I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 10 มุ่งหน้าสู่ค่ายไม้ดำ

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 937 | 2358 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“จางหยาง!”

‘ไป่หยุนเฟย’ สั่นระริกเค้นเสียงผ่านไรฟันออกมาสองคำ มันหันไปมองช้าๆกระทั่งมองเห็นที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรมีชายหนุ่มแต่งกายเลิศหรูในมือถือพัดจีบยิ้มแย้มกล่าวบางอย่างกับหญิงสาวด้านข้าง — จะเป็นใครหากไม่ใช่จางหยาง!

มันเพียงกำหมัดแน่นและกัดฟันจนแทบหลั่งเลือด ‘ไป่หยุนเฟย’ สะกดกลั้นไม่ให้ตนเองสิ้นคิดพุ่งเข้าไปแลกชีวิตกับ ‘จางหยาง’  เนื่องเพราะมันทราบดีว่ายามนี้ไม่อาจเอาชนะแม้แต่คนคุ้มกันรอบกาย ‘จางหยาง’ ได้

“ไม่เลว ข้าจะซื้อหาเครื่องประดับที่งดงามให้แก่ท่านป้าสักชิ้นสองชิ้น และอีกสองวันข้าจะกลับบ้านแล้ว สมควรนำของขวัญกลับไปมอบให้มารดาสักชิ้นเช่นกัน”

น้ำเสียงสดใสราวกระทบแก้วผลึกแว่วเข้าหู ‘ไป่หยุนเฟย’  มันเงยหน้าขึ้นมองเห็นด้านหลังของหญิงสาวผมยาวละมุนร่างเพรียวระหงในชุดครามสดใสกำลังมองไปยังร้านค้าริมถนนด้วยท่าทีเฉยชา

“เป็นนาง…”

‘ไป่หยุนเฟย’ นิ่งงันมองเงาร่างทั้งสองค่อยๆเดินจากไป ดูเหมือนความรู้สึกแปลกประหลาดสุดพรรณนาแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ มันตบศีรษะอย่างแรงเพื่อสงบใจลงบ้างจากนั้นหันหลังสาวเท้าออกไปอีกทิศทาง

มันใช้เงินจำนวนหนึ่งซ่อมแซมหลุมศพของมารดาและท่านปู่อย่างดี จากนั้นจัดสร้างป้ายหน้าหลุมศพ แล้วจึงเดินทางไปทั่วเมืองซื้อหาสิ่งของมากมายเช่น อาหาร เสื้อผ้า เครื่องครัว อาวุธ เครื่องประดับและสิ่งอื่นอีกหลายสิ่ง ด้วยแหวนช่องมิติมันจึงกระทำได้อย่างสะดวกสบายยิ่ง

การสั่งสอนอันธพาลทั้งสามในตรอกเมื่อยามเช้ากลับเปลี่ยนแปลงความคิดมัน มันทราบแล้วว่าการฝึกฝนอย่างหนักอยู่หลังประตูไม่ใช่หนทางดีที่สุด มันยังคงขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป มันขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริง            ฉะนั้นนับจากนี้ นอกจากการฝึกฝนที่บ้าน ก่อนเข้านอนไป่หยุนเฟยจะออกจากบ้านไปประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อเสาะหานักเลงอันธพาลในเมืองมาต่อสู้

แต่มันสังเกตปัญหาออกอย่างรวดเร็ว — คู่ต่อสู้เหล่านี้ง่ายและธรรมดาเกินไปสำหรับระดับของมัน อีกทั้งที่รังแกชาวบ้านทั่วไปมีเพียงอันธพาลชั้นต่ำ ‘ไป่หยุนเฟย’ รู้สึกว่าการต่อสู้กับพวกมันกลับไม่มีส่วนช่วยพัฒนาฝีมือ ผลรับเดียวคือเหล่าอันธพาลได้รับโทษทัณฑ์อันสาสมให้ผู้คนที่ถูกพวกมันรังแกได้ปรบมืออย่างสาแก่ใจ

ทว่ามิจฉาชีพกลุ่มใหญ่ในเมืองล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลจาง  ‘ไป่หยุนเฟย’ เกรงจะเปิดเผยตนจึงไม่เคยมุ่งเป้าไปยังพวกมัน — ก่อนที่มันจะมีพลังเพียงพอ มันจำต้องกระทำทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง

ผ่านไปเก้าวัน ไป่หยุนเฟยจึงตัดสินใจเลือกเป้าหมายใหม่ — กลุ่มโจรบนภูไม้ดำ

ภูไม้ดำห่างจากเมืองลั่วซีออกไปราวสิบวัน ที่มาของชื่อเป็นเพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ที่มีเนื้อไม้สีดำ ทั้งสามด้านล้วนเป็นหน้าผาสูงชัน ทางขึ้นภูเพียงด้านเดียวลักษณะต้นแคบปลายกว้าง ชัยภูมิรับง่ายรุกยากโดยธรรมชาติ ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใดกลุ่มอันธพาลมิจฉาชีพรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มโจรยึดครองพื้นที่บนภูและก่อตั้งค่ายไม้ดำขึ้น พวกมันมุ่งเป้าที่ขบวนขนส่งสินค้าและการค้าของหมู่บ้านรอบๆภู เจ้าเมืองลั่วซีส่งทหารมาปราบปรามหลายคราแต่ล้วนถูกโจมตีแตกพ่ายกลับมาอย่างเสียขวัญ

ก่อนนี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ ได้ยินการกระทำอันโหดเหี้ยมของกองโจรภูไม้ดำ มันเคยได้ยินกระทั่งว่าบางหมู่บ้านถูกพวกมันกวาดล้างทำลาย ยามนั้น ‘ไป่หยุนเฟย’ ทำได้เพียงลอบทอดถอนใจสาปแช่ง ปรารถนาให้ฟ้าดินลงทัณฑ์พวกโจรเหล่านั้น แต่ยามนี้อาจบางทีจิตใจมันเปลี่ยนแปลงเพราะพลังที่ได้รับ มันรู้สึกว่าควรกระทำบางอย่างเพื่อเติมเต็ม’ปรารถนา’ที่มันเคยมุ่งหวัง

แน่นอน มันไม่คาดว่าจะสามารถกวาดล้างกองโจรในค่ายไม้ดำในคราเดียว มันเพียงหวังจัดการโจรกลุ่มเล็กที่ลงจากภูมาเพื่อใช้พัฒนาฝีมือจากการต่อสู้จริง ด้วยกำลังของมันการจัดการโจรทั่วไปล้วนไม่ยากเย็น อีกทั้งโจรเหล่านี้กระทำเรื่องชั่วช้ามาทุกรูปแบบ การจับส่งทางการนับว่าช่วยปลดแอกแก่ผู้คน ต่อให้ลงมือฆ่าฟันก็ยังไม่กระทบมโนธรรมของมัน

หลังจากตระเตรียมพร้อม ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ออกจากเมืองลั่วซีมุ่งหน้าไปยังภูไม้ดำ

นี่เป็นการเดินทางไกลออกนอกเมืองเป็นครั้งแรกของมัน ดังนั้นทุกสิ่งเบื้องนอกล้วนไม่คุ้นเคย ดังนั้นมันจึงตัดสินใจไม่เร่งรีบเดินทาง แต่ฝึกฝนและทำความคุ้นเคยกับทักษะที่จำเป็นในการเอาตัวรอดในป่าแทน            เนื่องเพราะมันไม่คุ้นเคยกับถนนหนทางจึงต้องสอบถามทิศทางตลอดการเดินทาง ภายหลังมันจึงพบว่ามีปัญหา — สัมผัสด้านทิศทางของมันดูเหมือนจะย่ำแย่อยู่บ้าง

แม้ว่าทิศทางหลักจะถูกต้อง มันกลับวกอ้อมหลายต่อหลายครา ผู้ที่บอกทางมันบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่าเดินทางครึ่งวันก็ถึงที่หมาย แต่มันกลับเดินวกวนกว่าจะถึงที่หมายก็ใช้เวลาไปทั้งวัน

โดยเฉพาะเมื่อมันเลือกใช้เส้นทางตัดตรงทะลุป่าเข้าไปกลับเดินอยู่ในป่าถึงหนึ่งวันกับหนึ่งคืนอีกทั้งต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย แต่มันก็ยึดถือเป็นเป้าฝึกฝีมือ แม้จะยังไม่ได้ต่อสู้กับผู้คนแต่ก็ได้ประสบการณ์จากการต่อสู้กับสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่น้อย

วันที่หกหลังออกจากเมืองลั่วซี  ‘ไป่หยุนเฟย’ ปีนขึ้นเนินเขามองไปเห็นหมู่บ้านเล็กๆห่างจากเชิงเขาไม่ไกล จึงตัดสินใจเข้าไปค้างคืนและสอบถามเส้นทาง…            … … … …

ยามนี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ อยู่ทางด้านใต้ของหมู่บ้าน แต่ทางตะวันตกของหมู่บ้านพลันปรากฏฝุ่นคลุ้งขึ้นมา เสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงดังกึกก้องทำลายความเงียบสงบ กลุ่มคนกว่าสามสิบควบม้ามาอย่างเร่งร้อน

คนเหล่านี้ท่าทีดุร้ายเพียงพบเจอคราแรกก็บอกได้ว่าพวกมันไม่ใช่คนดี อีกทั้งพวกมันยังพกพาอาวุธ ที่นำหน้าเป็นชายวัยกลางคนหน้าเหลืองจมูกบวมโต มันไม่กำยำดุร้ายเช่นผู้คนด้านหลัง แต่ดวงตามันยามกรอกไปมากลับเปี่ยมด้วยเล่ห์เหลี่ยม มันสังเกตสีสันท้องฟ้าแล้วหันไปกล่าวกับผู้ที่ติดตามมา

“ม้าห้อตะบึงมาทั้งวันสมควรพักผ่อน ทุกคนตั้งค่ายที่ป่าละเมาะด้านหน้า พวกเราจะพักผ่อนหนึ่งคืนแล้วเดินทางต่อ!”

เมื่อถึงป่าละเมาะพวกมันก็ตั้งกระโจมก่อไฟเตรียมอาหาร ผู้นำกลางคนนั้นนั่งบนก้อนหินจิบสุราจากขวดในมือ

“เจ้าสำนักพอใจบรรณาการที่ส่งมอบให้ครานี้ยิ่งนัก ดังนั้นจึงประทานวัตถุวิญญาณแก่พวกเรา ท่านหัวหน้ามีเกราะวิญญาณไหมทองอยู่แล้ว ด้วยหนามธารน้ำแข็งนี้จะยิ่งทำให้แข็งแกร่งขึ้น คราครั้งนี้ทำงานสำเร็จลุล่วงเมื่อกลับค่ายท่านหัวหน้าต้องตกรางวัลข้าอย่างงาม!”

กล่าวถึงตอนนี้มันอดไม่ได้ต้องตบกล่องไม้แคบยาวในอกเสื้อ

“วัตถุวิญญาณ… เมื่อใดข้าจึงมีสักชิ้น?”

ยามนี้ปรากฏชายร่างใหญ่เครารกครึ้มดวงตาราวปลาตายเดินมายังชายกลางคน กล่าวคำพูดด้วยท่าทีสอพลอ

”หัวหน้าหอจง มีหมู่บ้านอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล ข้าอยากพาพี่น้องไปหยิบฉวยอาหารเลิศรสกลับมา หลายวันมานี้เหล่าพี่น้องต้องรับประทานอาหารแห้งที่พกมาจนแห้งเหี่ยวยิ่งแล้ว”

ชายวัยกลางคนแซ่จางหันไปมองมันพลางหัวร่อดุด่า

”ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้หวังหยิบฉวยอาหารแก่พี่น้องเรา แต่เจ้าต้องการสตรีอีกแล้วกระมัง?”

ทันทีที่มันกล่าวจบผู้คนรอบข้างล้วนระเบิกเสียงหัวร่อดังสนั่น  ชายร่างใหญ่ดวงตาดั่งปลาตายไอแห้งๆอ้ำอึ้งอยู่บ้าง หัวหน้าหอจงจึงกล่าวต่อ

“เช่นนั้นพาพี่น้องไปสิบคน หยิบฉวยของมีค่าทุกอย่างที่พบเห็น ที่นี้นับว่าห่างไกลและกันดารคาดว่าทหารทางการก็ไม่มาถึงที่นี่”

ใบหน้าชายร่างใหญ่ปรากฏท่าทียินดี มันตะโกนก้อง

“ขอบคุณหัวหน้าหอ!”            … … … …

ในหมู่บ้านเงียบสงบ ควันไฟลอยม้วนขึ้นจากเตาในครัว เด็กหลายคนวิ่งเล่นอย่างเบิกบาน สุนัขสีเหลืองทองตัวใหญ่นอนเกียจคร้านอาบแสงอาทิตย์ยามอัสดงอยู่หน้าหมู่บ้าน

ทันใดใบหูสุนัขสีเหลืองทองตัวใหญ่พลันกระดิก ดวงตาฉายแววระวังภัย มันพลิกตัวยืนขึ้นจากนั้นโก่งตัวเล็กน้อยมองไปเบื้องหน้าและคำรามเสียงต่ำ

พื้นดินราวกับสั่นสะเทือนเล็กน้อย จากนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าม้าอย่างเร่งร้อน ปรากฏกลุ่มคนควบม้าบนถนนตรงเข้าสู่หมู่บ้าน

ชายหนุ่มอายุราว 20 ปีหาบถังน้ำคู่หนึ่งด้วยคานบนบ่ากำลังเดินกลับบ้าน เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันไปมองอย่างงุนงง

ทันทีที่มันหันไปมอง ใบหน้าที่นับว่าหล่อเหลาของมันแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว ขาของมันสั่นสะท้าน ดูเหมือนหลังจากงงงันชั่วอึดใจก็มีปฏิกิริยา มันโยนคานบนบ่าทิ้งและรีบเร่งไปกลางหมู่บ้านแผดร้องอย่างไม่อาจข่มกลั้น

“พวกโจรบุก! พวกโจรบุกเข้ามาแล้ว! พวกโจรบุกเข้ามาแล้ว!”

ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกน ทั้งหมู่บ้านล้วนแตกตื่น ผู้คนราวร้อยคนจากสิบกว่าครอบครัวทยอยออกจากบ้านมาด้วยใบหน้าสับสน พวกมันมองชายหนุ่มที่หมอบอยู่กลางหมู่บ้านกำลังซุกศีรษะในวงแขนของตนเอง

หญิงสาวงดงามอายุเยาว์ วงหน้ารูปไข่ตากลมโตไว้ผมยาวประบ่า เดินเข้าหาชายหนุ่มที่สั่นกลัวและดึงแขนมันอย่างห่วงใย

“พี่เสี่ยวเฟิง เกิดอะไรขึ้น? อะไรเข้ามา?”

“พวกมัน พวกมันกลับมาอีก… ถูกทำลาย… หมู่บ้านถูกทำลาย… ทุกคนต้องตาย ทุกคนต้องตาย… บิดา มารดา… น้องสาวข้า… พวกมันกลับมาอีกแล้ว…”

ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง ดูเหมือนความกลัวครอบงำสติมันหมดสิ้น แต่เมื่อมันได้ยินคำพูดที่ห่วงใยของหญิงสาวก็พลันยืนขึ้น มันเงยหน้าขึ้นกะทันหันใบหน้าเปี่ยมด้วยความกลัวและกังวล มันกุมมือหญิงสาวกล่าวอย่างเร่งร้อน

”พวกมันกำลังมา! รีบหาที่ซ่อนตัว! หลิงเอ๋อร์รีบหาที่ซ่อน! สตรีอายุเยาว์ทั้งหมดรีบไปซ่อนตัวในบ้าน! พวกเจ้าห้ามออกมา ทุกคนนำของมีค่าทั้งหมดในบ้านออกมามอบให้พวกมัน! มอบให้พวกมัน… ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าต้องตาย… ต้องตาย”

เดิมทีมันกล่าววาจากับหญิงสาวนั้น แต่ภายหลังกลับตะโกนเสียงดังแก่ชาวบ้านรอบข้าง

ทุกคนงุนงงอยู่บ้าง แต่ล้วนได้รับผลกระทบจากท่าทีและคำพูดของชายหนุ่ม พวกมันใช้ท่าทีวิตกกังวลมองไปยังชายชราอายุราว 50 ปีที่อยู่อีกด้านพร้อมกัน — นั่นเป็นผู้ใหญ่บ้าน

ยามนี้ใบหน้าผู้ใหญ่บ้านเคร่งขรึมลง มันมองไปยังชายหนุ่มนามเสี่ยวเฟิงจากนั้นเหลียวหน้าไปมองกลุ่มคนบนหลังม้าที่เคลื่อนเข้าใกล้หมู่บ้าน

“เสี่ยวเฟิงมาจากหมู่บ้านหลี่ใกล้กับภูไม้ดำ เนื่องเพราะคนในหมู่บ้านต่อต้านกลุ่มโจรจากค่ายไม้ดำจึงถูกฆ่าล้างเกือบหมดสิ้น เป็นเหตุให้ยามนี้มันเป็นเยี่ยงนี้…”

ผู้ใหญ่บ้านดูเหมือนกล่าวกับตนเองแต่ก็ดูเหมือนกล่าวกับผู้คนรอบกาย มันเงยหน้าขึ้นกล่าว

”ทั้งหมดฟังคำของเสี่ยวเฟิง! ให้ผู้หญิงทุกคนไปซ่อนตัว! อีกสักครู่อย่าได้ขัดขืนพวกมัน!”

เมื่อม้าสิบกว่าตัวเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ยังอยู่ที่กลางหมู่บ้านล้วนสั่นสะท้านไม่หยุด คนดุร้ายเหล่านี้ล้วนถือดาบใหญ่เย็นเยียบในมือแลดูน่ากลัวนัก

“โอ? ผู้คนในหมู่บ้านนี้ช่างแปลกพิเศษ ดูเหมือนรอต้อนรับพวกเราอยู่? ประเสริฐ! หากพวกเจ้าเชื่อฟัง วันนี้ท่านลุงของเจ้าคนนี้จะไม่ทำร้ายผู้ใด! รีบนำสุราอาหารและสมบัติที่พวกเจ้ามีทั้งหมดออกมาคารวะ! หากข้าพอใจจะจากไปหลังจากได้ข้าวของ!”

ชายร่างใหญ่ตาราวปลาตายกล่าววาจาพลางหัวร่อ ราวกับหยิบยื่นพระคุณยิ่งใหญ่แก่ชาวบ้าน

ผู้ใหญ่บ้านมองดูอาวุธในมือพวกมัน ไม่กล้าแม้จะตอบคำ มันคำนับชายร่างใหญ่กล่าวว่า

”นายท่านขอบคุณสำหรับความเมตตา พวกเราจะไปนำข้าวของที่ท่านต้องการออกมา               กรุณารอสักครู่…”

จากนั้นจึงส่งสายตาแก่คนด้านหลัง แม้พวกมันไม่ต้องการทำเช่นนี้แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน สิบกว่าคนนั้นหันหลังกลับไปยังบ้านของตน  จะให้ชาวบ้านในหมู่บ้านกลางป่าเขาอย่างพวกมันอาจหาญไปต่อต้านโจรร้ายเหล่านี้ได้อย่างไร? พวกมันยังยินดีที่โจรเหล่านี้เพียงหยิบฉวยข้าวของโดยไม่ทำร้ายผู้ใดด้วยซ้ำ

“ช้าก่อน!”

ทว่าชายร่างใหญ่ตาดั่งปลาตายพลันร้องตะโกน ขู่ขวัญพวกมันจนขวัญหนีดีฝ่อ

“ให้สตรีงดงามอายุเยาว์ในหมู่บ้านกลับไปพร้อมท่านลุงเจ้าคนนี้! ข้ายังมีพี่น้องอีกหลายสิบรอคอยที่ป่าละเมาะบนเขา เห็นแก่ที่พวกเจ้าเชื่อฟังหากพวกนางปรนนิบัติอย่างดีพวกข้าจะปล่อยพวกนางกลับมาอย่างปลอดภัย”

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments