ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปราตรีเงียบสงัด แสงจันทร์ส่องสว่างสู่ในบ้านผ่านรูกว้างบนหลังคากระทบเตียงที่ลาดเอียงอยู่บ้าง คนผู้หนึ่งนอนขวางอยู่บนเตียง ทันใดประตูโกโรโกโสพลันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เงาคนสองร่างเข้าสู่บ้านอย่างเร้นลับราวกับแมว เมื่อเห็นชายหนุ่มที่นอนบนเตียงหลับราวท่อนไม้ มันสองคนจึงลดการระวังและเลิกกริ่งเกรง
“ใช่มันหรือไม่”
หนึ่งในสองสอบถามเสียงค่อย หลังจากเพ่งมองที่คนบนเตียงโดยอาศัยแสงจันทร์คนที่ถูกถามพยักหน้า
“ถูกต้อง เป็นมันเอง ลงมือเถิด”
พวกมันเดินไปข้างเตียง หนึ่งในสองปลดกระสอบป่านลงจากไหล่และวางกับพื้น ดูเหมือนมันสองคนต้องการนำคนบนเตียงใส่ลงในกระสอบ
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าไม่อาจโทษว่าเราพี่น้อง เจ้าต้องโทษตนเองที่เคราะห์ร้ายที่ไปล่วงเกินนายน้อย อย่างไรก็ดีเจ้าใช้ชีวิตต่ำต้อยเยี่ยงนี้ก็ไม่มีค่าอันใด มิสู้ตายเสียแต่เนิ่นๆแล้วไปเกิดใหม่ ชาติหน้าเจ้าพยายามเกิดในตระกูลร่ำรวยเถอะ…”
“อย่าพูดจาไร้สาระ รีบนำเจ้าเด็กเหลือขอนี่ใส่กระสอบเถอะ”
“โอ้ ไฉนมันถือก้อนอิฐไว้กับมือ? ฮ้า!ถึงกับกำไว้แน่นเพียงนี้…”
“ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้มันถือไว้ ข้ามีความคิดอันประเสริฐ เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่นไม่ต้องมอบอาวุธอันใดแก่มัน เพียงให้ก้อนอิฐนี้แก่มันอย่างไรเสียมันก็ต้องตาย แต่เมื่อนายน้อยพบเห็นท่านต้องเบิกบานใจขึ้นเป็นแน่ อาจบางทีจะตบรางวัลพวกเราอีกก็ได้”
“ฮ่า ฮ่า! ความคิดของเจ้าช่างต่ำช้านัก แต่ข้าชอบ…”
มันทั้งคู่กระทำอย่างเรียบร้อยหมดจด ดูเหมือนพวกมันเคยทำเยี่ยงนี้มาก่อน พวกมันยัดชายหนุ่มลงกระสอบป่าน มัดพันอย่างระมัดระวัง ยกขึ้นบนบ่า ออกจากบ้านแล้วหายลับไปในราตรีอย่างรวดเร็ว…
‘ไป่หยุนเฟย’รู้สึกยามนี้มันหลับอย่างสุขสบายยิ่ง ร่างของมันอบอุ่นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและความคิดมันเลอะเลือนอยู่บ้าง มันไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดแต่มันต้องการนอนหลับต่อไปแทนที่จะต้องตื่นขึ้นมา
“สหายน้อย ตื่นเถอะ ตื่น…”
ทันใดมีเสียงดังก้องข้างหูของ’ไป่หยุนเฟย’ กระตุ้นสมองมันแจ่มใสขึ้น หลังจากรู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งผลักมันที่ไหล่ ในที่สุดมันก็ลืมตาและลุกขึ้นนั่ง ขณะตบหน้าผากอย่างมึนงงมันก็พึมพำ
“ข้าเป็นไรไป? ที่นี่คือที่ใด?”
มันพลันพบว่าไม่ได้อยู่ที่บ้านอย่างที่คาด ใต้ร่างปรากฏหญ้าฟางปูรองอยู่และชายชราผมหงอกขาวด้านข้างมองมันอย่างกังวลใจ
“ท่านปู่ที่นี่คือที่ใด? แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
อาจบางทีเพราะแววตาห่วงใยของชายชรา’ไป่หยุนเฟย’จึงผ่อนคลายลงบ้าง มันมองไปที่ชายชราอย่างสับสนและสอบถาม
“ว่ากระไร! เจ้ากลับไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงถูกจับตัวและนำมาที่นี่? โอ…สหายน้อย เจ้าล่วงเกินผู้ที่ไม่ควรล่วงเกิน หรือมิใช่เดรัจฉานของตระกูลจางที่จับและนำตัวเจ้ามาที่นี่?”
“ตระกูลจาง…จางหยาง?”
‘ไป่หยุนเฟย’ตอบสนองอย่างตื่นตระหนกทันใด
“โอ เจ้ารู้จักมัน? ไฉนเจ้าไปล่วงเกินมันได้?! อนิจจา…”
ชายชรามอง’ไป่หยุนเฟย’และส่ายศีรษะถอนหายใจ ‘ไป่หยุนเฟย’หันมองรอบข้างพร้อมกับสอบถาม
“เหตุใดพวกเราถูกกักขังอยู่ที่นี่? เมื่อใดพวกเราจึงออกไปได้?”
ที่นี้เป็นห้องใหญ่โตนอกจากปูด้วยหญ้าฟางบนพื้นก็ปราศจากสิ่งใดอีก ทั้งไม่มีหน้าต่าง ทางออกด้านซ้ายของ’ไป่หยุนเฟย’ถูกปิดด้วยประตูจากท่อนซุง
ที่คุมขังหรือ?
‘ไป่หยุนเฟย’มองลอดประตูที่คุมขังออกไปเห็นลานกว้างหลายร้อยตารางเมตรด้านนอก มันถูกล้อมด้วยกำแพงสูงราวสามถึงสี่เมตร ห่างออกไปด้านนอกเป็นอัฒจันทร์พร้อมอันหรูหรา ‘ไป่หยุนเฟย’และชายชราอยู่ที่มุมห้อง ไม่ไกลจากพวกมันยังมีผู้คนราวสิบคน ผู้คนเหล่านี้ล้วนดูดุร้ายเพียงพบปะครั้งแรกก็ทราบได้ว่าไม่ใช่คนดี
พวกมันพูดคุยกับเบาๆตรงนั้นเพียงสนใจเรื่องของพวกตน
“ออกไป?”
ชายชรามีท่าทีประหลาดอยู่บ้างเมื่อได้ยินที่มันพูด
“สหายน้อย เจ้า… โธ่เอ๊ย!ทั้งเมืองลั่วซีล้วนทราบว่าน้อยคนนักที่ล่วงเกินนายน้อยตระกูลจาง จางหยางแล้วจะรอดชีวิต…”
“ว่ากระไร? ข้า…ข้าจะต้องตายหรือ?”
‘ไป่หยุนเฟย’ตื่นตระหนกยิ่ง เสียงของมันดังขึ้นบ้างอย่างไม่อาจห้ามได้ ดึงดูดสายตาไม่เป็นมิตรจากกลุ่มด้านหน้า มันรีบลดเสียงลงถามอย่างกังวลใจ
“ท่านปู่ ท่านพูดจริงหรือ?”
“โธ่เอ๋ย สหายน้อยอย่าได้กลัวไปเลย สิ่งจะเกิดมันย่อมต้องเกิด ไร้ประโยชน์ที่เจ้าจะหวาดกลัว…”
ชายชราตบไหล่มันและปลอบโยน
“อีกอย่าง ข้าได้ยินพวกมันกล่าวว่าเมื่อส่งพวกเราไปต่อสู้กับผู้อื่น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่พวกมันจะปล่อยเราเป็นอิสระ…”
กล่าวถึงตรงนี้ชายชราฝืนยิ้มอย่างไม่อาจช่วยได้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดว่าตัวมันและไป่หยุนเฟย ชายชราและเด็กหนุ่มจะมีโอกาสรอดชีวิต
“ต่อสู้…”
‘ไป่หยุนเฟย’ใจเต้นรัวและหวาดกลัวขึ้นไปอีก แต่เมื่อได้เห็นแววตาปลอบโยนอย่างเมตตาของชายชรา มันค่อยสงบใจลงบ้าง อาจบางทีความเมตตาของชายชรากระตุ้นให้มันรำลึกถึงท่านปู่ของมัน…
“ท่านปู่ ท่าน…”
“ข้าแซ่อู๋ เรียกข้าผู้เฒ่าอู๋เถิด”
“อืม ผู้เฒ่าอู๋เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี้ด้วย?”
แต่มิคาด คำถามนี้แปรเปลี่ยนชายชราเปี่ยมเมตตากลายเป็นคนโศกสลดในทันใด จากนั้นดวงตามันทอแววอำมหิตขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวสัตว์ร้ายที่จ้องกัดกินเหยื่อ การแปรเปลี่ยนกะทันหันของชายชราทำไป่หยุนเฟยสะดุ้ง มันขยับถอยกายเล็กน้อยแสดงท่าทางหวาดกลัวอยู่บ้าง
ผ่านไปเนิ่นนาน ความเกลียดชังในดวงตาชายชราค่อยหายไป มันถอนหายใจยาวเหยียดกล่าวว่า
“ขออภัย ข้าทำให้เจ้าหวาดกลัวหรือไม่…?”
เมื่อเห็นชายชรากลับเป็นปกติไปหยุนเฟยถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกล่าวขณะโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ ท่านไม่ได้ทำให้ข้าหวาดกลัว ผู้เฒ่าอู๋หากท่านไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง…”
“อันที่จริงมิใช่เรื่องอันใดที่กล่าวถึงไม่ได้ เป็นเพราะข้าต้องการฆ่าจางหยางนายน้อยแห่งตระกูลจางด้วยมีด บริวารมันจึงจับตัวข้ามาคุมขังไว้ที่นี่”
“ว่ากระไร?”
‘ไป่หยุนเฟย’ไม่อาจจินตนาการได้ว่านี่เป็นเหตุให้ผู้เฒ่าอู๋ถูกคุมขังอยู่ที่แห่งนี้
“เจ้าเดรัจฉานจางหยาง…มัน…มันทำให้หลานสาวข้าต้องตาย!”
‘ผู้เฒ่าอู๋’จิดใจยุ่งเหยิงร่างสั่นระริกเล็กน้อย
“เสี่ยวยู่เอ๋อร์ที่น่าเวทนาของข้าอายุเพียง 16 ปี”
“สามวันก่อน หลานสาวที่น่ารักของข้าบอกว่าจะไปซื้อผ้าพับหนึ่งมาตัดเย็บชุดแก่ข้า นางบอกว่าฤดูหนาวกำลังมาเยือนนางไม่อาจปล่อยข้าหนาวจนตัวแข็ง…”
กล่าวถึงตอนนี้ดวงตาท่านลูง’อู๋’เปี่ยมด้วยความรักเมตตา ทั้งเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ‘ไป่หยุนเฟย’สัมผัสถึงรักอันมากมายที่มันมีต่อหลานสาว เพราะก่อนนี้ท่านปู่ของมันก็แสดงท่าทางเยี่ยงนี้เมื่อชมดูมัน
“ทว่า…ทว่าหลังจากนางออกไปครานี้ พวกเราต้องจากกันตลอดกาล!”
น้ำตาไหลหลั่งจากดวงตาผู้เฒ่า’อู๋’ ท่าทางเศร้าโศกยิ่ง
“เพื่อนบ้านที่อาศัยถัดไปวิ่งเข้ามาบอกข้าว่าเสี่ยวยู่เอ๋อร์ถูกสมุนของจางหยางจับตัวไป ข้ารีบร้อนไปยังตระกูลจางเพื่อทวงคน แต่เมื่อไปถึง…นางก็กลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้ว”
“เสี่ยวยู่เอ๋อร์ หลานสาวที่น่ารักของข้า นางขัดขืนการย่ำยีของจางหยางจึงถูกเจ้าเดรัจฉานนั้นทุบตีจนตาย!”
ท่าทางดูร้ายราวสัตว์ป่าพร้อมจะกัดกินผู้คนปรากฏบนใบหน้าผู้เฒ่าอู๋อีกครั้ง แต่ครานี้ไป่หยุนเฟยปราศจากความกลัวมันเพียงรู้สึกโศกเศร้าและเดือดดาล
“หลังจากข้าฝังศพหลานสาว เพื่อนบ้านล้วนตักเตือนให้ข้ากล้ำกลืนโทสะ พวกมันกล่าวว่าข้าไม่อาจต่อต้านตระกูลหยาง ข้าก็ทราบดีชาวบ้านเยี่ยงเราต่อให้ถูกตระกูลจางสังหารไป ท่านเจ้าเมืองกับบริวารเพียงแสร้งไม่รู้เห็น ชีวิตของผู้คนเยี่ยงพวกเราเป็นแค่มดปลวกในสายตาพวกมัน”
“แต่ข้าไม่อาจทนกล้ำกลืน! หากไม่อาจทำอะไรแม้แต่น้อย ข้าจะมีคุณค่าใดต่อหลานสาวดีงามของข้า ข้าจะสิ้นลมพร้อมกับความสำนึกเสียใจไปตลอดกาล! ข้าจึงคว้ามีดออกจากบ้าน ฉวยโอกาสขณะที่มันมึนเมามาจากหอนางโลม ข้ารีบเร่งลงมือ ข้าอยากสับมันเป็นพันๆชิ้น! มันต้องชดใช้หลานสาวข้าด้วยชีวิต”
“สุดท้าย…ยังไม่ทันได้แตะชายเสื้อมัน ข้าก็ถูกผู้ติดตามของมันจับได้…จากนั้นข้าก็ถูกคุมขังที่นี่ ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว… แค่ก…แค่ก…”
เมื่อผู้เฒ่า’อู๋’กล่าวจบ เพราะมันพลุ่งพล่านเกินไปจึงไออย่างหนักหน่วง ‘ไป่หยุนเฟย’นิ่งเงียบเนิ่นนาน ไม่อาจนึกหาคำพูดปลอบใจจึงกุมมือสั่นเทาของชายชราและตบหลังและกล่าวอย่างห่วงใย
“อย่าได้พลุ่งพล่านแล้วผู้เฒ่าอู๋ มันกระทบสุขภาพท่าน คนเหล่านี้ต่ำช้ากว่าเดรัจฉาน สักวันพวกมันต้องถูกลงทัณฑ์อย่างสาสม”
ผู้เฒ่า’อู๋’มองไป่หยุนเฟยอย่างประหลาดใจ ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าว
“อนิจจา…เสี่ยวยู่เออร์ของข้าก็มักจะกุมมือและทุบหลังพลางเตือนข้าเยี่ยงนี้…สหายน้อยข้ายังไม่ทราบนามเจ้าเลย”
“ข้านามว่าไป่หยุนเฟย เรียกข้าหยุนเฟยเถิด”
“อืม หยุนเฟยเจ้าเป็นคนดีงาม…ยามนี้มีคนเยี่ยงเจ้าน้อยลงทุกที ผู้คนไม่ว่าเรื่องส่วนรวมหรือส่วนตัวล้วนคำนึงถึงแต่ตนเอง พวกมันทำสิ่งใดล้วนไม่ใส่ใจชีวิตหรือความตายของผู้อื่น พวกมันโยนสามัญสำนึกของมนุษย์ทิ้งไป ผู้คนสมควรใช้ชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ…”
ยามผู้เฒ่า’อู๋’กล่าวจบกลับเห็นไป่หยุนเฟยจับจ้องตนด้วยท่าทางสับสนอยู่บ้าง
“เป็นไร? เจ้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูด?”
“ไม่ ข้าเพียงรำลึกถึงท่านปู่ผู้ล่วงลับ ท่าน…ก็กล่าวเช่นเดียวกันมาก่อน”
ยามนั้นปรากฏผู้คนด้านนอกประตูที่คุมขัง พวกมันวางถังซาลาเปาและถังน้ำไว้ด้านนอกประตูแล้วพูดเสียงดังกับคนด้านใน
“พวกเจ้า มารับประทานเสีย! พวกเจ้าต้องรับประทานให้อิ่มหนำ จะได้มีเรี่ยวแรงไปเสี่ยงชีวิต!”
เนื่องเพราะซาลาเปาในถังมีอยู่ไม่น้อยเมื่อสิบกว่าคนด้านหน้ารับประทานจนอิ่มผู้เฒ่าอู๋จึงลูกขึ้นไปหยิบซาลาเปาและตักน้ำใส่ชาม จากนั้นกลับมายังไป่หยุนเฟยแล้วยื่นอาหารให้
“หิวหรือไม่? รับประทานเสียเถิด มีแต่รับประทานจนอิ่มหนำจึงมีเรี่ยวแรงมีชีวิต”
‘ไป่หยุนเฟย’รับประทานซาลาเปาขณะพูดคุยกับผู้เฒ่า’อู๋’เสียงค่อย มองเห็นแววตาปรานีของผู้เฒ่า’อู๋’ มันรู้สึกหัวใจสั่นไหว ตั้งแต่ท่านปู่ของมันจากไปดูเหมือนมันไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกเยี่ยงนี้อีก ความรู้สึก’อบอุ่น’
หลังจากรับประทานซาลาเปาไปหลายลูกและพูดคุยอีกเล็กน้อย ผู้เฒ่า’อู๋’ดูเหมือนจะเหน็ดเหนื่อยจึงเอนกายพิงกำแพงเพื่อพักผ่อน ‘ไป่หยุนเฟย’จึงขดตัวเข้ามุมกำแพงต่อไปมีเพียงยามนี้ที่มันมีเวลาครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันก่อนหน้า
“ไฉนอาการบาดเจ็บบนร่างข้าหายไป?”
‘ไป่หยุนเฟย’ฉุกคิดได้ว่าอาการบาดเจ็บจากการถูกทุบตีเมื่อวานล้วนหายไปอย่างไม่คาดคิด! อีกทั้งร่างของมันก็ปราศจากความรู้สึกผิดปกติใด
“ยามสนธยาวานนี้…ดูเหมือนข้าหมดสติไป? เพราะเหตุใด? ใช่แล้ว! การอัพเกรด…ก้อนอิฐ!”
‘หยุนเฟย’กวาดมือบนพื้นโดยสัญชาตญาณไปเบื้องหน้า มิคาดมันสัมผัสถูกวัตถุขอบเรียบมีเหลี่ยมมุมจริงๆ ไม่ใช่อื่นใดนอกจากก้อนอิฐนั้นที่มันกำไว้ขณะมันสิ้นสติ
“ยามเจ้าถูกพามาที่นี่เมื่อสนธยาวันวาน เจ้ากำก้อนอิฐนี้ไว้ในมือแนบแน่น…หรือมันมีความสำคัญอันใด?”
ผู้เฒ่า’อู๋’ถามอย่างงุนงงเมื่อมองเห็นมันหยิบก้อนอิฐขึ้นมา
“เอ่อ ไม่มีอันใด อิฐก้อนนี้ข้าใช้รองขาเตียง…”
‘หยุนเฟย’ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร โชคดีเมื่อเห็นมันพูดจาตะกุกตะกักด้วยท่าทางสับสนผู้เฒ่าอู่ก็ไม่ถือสา เพียงหัวร่อเบาๆและไม่ถามอันใดอีก ‘หยุนเฟย’ก้มศีรษะมองก้อนอิฐในมือ
“ระดับไอเทม: ธรรมดา”
“ระดับการอัพเกรด: +10”
“สร้างความเสียหาย: 9”
“สร้างความเสียหายเพิ่มเติม: 16”
“ผลกระทบเพิ่มเติมระดับ +10 : เมื่อจู่โจมมีโอกาส 1% ที่จะทำให้เป้าหมายมึนงงระยะเวลาสูงสุด 3 วินาที(เมื่อโจมตีศีรษะโอกาสทำให้มึนงงเพิ่มเป็น 5%)”
“สิ่งจำเป็นในการอัพเกรด: แต้มวิญญาณ 12 แต้ม”
“แน่ชัดว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวานนี้เป็นเรื่องจริง…”
“ผลกระทบเพิ่มเติมระดับ +10? มึนงง? หมายความว่ากระไร? หากข้าทุบตีผู้อื่นด้วยก้อนอิฐนี้แน่นอนว่าทำให้มันมึนงงได้ ไยยังต้องมีโอกาสเกิดขึ้น”
“อัพเกรดมันอีกคราดีหรือไม่?”
แต่มันรีบโยนความคิดนี้ทิ้งไป สนธยาวานนี้ดูเหมือนมันสิ้นสติเพียงเพราะมันอัพเกรดก้อนอิฐนี้ มันจะกล้าอัพเกรดก้อนอิฐอย่างปลอดโปร่งที่นี่วันนี้อีกหรือ? ‘ไป่หยุนเฟย’ถือก้อนอิฐไว้ในมือเคลิ้มหลับไป ผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบชัดมันพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงดังต่อเนื่อง
มันหันไปมองรอบด้านและมองเห็นที่นั่งหรูหราบนอัฒจันทร์ด้านนอกนั่งเต็มไปด้วยผู้คนในเครื่องแต่งกายหรูหรา ผู้ที่พบเห็นคราแรกล้วนบอกได้ว่าพวกนั้นคือเหล่าผู้มั่งมีมากอำนาจและขุนนาง พวกมันล้วนมีท่าทางตื่นเต้นและคาดหวัง พวกมันพูดคุยกันเสียงค่อย บางคนชี้มือชี้ไม้มาทางผู้ถูกคุมขังด้านนี้ขณะกล่าววาจากับผู้อื่น
“ทุกท่าน! ยินดีต้อนรับสู่สมรภูมิเดรัจฉาน!”
ทันใดเสียงกังวานดังมาจากลานกว้าง เสียงจอแจจากเหล่าผู้สูงศักดิ์เงียบลงชั่วขณะ แต่ใบหน้าพวกมันกลับเพิ่มความเร้าใจยิ่งขึ้น มากจนดูเหมือน…บ้าคลั่ง
“คนต้อยต่ำเหล่านั้นจะต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดและต้องฆ่าฟันกันราวสัตว์เดรัจฉาน! นี่คือสมรภูมิเดรัจฉานที่แสนเร้าใจและนองเลือด! มารื่นรมย์กับภาพการเฉลิมฉลองในวันนี้เถิด”
————————————————–3/6/59 แก้ไขคำผิดกับคำพูดนิดหน่อยครับ
ที่มา: