I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 9 ความเปลี่ยนแปลง

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 1021 | 2365 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

หลายวันมานี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ จับจ่ายซื้อของมากมายเพื่อใช้ในการค้นคว้ากระบวนการอัพเกรด โดยเฉพาะเครื่องประดับทั้งหลายที่ต่อให้คุณภาพต่ำเพียงใดก็ยังแพงลิบลิ่ว อีกทั้งการดื่มกินของมันก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวอีก

ก่อนนี้มันอดมื้อกินมื้อ แต่เมื่อฝึกปรือฝีมือก็ต้องรับประทานให้เพียงพอแก่ที่ร่างกายต้องการส่วนจะทำอย่างไรหลังจากใช้จ่ายเงินทองหมดสิ้นนั้นมันมีแผนการอยู่แล้ว   มันเดินจากถนนสายเล็กอันห่างไกลที่อาศัยอยู่ ผ่านตรอกซอกซอยมากมาย มุ่งหน้าไปยังถนนที่ผู้คนพลุกพล่านสายหนึ่งใจกลางเมือง

“ได้โปรด… ได้โปรดละเว้นข้าเถอะ ข้าต้องเลี้ยงดูบุตรภรรยาที่บ้าน ได้โปรดเมตตาอย่าได้เอาไปหมดสิ้น…”

ยามที่มันบรรลุถึงปากตรอก เสียงวิงวอนอย่างหวาดกลัวก็แว่วมาจากตรอกสลัวทางด้านซ้าย

“หุบปาก! ยังมีของมีค่าใดอีกหรือไม่? รีบส่งมอบออกมา! ไม่เช่นนั้นข้าจะหักขาเจ้า!”

เสียงดุร้ายดังตามมา จากนั้นเป็นเสียงแค่นหัวเราะของคนอีกผู้หนึ่ง  ยังคงเป็นอันธพาลปล้นชิงผู้อ่อนแออีก

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในเมืองนี้ โดยเฉพาะในสถานที่อัตคัดและห่างไกลเยี่ยงนี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ เองก็เคยเผชิญเรื่องราวเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง มันไม่มีทางเลือกได้แต่ส่งมอบเงินทองที่ใช้เวลาทั้งวันหามาอย่างยากลำบากออกไป

พวกมันเป็นชายฉกรรจ์ราว 3-5 คน บางคราถึงกับใช้อาวุธ ท่านไม่อาจขัดขืนพวกมัน ทั้งยังไม่มีผู้ใดยื่นมือมาช่วยเหลือท่าน  จิตสำนึกของ ‘ไป่หยุนเฟย’ สั่งให้เดินจากไป แต่เมื่อก้าวเท้าออกไปได้ครึ่งก้าวมันพลันนิ่งงันอยู่กับที่ จากนั้นหันหลังกลับด้วยท่าทีบึ้งตึงและสาวเท้าไปยังตรอกแคบนั้น

“ข้า… ยังคงไม่อาจสลัดความขลาดเขลาได้หมดสิ้น? ไป่หยุนเฟยเอยไป่หยุนเฟย มิคาดว่าเจ้ายังจะหนีหน้า ก่อนนี้เจ้าบอกตนเองว่าไร้กำลัง แต่ยามนี้หากหลบหน้าไปเจ้าจะมีมโนธรรมอีกหรือ? ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเหลวไหลอย่างแก้ไขความอยุติธรรมทั้งปวงในโลก แต่อย่างน้อยหากข้าเผชิญเรื่องไม่ถูกต้องข้าจะไม่นิ่งดูดาย!”

หลังจากเดินเข้าไปในตรอกมืดสลัวแล้วไป่หยุนเฟยก็มองเห็นสถานการณ์ชัดตา ชายวัยกลางคนผอมแห้งกำลังถูกรุมล้อมจากชายร่างใหญ่ท่าทางดุร้ายสามคน แต่ละคนล้วนมีดสั้นในมือ หนึ่งในสามถือถุงใส่เงินกำลังค้นร่างชายกลางคนนั้น…

‘ไป่หยุนเฟย’ ไม่มีเจตนาจะซ่อนตัวแม้แต่น้อย ชายกลางคนกลางวงล้อมจึงสังเกตเห็นเป็นคนแรก ได้ยินเสียงฝีเท้ามันก็มีท่าทียินดีแต่เมื่อพบว่าเป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ท่าทางมันก็หมองลง เหล่าชายร่างใหญ่ก็หวาดเกรงยามได้ยินเสียงคนเข้ามาใกล้ แต่เมื่อพบเห็นไป่หยุนเฟยพวกมันก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นมองหน้ากันระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น

 “ฮ้า! ไม่คิดว่าจะมีคนเดินเข้ามาหาพวกเราเอง!”

“เจ้าเด็กเหลือขอ! นับว่าเจ้าเคราะห์ร้าย มอบเงินทองทั้งหมดออกมา! แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”

ชายร่างใหญ่ท่าทางดุร้ายเดินเข้าหา ‘ไป่หยุนเฟย’  อีกคนอ้อมไปด้านหลังอย่างว่องไวป้องกันไม่ให้มันหลบหนี   อาจเพราะท่าทีสงบนิ่งของ ‘ไป่หยุนเฟย’  ชายร่างใหญ่จึงลังเลอยู่บ้าง มันยกหมัดขึ้นกวัดแกว่งตรงหน้า           ‘ไป่หยุนเฟย’

“เจ้าเด็กเหลือขอ หรือไม่ได้ยินข้ากล่าววาจา? เอาเงินทองทั้งหมดออกมา! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าหยาบคาย!”

‘ไป่หยุนเฟย’ คุ้นเคยกับคนประเภทนี้ยิ่ง น้ำเสียงเยี่ยงนี้และคำพูดเยี่ยงนี้ มันทราบว่าหากมันยังลังเลอีกครา คนเบื้องหน้ามันนี้จะทุบตีมันอย่างไม่ปรานีจากนั้นหยิบฉวยเงินทองทั้งหมดของมันไป  ทว่ามันกลับไม่ใช่ชายหนุ่มอ่อนแออย่างที่เคยเป็น…

มันเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณอันทรงพลัง มันไม่มีอารมณ์กล่าววาจาไร้สาระกับคนเหล่านี้ ไป่หยุนเฟยจึงยกมือขวาขึ้นอย่างว่องไว คว้าจับข้อมือที่แกว่งไกวเบื้องหน้าและออกแรงเล็กน้อย…

“กร๊อบ!”           

“อ๊าก”

เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นภายในตรอกเงียบสงัด ทุกคนล้วนมีท่าทีโง่งม ชายผู้นั้นร้องโหยหวนราวสุกรถูกเชือด มันคลายมือออก ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงรีบแย่งมีดในมือมันมาแล้วยกเท้าเตะเข้าที่หน้าท้อง ชายร่างใหญ่ถูกเตะล้มกลิ้งออกไปหลายเมตรมันกุมมือขดตัวเป็นก้อนส่งเสียงคร่ำครวญไม่หยุด

“น้องสาม!”

ผู้คนรอบข้างไม่อาจตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา กระทั่งชายร่างใหญ่นั้นถูกเตะกระเด็นออกไป ชายที่ด้านหลัง’ไป่หยุนเฟย’ จึงร่ำร้องอย่างตื่นตระหนกจากนั้นกวัดแกว่งมีดในมือแทงไปที่หลังของ ‘ไป่หยุนเฟย’

ขณะที่เสียงร่ำร้องดังขึ้น’ไป่หยุนเฟย’ ก็ตระเตรียมพร้อม มันเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย แขนของชายด้านหลังเฉียดผ่านไหล่ยืดเหยียดอยู่ตรงหน้า มันคว้าจับข้อมือเสียงกระดูกหักจึงแว่วมาอีกครา ไป่หยุนเฟยก็คว้าจับมีดสั้นที่ร่วงลงสู่พื้นไว้ได้

มันพุ่งศอกกลับหลังโดยแรง ชายผู้นั้นก็งอตัวลงอย่างเจ็บปวด ‘ไป่หยุนเฟย’ เอื้อมมือกลับหลังคว้าคอเสื้อมันไว้กล้ามเนื้อแขนพลันเบ่งพองขึ้น ร่างใหญ่โตถูกเหวี่ยงราวกระสอบป่านลอยไปหล่นด้านข้างชายคนแรก

เพียงกระพริบตาไม่กี่ครั้งนักเลงสองคนก็ถูกสยบลงกับพื้น ทว่าร่างของ ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับไม่เคลื่อนจากจุดเดิมแม้แต่น้อย

ชายร่างใหญ่คนสุดท้ายมือหนึ่งถือมีดมือหนึ่งถือถุงใส่เงินยืนอยู่ข้างชายวัยกลางคน มันมองไป่หยุนเฟยอย่างตะลึงงัน

‘ไป่หยุนเฟย’ เดินเข้าหามันและยื่นมือออก

“ส่งมา”

ชายผู้นั้นเหม่อลอยยื่นมีดสั้นในมือแก่ไป่หยุนเฟย

“ส่งเงินมา!”

ยามนี้เหลือเพียงชายร่างใหญ่คนสุดท้ายยืนอยู่อย่างแตกตื่น ดวงตาเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว เช่นเดียวกับชายกลางคนนั้นยามที่ถูกปล้นชิง มันรีบส่งถุงใส่เงินในมือให้แก่ ‘ไป่หยุนเฟย’  ขบคิดเล็กน้อยจึงล้วงถุงใส่เงินอีกใบจากอกเสื้อด้วยมือสั่นเทาส่งมอบให้

‘ไป่หยุนเฟย’ยื่นถุงใส่เงินทั้งสองใบให้แก่ชายกลางคนที่ยังยืนอยู่ในภวังค์

“ท่านไปได้แล้ว ต่อไปให้ระมัดระวังยามที่กลับบ้าน”

คนผู้นั้นจึงได้สติ มันมอง ‘ไป่หยุนเฟย’ ด้วยสายตาหวาดหวั่นอยู่บ้าง จึงรับถุงใส่เงินทั้งสองไป หลังจาก       เหม่อลอยอยู่ครึ่งค่อนวันมันจึงตั้งสติได้โน้มกายคารวะไป่หยุนเฟยจรดพื้น

“ขอบคุณ…ขอบคุณท่าน…”

‘ไป่หยุนเฟย’ มองชายกลางคนเร่งรีบออกจากตรอกไป จึงหันกายไปหาชายร่างใหญ่เบื้องหน้า

ยามถูก ‘ไป่หยุนเฟย’ จับจ้องมันก็หวาดกลัวอยู่ภายใน มันไขว้มือไว้เบื้องหลังกล่าวตะกุกตะกัก

“ข้า… ข้าส่งเงินทองให้แล้ว อย่าได้ทำร้ายข้า…”

“แต่ข้าไม่ได้บอกว่าหากส่งเงินมาแล้วจะละเว้นเจ้า อีกอย่างพี่น้องทั้งคู่ของเจ้าล้วนบาดเจ็บ หากเจ้ารอดพ้นไปโดยไม่บาดเจ็บจะสู้หน้าพวกมันอย่างไร…?”

เมื่อ ‘ไป่หยุนเฟย’ ออกจากตรอกมา มันยังคงเป็นเช่นเดิมดูไม่มีที่ใดเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อมองลงไปในดวงตามันกลับเป็นประกาย ทั้งรอยยิ้มจางๆปรากฏที่มุมปาก

เมื่อครู่ขณะที่ชายกลางคนนั้นคารวะมันกล่าวคำ’ขอบคุณ’ ราวกับกำแพงในจิตใจมันพังทลายลง มันรู้สึกอิ่มเอมและเบิกบานใจยิ่ง

“นี่เป็นความรู้สึกยามได้ช่วยเหลือผู้อื่น…”

‘ร้านศาสตราสมบัติ’ เป็นร้านอาวุธที่ดีที่สุดในเมืองลั่วซี อาวุธทุกชิ้นในร้านล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง ไม่ว่าในด้านความประณีตหรูหราหรือทนทานแหลมคม

‘ไป่หยุนเฟย’ เข้าไปในร้านตรงไปยังโต๊ะกั้นกล่าวกับเถ้าแก่ที่นั่งเช็ดถูกระบี่อยู่หลังโต๊ะ

“เถ้าแก่ ข้าต้องการขายอาวุธ”

เถ้าแก่นั้นเงยหน้ามองไป่หยุนเฟยแล้วก้มหน้าเช็ดถูกระบี่และกล่าวเสียงเรียบ

“ไปร้านอื่น ที่นี่ไม่รับอาวุธมีตำหนิ”

“ท่านควรชมดูก่อน”

ขณะกล่าววาจาไป่หยุนเฟยก็วางมีดสั้นลงบนโต๊ะ นี่เป็นมีดสั้นที่อัพเกรดถึง +9 มันสัมผัสถึงความคมกล้าที่ส่งออกมาได้ มีดนี้สมควรขายได้ราคาไม่น้อย อันที่จริงมันมีมีดสั้น +10 ซึ่งเสริมผลกระทบเพิ่มเติมอยู่อีกเล่ม แต่มันไม่โง่เขลาพอจะขายออกไป

เถ้าแก่ร้านเงยหน้าอีกครามองไปยังมีดสั้นที่ดูธรรมดาทั่วไปและกล่าวอย่างขุ่นข้อง

“เพียงแค่มีดสั้นธรรมดาไม่มีอันใดต้องดู ร้านเหล็กถัดไปขายเพียง 20 เหรียญทองแดง เจ้าเด็กเหลือขอ หรือเจ้ามาเพื่อรังควานข้า?”

‘ไป่หยุนเฟย’ คร้านจะโต้เถียงจึงหยิบมีดสั้นขึ้นชี้ปลายแหลมลงเมื่อยกขึ้นจากโต๊ะราว 30 เซนติเมตรก็คลายมือ

“ฉึก”

เสียงแว่วมาเบาๆ มีดสั้นนั้นกลับทะลวงเข้าสู่โต๊ะที่ทำจากไม้เนื้อดีราวกับทะลวงดินเหลวจนมิดด้าม!!

“โอ๊ะ? นี่…”

ยามที่มีดสั้นทะลวงสู่โต๊ะท่าทีขุ่นข้องบนใบหน้าของเถ้าแก่กลับกลายเป็นแตกตื่นไม่เชื่อถือ มันพึมพำออกมา

”ความคมกล้าระดับนี้ เป็นไปได้อย่างไร”

หลังจากไป่หยุนเฟยดึงมีดขึ้นมาให้ เถ้าแก่รับไปพิจารณาอยู่ครึ่งค่อนวันจึงหยิบหินทดสอบที่เต็มไปด้วยรอยฟันและรอยแทงออกมา มันสะบัดมีดโดยแรงไปยังบริเวณที่ปราศจากร่องรอย พร้อมกับเสียงแว่วมาหินทดสอบนั้นก็ถูกตัดแยกออก

“เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? พิจารณาจากฝีมือการจัดสร้างมีดนี้ เห็นได้ชัดว่าล้วนธรรมดาสามัญ อีกทั้งวัสดุก็ไม่มีอันใดพิเศษ…”

เห็นเถ้าแก่สำรวจมีดสั้นไม่หยุดหย่อน ‘ไป่หยุนเฟย ‘จึงตบโต๊ะด้วยความขุ่นข้องอยู่บ้าง

“เช่นนั้นจะซื้อหรือไม่ซื้อ? หากท่านไม่ต้องการข้าจะไปร้านอื่น”

เถ้าแก่นิ่งงันไป พลันจดจำได้ว่าบุรุษตรงหน้ามาเพื่อขายมีดสั้นนี้ มันประเมินไป่หยุนเฟยอย่างละเอียดอีกครา ดวงตามันทอประกายเฉียบแหลม มันกลั้วหัวเราะกล่าวต่อไป่หยุนเฟย

“ฮ่า ฮ่า สหายน้อย ท่านต้องการราคาเท่าใด?”

‘ไป่หยุนเฟย’ ขมวดคิ้ว มันก็ไม่ทราบว่าควรขายราคาเท่าใดจึงกล่าวเสียงเรียบ

“ให้ราคามา หากเหมาะสมข้าจะขาย”

ใบหน้าเถ้าแก่ปรากฏรอยยิ้มอย่างล้ำลึก

“สหายน้อย คาดว่าเจ้าคงมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินทองเร่งด่วน เห็นแก่เจ้า ครานี้ข้าจะช่วยซื้อมีดสั้นนี้ไว้ แต่ทว่า…”

มันกล่าววาจาราวกับซื้อมีดสั้นนี้เพียงเพื่อช่วยเหลือ ‘ไป่หยุนเฟย’ สักครา จากนั้นมันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

”สหายน้อย เจ้าก็รู้ร้านศาสตราสมบัติของข้าเพียงซื้อของชั้นดี ลูกค้าก็ล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจ แม้มีดสั้นนี้จะคมกล้าอย่างยิ่งแต่การจัดสร้างหรือรูปทรงล้วนไม่มีอันใดพิเศษ หากข้ารับซื้อเอาไว้คงไม่อาจขายได้ราคา เจ้าดูมีดสั้นของข้าด้านโน้น การจัดสร้างของมัน…”

“พอแล้ว! ท่านคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือ?”

เห็นเถ้าแก่ยิ่งกล่าวยิ่งกระตือรือร้นยิ่งทำให้ไป่หยุนเฟยขุ่นข้อง จึงถลึงตามองและตะโกนให้มันหยุดกล่าววาจาไร้สาระ

เถ้าแก่ผู้นี้กล่าวาจาติติงลดคุณค่าของมีดสั้นในมือหมายกดราคาให้ต่ำที่สุด เมื่อถูก ‘ไป่หยุนเฟย’ ตะโกนใส่พลันพูดจาไม่ออก แต่ยามมันเงยหน้าขึ้นสบตากับ ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็สะท้านไปทั้งร่าง มันถอยหลังเสียงโครมครามไปหลายก้าวกระทั่งชนเข้ากับชั้นวางของด้านหลังจึงหยุดลงได้

“เจ้า… เอ่อ ไม่…นายท่าน ท่านเป็นนายท่านผู้ฝึกปรือวิญญาณ?!”

เถ้าแก่ละล่ำละลักถาม

“โอ๊ะ? ไฉนท่านล่วงรู้ได้?”

‘ไป่หยุนเฟย’ งงงันยิ่ง หรือเป็นเพราะผู้ฝึกปรือวิญญาณแยกแยะออกง่ายดายยิ่ง

“นายท่าน… นายท่านผู้ฝึกปรือวิญญาณ โปรดอภัยที่ข้า… อภัยที่ข้ามีตาแต่ไร้แวว โปรดอย่าได้ถือสาผู้ต่ำต้อยเช่นข้า…”

เมื่อได้ยิน ‘ไป่หยุนเฟย’ ยอมรับเถ้าแก่นั้นรีบก้มศีรษะประสานมือคารวะขอโทษไม่หยุด

มันไม่ได้มีความสามารถอันยิ่งใหญ่ มันเป็นเพียงคนธรรมดา เพราะเหตุนี้มันจึงรับมือผู้ฝึกปรือวิญญาณอย่างหวาดเกรง มันเปิดร้านอาวุธในเมืองย่อมต้องพบปะกับผู้เยาว์จากตระกูลร่ำรวยอยู่บ้าง ตระกูลเหล่านี้ล้วนไม่ขาดแคลนผู้ฝึกปรือวิญญาณ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำแห่งด่านนวกะวิญญาณหรือปัจเจกวิญญาณ ในสายตาของคนธรรมดาพวกมันล้วนมีพลังอันไร้เทียมทาน

ผู้ฝึกปรือวิญญาณที่ฝึกฝนวิญญาณของพวกมัน สำหรับคนธรรมดาวิญญาณอันทรงพลังจะแผ่แรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานออกมาดังเช่นที่จางหยางจับจ้อง ‘ไป่หยุนเฟย’ อย่างโกรธแค้นคราก่อนหรือยามที่จางเจิ้นซานกวาดสายตามองมา มันก็รู้สึกตกอยู่ใต้แรงกดดันจนลมหายใจแทบขาดห้วง

เมื่อครู่ยามเถ้าแก่สบตากับ ‘ไป่หยุนเฟย’  ภายใต้ดวงตาฉายแววโทสะมันก็สัมผัสถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาคล้ายกับผู้ฝึกปรือวิญญาณ

“เลิกกล่าววาจาเหลวไหล เพียงบอกราคามีดสั้นมาตามตรง”

“ขอรับ ขอรับ ขอรับ… ผู้ต่ำต้อยไม่กล้าหลอกลวงนายท่านผู้ฝึกปรือวิญญาณ มีดสั้นนี้มีค่าอย่างน้อยสามเหรียญทอง…”

“ข้ามีมีดสั้นอยู่สี่เล่ม สิบเหรียญทอง แล้วทั้งหมดเป็นของเจ้า”

เมื่อ ‘ไป่หยุนเฟย’ ออกจากร้านมา มันเบิกบานไม่น้อย มันไม่คาดคิดว่ามีดสั้นระดับ +9 เหล่านั้นจะขายได้ราคาถึงเพียงนี้ ดูเหมือนมันไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไปแล้ว

ยามนี้มันมีเงินทองอีกครา  ‘ไป่หยุนเฟย’ ตัดสินใจซื้อหาสิ่งของที่ดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง เพื่อนำมาค้นคว้ากระบวนการอัพเกรดของมันต่อ

“น้องหลิวเมิ่ง ข้าได้ยินมาว่า หออัญมณีเบื้องหน้าเพิ่งนำอัญมณีและเครื่องประดับชุดใหม่มาวางจำหน่าย ไยพวกเราไม่ไปชมดู? บางทีอาจมีชิ้นที่เจ้าชมชอบ…”

น้ำเสียงประจบเอาใจดังมาจากผู้คนห่างไปไม่ไกล ‘ไป่หยุนเฟย’ พลันนิ่งงันอยู่ข้างแผงขายผลไม้ราวกับร่างมันต้องมนต์สะกด ทั้งร่างมันสั่นระริกไม่หยุดยั้ง ดวงตามันแดงฉานด้วยสายเลือด

“จางหยาง!”

 

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments