างไรก็ดี’ไป่หยุนเฟย’ไม่เคยข้องแวะและไม่คิดจะข้องเกี่ยว ทุกๆเหรียญทองแดงและอาหารทุกมื้อมันต้องแบกข้าวสารเพื่อแลกมา เพราะมันให้คำมั่นต่อท่านปู่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ

ผู้คนมากมายเย้ยหยันความดื้อรั้นของ’ไป่หยุนเฟย’

“สัตย์ซื่อ? อย่าพูดน่าหัวร่อดีกว่า ในโลกความจริงที่แสนโหดร้ายคนสัตย์ซื่อเป็นเพียงเศษสวะไร้ค่า”

แต่’ไป่หยุนเฟย’ไม่ได้นำพาพวกมัน มันยังคงใช้ชีวิตเดียวดายมาถึง 9 ปีไม่ว่าฐานะจะต่ำทรามเพียงใด งานต้อยต่ำเพียงใด และฐานะยากไร้เพียงใด ด้วยความสัตย์ซื่อ

“ตอนนี้ร่างกายข้าแข็งแรงกว่าแต่ก่อนแล้ว ต่อไปข้าจะแบกกระสอบข้าวสารให้มากขึ้น แล้วข้าจะเก็บออมเงินทองและซ่อมหลุมศพให้มารดากับท่านปู่…”

‘ไป่หยุนเฟย’ครุ่นคิดขณะก้าวเดิน หลังจากตบดูเหรียญทองแดงในอกเสื้อมันเร่งฝีเท้าขึ้น ทางออกจากตรอกอยู่ไม่ไกล ซื้อซาลาเปาสักหลายลูกแล้วจึงกลับบ้าน

ทันใดนั้นเอง ขณะที่มันเดินก้มหน้า ไม่ได้สังเกตว่ามีรอยแยกตัดเปิดกลางที่ว่างเปล่าด้านหลัง มวลของหมอกสีดำมากมายลอยออกมา บรรดามวลเหล่านั้นดูเหมือนจะโอบล้อมตำราอยู่ด้วย… ไม่ทราบว่าบังเอิญหรือจงใจกลุ่มหมอกสีดำและตำรานั้นกลับลอยไปยังทิศทางของ’ไป่หยุนเฟย’ พวกมันพุ่งเข้าสู่ร่างกายของ’ไป่หยุนเฟย’ในชั่วพริบตา

‘ไป่หยุนเฟย’รู้สึกสมองว่างเปล่าจากนั้นหมดสติและล้มลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง  ขณะที่มันล้มกระแทกพื้น มวลอากาศโปร่งแสงพุ่งออกมาจากรอยแยกที่ยังไม่ปิดอย่างเร่งรีบ มันลอยตรงไปยัง’ไป่หยุนเฟย’ แต่แทนที่จะเข้าสู่ร่างกายของมันมันกลับโอบล้อมทั่วร่างของมัน

การดำรงอยู่ในโลกของสรรพสิ่งล้วนถูกกำหนดด้วยกฎเกณฑ์ของแต่ละโลก เมื่อพยายามจะข้ามไปยังโลกอื่นจะถูกปฏิเสธและกำจัดด้วยกฎของโลกนั้น อย่างไรก็ดีเมื่อวางแผนจะเข้าสู่โลกใดก็ต้องทำตัวให้กลมกลืนด้วยกฎของโลกนั้น

เศษชิ้นส่วนวิญญาณและตำราทักษะเริ่มหลอมรวมกับไป่หยุนเฟยทันทีที่เข้าสู่ร่างกายของมัน จากนั้นพลังที่ควบคุมกฎเกณฑ์ของโลกห่อหุ้มร่างของไป่หยุนเฟยเพียงชั่วครู่ หลังจากทำลายชิ้นส่วนวิญญาณเล็กๆที่ไม่อาจหลอมรวมกับร่างของ’ไป่หยุนเฟย’ได้ก็สาบสูญไปในอากาศทันทีราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

ดูภายนอก’ไป่หยุนเฟย’ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มันยังคงนอนอยู่บนพื้นราวกับหลับสนิท

ราว 10 นาทีต่อมา

มันขยับตัวแล้วลุกขึ้นนั่ง แต่ใบหน้ามันเต็มไปด้วยความงุนงง แววตาสับสน เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่คืนสติ หลังจากนั่งมึนงงอยู่นาน มันยันตัวเองกับกำแพงและยืนขึ้น มันตบศีรษะตนเองเบาๆ ดูเหมือนมันพูดพึมพำกับตัวเองแต่ก็ดูเหมือนมันกำลังพูดกับใครบางคน

 “ฉันคือถังหลง… ไม่ ข้าคือไป่หยุนเฟย”

“ฉันมาจากโลก… ไม่… ข้ามาจากทวีปเทียนหุน…”

“ฉันคือนักเดินทางข้ามมิติ… ข้าคือชาวบ้านในเมืองลั่วซี”

“น้ำประกอบด้วยไฮโดรเจนและออกซิเจน…”

“สะสมเงินเพื่อซ่อมหลุมศพมารดาและท่านปู่…”

แม้ว่าเศษชิ้นส่วนวิญญาณไม่มีจิตสำนึกแต่ก็ประกอบจากเศษความทรงจำนับไม่ถ้วนซึ่งหลอมรวมเข้ากับ’ไป่หยุนเฟย’ ทำให้มันความทรงจำสับสนชั่วขณะ มันเดินโซเซไปตามถนน ที่จริงแล้วนี่เป็นปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึก สติมันยังคงสับสนจึงไม่ทราบเลยว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่…

ชาวบ้านที่สัญจรบนถนนล้วนหลีกทางไปด้านข้างของถนนด้วยความหวาดกลัวขณะที่กลุ่มคนสิบกว่าคนมุ่งหน้ามาจากประตูเมืองตะวันออก

สองคนที่นำหน้าคนด้านซ้ายเป็นชายหนุ่มรูปงาม มันแต่งกายงดงามและใบหน้าหล่อเหลา ผมยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง ถือพัดจีบในมือและโบกเบาๆอย่างสบายอารมณ์ มันชี้ไปยังร้านค้าและแผงลอยริมถนน ดูเหมือนมันกำลังแนะนำบางอย่างแก่คนข้างๆ มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างพอใจเป็นระยะ ท่าทางปลอดโปร่งและสูงส่ง แต่ก็แฝงความเย่อหยิ่ง

ข้างกายมันเป็นหญิงสาวผมยาวในชุดยาวหรูหราสีคราม รูปร่างนางเพรียวบาง ใบหน้าขาว ปากดั่งผลเชอรี่และจมูกดั่งหยก ดวงตากลมโตของนางมองตามการชี้ชวนของของชายหนุ่ม ชมดูรอบข้างอย่างเพลิดเพลิน

ด้านหลังพวกมันไม่ไกลชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำเดินไพล่หลังทอดน่องช้าๆ ดวงตามองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม ผู้คุ้มกันสองคนด้านข้างแต่งกายดังคนทั่วไป สะพายดาบยาวที่ข้างเอว ดูเหมือนติดตามมันอย่างสะเปะสะปะ แต่ตาของพวกมันกวาดมองฝูงชนเป็นครั้งคราว ใครที่สบตาพวกมันต้องหันหลังหลบเลี่ยงด้วยใบหน้าหวาดกลัว

ห่างออกไปด้านหลังกลุ่มคนแต่งกายดังคนรับใช้แบกหีบขนาดใหญ่ แม้หีบจะดูหนักแต่คนเหล่านี้กลับเดินอย่างปลอดโปร่ง เห็นได้ชัดว่าพวกมันฝีมือไม่ต่ำทราม  ตระกูลจาง ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองลั่วซี ควบคุมการค้าเกือบครึ่งค่อนเมือง ทั้งเป็นที่รู้จักว่าเป็นตระกูลของผู้ฝึกปรือวิญญาณ

แม้ว่า “ตระกูลชื่อดัง” นี้ไม่มีคุณค่าใดจะกล่าวถึงในทวีปเทียนหุน แต่ที่เมืองลั่วซีแห่งนี้แม้แต่เจ้าเมืองยังต้องอ่อนข้อให้  แน่นอนว่าชาวบ้านทั่วไปย่อมไม่กล้าขวางทางของนายใหญ่และนายน้อยแห่งตระกูลจาง

“น้องเมิ่งเอ๋อร์ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาที่เมืองลั่วซีกับบิดาข้า เจ้าน่าจะส่งคนมาแจ้งล่วงหน้าข้าจะได้เตรียมของน่าสนใจไว้ให้เจ้าได้สนุกสนาน…”

ชายหนุ่มพูดคุยกับหญิงสาวด้านข้างด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนายน้อยแห่งตระกูลจาง, ‘จางหยาง’     ภายใต้การประจบเอาใจของ’จางหยาง’ หญิงสาวไม่แสดงความรู้สึกใด นางเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ข้าเพียงพบกับท่านลุงขณะที่ข้าพเนจรไปยังเมืองหยินซา ข้าลำบากมาที่นี่กับท่านลุงเพื่อเยี่ยมท่านป้า ไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรเป็นพิเศษให้ข้า ข้าจะออกเดินทางในอีกไม่กี่วัน”

หลังจากพูดจบนางเลิกคิ้วเรียวงามเล็กน้อยและพูดต่อ

“อย่าเรียกข้าว่าเมิ่งเอ๋อร์ ข้าไม่ใช่น้องสาวหรือญาติผู้น้องของท่าน เรียกชื่อข้า หลิวเมิ่ง”

“ฮ่าฮ่า เจ้าพูดอะไรของเจ้า น้องเมิ่งเอ๋อร์ อันที่จริงเจ้าน่าจะทราบความตั้งใจของผู้อาวุโสในตระกูลเราทั้งคู่ พวกเรา…”

‘จางหยาง’ยังคงไม่ย่อท้อต่อความเย็นชาของนาง

“ตอนนี้ข้าไม่ต้องการครุ่นคิดอันใด ยามนี้ข้าออกจากตระกูลมาพเนจรเพียงเพราะข้าไม่อาจทะลวงสู่ระดับกลางด่านวีรชนวิญญาณ ข้าต้องการออกมาด้านนอกเพื่อคลายความเบื่อหน่ายบ้างแล้วกลับบ้านเพื่อฝึกฝนต่ออย่างหมดกังวล”

หญิงสาวนามหลิวเมิ่งตัดบท’จางหยาง’

“ว่ากระไร? เจ้าจะบรรลุระดับกลางของด่านวีรชนวิญญาณแล้ว? ข้าจำได้ว่าพวกเราทะลวงสู่ด่านปัจเจกวิญญาณในช่วงเดียวกัน นั่นเพิ่งจะผ่านไปปีเดียวข้ายังอยู่ระดับกลางของด่านปัจเจกวิญญาณแต่เจ้ากลับพัฒนารวดเร็วนัก”

ยามนี้’จางหยาง’ไม่เกี้ยวพาราสีนางอย่างไร้ยางอายอีกแต่ร่ำร้องเบาๆแทน ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง  ได้ยินดังนั้น’หลิวเมิ่ง’เหลือบมองมันอย่างเหยียดหยามอยู่บ้างจากนั้นเลื่อนสายตาไปด้านข้างถนนและกล่าว

“ข้าไม่เหมือนบางคนที่อยู่ว่างอย่างไรประโยชน์ไปวันๆหรอกนะ”

“เอ่อ…”

เมื่อถูกแดกดันด้วยคำพูดเหล่านี้จางหยางอับอายอยู่บ้าง มันหยุดพูดถึงเรื่องนี้จากนั้นปั้นหน้ายิ้มแย้มน่าประทับใจชี้ไปยังแผงผลไม้เคลือบน้ำตาลริมถนนกล่าวว่า

“น้องเมิ่งเอ๋อร์…เอ่อ…หลิวเมิ่ง นั่นคือผลไม้เคลือบน้ำตาลที่เหล่าหญิงสาวชอบรับประทาน เจ้ามักจะมุ่งมั่นกับการฝึกฝนอยู่บ้านคงไม่ค่อยพบเห็นของเหล่านี้กระมัง? ข้าจะไปเอามาให้เจ้าชิมสักไม้”

หลังจากกล่าวจบมันเดินไปหยิบผลไม้เคลือบน้ำตาลแล้วเดินกลับมาที่’หลิวเมิ่ง’ เจ้าของร้านไม่กล้าแม้แต่จะแสดงร่อยรอยความไม่พอใจ ตรงข้ามมันเค้นรอยยิ้มประจบอย่างขลาดเขลาบนใบหน้าชรา…

‘หลิวเมิ่ง’รับผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้นั้นมาอย่างสงสัยอยู่บ้าง มองดูชั่วครู่จึงแตะลิ้นเลียน้ำตาลที่เคลือบผิว รอยยิ้มปรากฏบนในหน้านางราวดอกพลัมที่เบ่งบานในฤดูหนาว ‘จางหยาง’ด้านข้างยามมองเห็นแทบไม่อาจละสายตาจากนาง

คนกลุ่มนี้มุ่งหน้าไปยังใจกลางเมือง ตามเส้นทางจางหยงยังคงหยิบของเล่นแปลกๆชิ้นเล็กๆจากแผงลอยให้แก่’หลิวเมิ่ง’เพื่อหวังจะได้รอยยิ้มจากนางงาม เมื่อพวกมันมาถึงปากตรอกแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มที่ดูเหม่อลอยแต่งกายมอมแมมอยู่บ้างพุ่งออกจากมุมมืดในตรอกอย่างเร่งร้อน มันเดินเหม่อลอยขณะที่พึมพำบางอย่างไม่หยุด

ยังคงเดินหน้าราวกับมองไม่เห็นกลุ่มคนที่อยู่บนถนน ทันใดมันสะดุดล้มและกระแทกอย่างจังสู่อ้อมอกของ’หลิวเมิ่ง’

ชายหนุ่มปรากฏตัวอย่างคาดไม่ถึงอยู่บ้าง และ’หลิวเมิ่ง’กำลังมองตามที่’จางหยาง’แนะนำร้านผ้าอีกด้าน นอกจากไม่คาดคิดว่ามีจะใครมากระแทกตัวเธอเช่นนี้ อีกทั้งความคิดของ’หยุนเฟย’สับสนชั่วขณะ

มันไม่ได้เจตนาพุ่งเข้าหานาง แม้จะเป็นผู้ฝึกตนนางก็ไม่อาจหลบพ้นและถูกมันชนล้มลงกับพื้น…

‘ไป่หยุนเฟย’รู้สึกปวดศีรษะแทบตาย ข้อมูลทั้งหลายทะลักเข้าศีรษะไม่หยุดมันไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ใดด้วยซ้ำ ทันใด’ไป่หยุนเฟย’รู้สึกเหมือนชนเข้ากับบางอย่าง ร่างมันถลาไปด้านหน้าอย่างควบคุมไม่อยู่ จากนั้นมันรู้สึกดั่งพุ่งร่างตนเองลงบนพื้นอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมละมุนโชยเข้าจมูก…

ไม่ทราบว่าเพราะการชน การถลา พื้นอ่อนนุ่ม หรือกลิ่นหอมละมุนนั้น…

ชั่วครู่’ไป่หยุนเฟย’ก็ได้สติ แม้ว่ามันยังไม่คืนสติสมบูรณ์แต่ก็ยังพอควบคุมร่างมันได้อีกครั้ง มันส่ายศีรษะและยืนขึ้น เพียงได้เห็นสถานการณ์ชัดเจนเบื้องหน้า หญิงสาวชุดครามนั่งกับพื้นเบื้องหน้า ใบหน้าอ่อนหวานเงยมองมันอย่างมึนงง ดูเหมือนนางไม่ได้ลุกขึ้นหลังจากถูกกระแทกเมื่อครู่

“เอ่อ…แม่นาง ข้าขออภัย…ข้าไม่ได้เจตนาจะชนท่าน ท่านบาดเจ็บหรือไม่?”

‘ไป่หยุนเฟย’เข้าใจสถานการณ์อย่างยากเย็น – มันเพิ่งจะชนนางล้มลง – ดังนั้นมันคำนับขออภัย คว้าจับข้อมือขาวผ่องของ’หลิวเมิ่ง’ช่วยนางลุกขึ้นจากพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ      ‘ไป่หยุนเฟย’มองไปที่ผลไม้เคลือบน้ำตาลที่หล่นพื้นด้านข้างและเกาศีรษะอย่างละอาย

เมื่อเหลียวมองรอบข้างมันจึงเห็นคนขายผลไม้เคลือบน้ำตาลอยู่ด้านข้าง เพื่อประจบเอาใจ’หลิวเมิ่ง’ ‘จางหยาง’จึงเรียกคนขายผลไม้เคลือบน้ำตาลติดตามมา ‘ไป่หยุนเฟย’วิ่งเหยาะๆเข้าไป หยิบเหรียญทองแดงออกมาให้คนขายผลไม้เคลือบน้ำตาลอย่างไม่ยินยอมอยู่บ้าง จากนั้นจึงหยิบผลไม้เคลือบน้ำตาลกลับมา

“แม่นาง ข้าชดเชยผลไม้เคลือบน้ำตาลให้แก่ท่านหวังว่าท่านจะให้อภัย ข้าไม่ได้…”

“โครม!”

ขณะกล่าววาจา’ไป่หยุนเฟย’รู้สึกมีแรงมหาศาลกระทบมันด้านซ้ายของบั้นเอวตามมาด้วยความเจ็บปวดอย่างสาหัส ทั้งร่างของมันถูกส่งลอยไปอีกด้าน

‘จางหยาง’ดึงขาขวากลับมาช้าๆ มันสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าเปี่ยมด้วยความอำมหิต ไม่เหลือเค้าคุณชายสูงศักดิ์ก่อนหน้าแม้แต่น้อย มันจ้อง’ไป่หยุนเฟย’ที่นอนฟุบอยู่บนพื้น ไม่แม้แต่จะปิดบังจิตสังหารเข้มข้นที่ปรากฏในแววตา

“ไอ้คนชั้นต่ำ! เจ้าบังอาจล่วงเกินเมิ่งเอ๋อร์ของข้า! เจ้า…ข้าจะฆ่าเจ้า”

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments