ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปภายในบ้านที่สร้างหยาบๆอย่างเรียบง่ายในหมู่บ้าน ‘ไป่หยุนเฟย’ นั่งขัดสมาธิบนเตียงฟื้นฟูพลังวิญญาณที่ใช้ในการต่อสู้เมื่อครู่ ขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เรื่องจัดการซากศพของพวกโจรมันมอบให้ชาวบ้านไปจัดการแล้ว ชาวบ้านหลายคนรวมทั้งผู้ใหญ่บ้านบาดเจ็บสาหัสแต่โชคดีที่ไม่มีใครถูกฆ่าตาย
ยามที่ชายหนุ่มชื่อ ‘เสี่ยวเฟิง’ รู้สึกตัวก็เห็นซากศพเกลื่อนกลาดรอบกาย หลังจากทราบว่าทั้งหมดล้วนถูกมันฆ่าตายก็อาเจียนไม่หยุดตลอดสิบกว่านาที แม้แต่ ‘ไป่หยุนเฟย’ เมื่อเห็นซากศพที่ถูกมันกระหน่ำฟันจนเลอะเลือนยังลอบสยดสยองในใจ
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สำนึกเสียใจที่ลงมือฆ่าพวกโจรไปแม้แต่น้อย หลังจากอาเจียนออกมามันยังคงมองซากศพเหล่านั้นอย่างเฉยเมย ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงได้ทราบว่ามันเกลียดชังพวกโจรอย่างลึกล้ำสุดจะหยั่งได้
ชายหนุ่มนั้นนามหลี่เฉิงเฟิง เดิมทีมันอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆใกล้ภูไม้ดำ แต่ภายหลังถูกพวกโจรบุกเข้าปล้นชิง ฆ่าคนวางเพลิง มันถูกพวกโจรชั่วช้าจับแขวนเอาไว้และทำได้เพียงเบิ่งตาดูครอบครัวถูกฆ่าทีละคน น้องสาวมันถูกย่ำยีจนตาย พวกโจรกลับไม่ฆ่ามันแต่ปล่อยให้มีชีวิตอย่างทนทุกข์ทนมาน
ครึ่งปีก่อนมันเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ หลังจากพบรักกับหลิงเอ๋อร์จึงค่อยๆหลุดพ้นจากเงาของความปวดร้าวและเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ดูเหมือนจะกระตุ้นความปวดร้าวของมันกำเริบขึ้น จนจมลึกสู่สภาพคลุ้มคลั่งด้วยความเกลียดชัง ถึงกับฆ่าพวกโจรที่ ‘ไป่หยุนเฟย’ สยบไว้จนหมดสิ้น
หลังจากทราบเรื่องราวเหล่านี้จากชาวบ้าน ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็สะเทือนใจไม่น้อยเช่นกัน ไม่แปลกที่แม้ยามนั้นชาวบ้านจะหวาดกลัวมันแต่ภายหลังก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาต่อต้านอันใดต่อมัน พวกโจรชั่วเหล่านี้ล้วนไม่มีค่าพอให้เวทนา คนเช่นพวกมันไม่แยแสว่าฆ่าคนไปเท่าใด กี่ครอบครัวอันอบอุ่นที่ถูกทำลายในเงื้อมมือพวกมัน เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นขัดจังหวะไป่หยุนเฟย มันจึงเงยหน้าขึ้นกล่าว
“เข้ามา”
หลังจากมองเห็นผู้มา ดวงตา ‘ไป่หยุนเฟย’ ทอประกายความรู้สึกยากบรรยายวูบหนึ่ง มันกล่าวอย่างเรียบเฉย
“มาหาข้ามีธุระอันใด?”
ผู้มาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับ ‘ไป่หยุนเฟย’ เส้นผมที่ยาวประบ่าของมันสมควรยาวสลวยแต่ยามนี้กลับยุ่งเหยิงอยู่บ้าง ใบหน้าคมคายของมันปรากฏร่องรอยความโศกเศร้าอย่างลึกซึ้งและดวงตาของมันยังซุกซ่อนความเกลียดชังเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องเพราะมันได้รับบาดเจ็บใบหน้าจึงซีดเซียวไปเล็กน้อย — จะเป็นใครหากไม่ใช่หลี่เฉิงเฟิง
หลังจากเข้ามาในห้องมันก็ยืนที่หน้าประตูกล่าวกับไป่หยุนเฟย
”จอมยุทธ์ ‘ไป่’ โจรที่ท่านนำกลับมา มันฟื้นแล้ว พวกเราสอบปากคำได้ความว่าพวกมันมาจากค่ายไม้ดำบนภูไม้ดำ ยังมีพวกมันอีกยี่สิบสามสิบคนอยู่ที่ป่าละเมาะด้านตะวันตกของหมู่บ้าน หากพวกมันทราบเรื่องจะต้องบุกจู่โจมหมู่บ้านเราเป็นแน่ ผู้ใหญ่บ้านให้ข้ามาถามท่านว่ามี หนทางใด…”
‘ไป่หยุนเฟย’ นิ่งงันไป มันไม่ได้คาดคิดว่ายังมีพวกโจรหลงเหลืออีกทั้งยังมีมากกว่ายี่สิบคนด้วยซ้ำ
“พวกมันเข้มแข็งหรือไม่?”
‘ไป่หยุนเฟย’ ถามหลังจากขบคิดชั่วครู่
“โจรนั้นกล่าวว่า หัวหน้าหอจางที่นำพวกมันมาเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณระดับปลายด่านนวกะวิญญาณ…”
กล่าวถึงตรงนี้ ‘หลี่เฉิงเฟิง’ ดูเหมือนหวาดกลัวอยู่บ้าง
“เจ้ารู้เรื่องผู้ฝึกปรือวิญญาณ?”
ดูจากท่าทางของมัน เห็นได้ชัดว่ามันทราบความน่ากลัวของผู้ฝึกปรือวิญญาณ
“ข้าทราบ… มันยังบอกอีกว่าหัวหน้าโจรแห่งค่ายไม้ดำเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณระดับกลางด่านวีรชนวิญญาณ มีพลังมหาศาล สามารถยกกระถางเหล็ก บดศิลา แม้กระทั่งฉีกกระชากสัตว์ร้ายทั้งเป็น รองหัวหน้าค่ายอยู่ระดับปลายด่านปัจเจกวิญญาณ และหัวหน้าหอทั้งสี่ภายใต้พวกมันล้วนแต่เป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณเช่นกัน หัวหน้าหอจงที่อยู่นอกหมู่บ้านนั้นก็คือหนึ่งในพวกมันทั้งสี่”
กล่าวถึงจุดนี้ดวงตาหลี่เฉิงเฟิงทอประกายความเกลียดชังอย่างล้ำลึก
”อีกทั้งหัวหน้าหอจงนั้นเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรที่บุกมาฆ่าล้างหมู่บ้านเดิมและทำลายครอบครัวของข้า!”
‘ไป่หยุนเฟย’ ครุ่นคิดหมกมุ่นอยู่บ้าง มันไม่คิดว่ากลุ่มโจรจะเข้มแข็งปานนี้ โชคดีที่มันไม่โง่พอจะบุกเข้าปะทะพวกโจรซึ่งหน้า ยามนี้แม้แต่กับการกำจัดโจรกลุ่มเล็กๆที่ลงจากภูมามันยังต้องละเอียดรอบคอบถึงที่สุด ไฉนผู้ฝึกปรือวิญญาณจึงแพร่หลายนัก?
อีกทั้งกระทั่งยังมีหัวหน้าหอระดับปลายด่านนวกะวิญญาณอยู่ไม่ไกลออกไป เมื่อเทียบกันแล้วหากสู้กันตัวต่อตัว ‘ไป่หยุนเฟย’ ยังไม่อาจเอาชัย และยังมีพวกโจรที่ประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนอีก กระนั้นมันยังมีสิ่งของที่ผ่านการอัพเกรดอยู่ ดังนั้นใครจะได้ชัยยังต้องลองต่อสู้กันดู
“จอมยุทธ์ไป่ ท่าน… ก็เป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณกระมัง? ท่านรับมือกลุ่มโจรที่นอกหมู่บ้านได้หรือไม่?”
‘หลี่เฉิงเฟิง’ ถามอย่างร้อนรนอยู่บ้าง หลังจากเหตุการณ์แล้วทุกคนล้วนฝากชีวิตไว้กับชายหนุ่มลึกลับนี้ มันไม่อาจจินตนาการได้จริงๆว่าเมื่อกลุ่มโจรชั่วช้าสามานย์นี้บุกเข้าหมู่บ้านได้จะสยดสยองเพียงใด — มันไม่อาจแบกรับการต้องสูญเสียคนที่รักได้อีกแล้ว
‘ไป่หยุนเฟย’ เงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ไม่ตอบคำถามมัน ดวงตามันเป็นประกายแวววาวราวกับตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
“เจ้าต้องการแก้แค้นด้วยมือตนเองหรือไม่? เจ้าต้องการปกป้องคนสำคัญด้วยกำลังตนเองหรือไม่?”
“ว่ากระไร?”
คำพูดเหล่านี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ กล่าวหลังจากเงียบงันเนิ่นนาน หลี่เฉิงเฟิงที่นิ่งงันพลันสั่นระริกไปทั้งร่าง มันถามด้วยท่าทีตื่นเต้นยินดี ประหลาดใจและคาดหวัง
“ท่านบอกว่า…”
‘ไป่หยุนเฟย’ พยักหน้ากล่าว
”พลังวิญญาณของเจ้าตื่นขึ้นแล้ว ข้าสามารถสอนวิธีฝึกปรือวิญญาณให้เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณที่แท้จริง”
‘หลี่เฉิงเฟิง’ คุกเข่าโครมเบื้องหน้า ‘ไป่หยุนเฟย’ เตรียมจะโขกศีรษะให้
กระนั้นเมื่อมันก้มตัวลงก็ต้องชะงัก เป็น ‘ไป่หยุนเฟย’ รีบพุ่งมาหยุดยั้งการโขกศีรษะมันเอาไว้
“ข้าไม่ได้กล่าวว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้าไม่จำเป็นต้องคำนับ ข้าไม่อาจรับได้ ข้าเพียงสอนวิธีฝึกปรือเพราะอาจต้องพึ่งพาพลังของเจ้าในการต่อสู้ที่จะมาถึง อีกอย่าง… ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้าดีดังนั้นจึงยื่นมือช่วยเหลือเล็กน้อยไม่ได้ลำบากกินแรงอันใด…”
‘ไป่หยุนเฟย’ สะบัดข้อมือ ม้วนคัมภีร์สีเทาก็ปรากฏอยู่ในมือ มันส่งให้ ‘หลี่เฉิงเฟิง’ และกล่าว
”ยามนี้เจ้าสัมผัสถึงพลังอันแปลกพิเศษในร่างได้กระมัง? นั่นคือพลังวิญญาณ ถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าสู่ม้วนคัมภีร์นี้แล้วเจ้าจะสามารถเรียนรู้วิธีควบคุมผิวหนังและกล้ามเนื้อของด่านนวกะวิญญาณ ม้วนคัมภีร์นี้ยังคงมีประโยชน์ต่อข้าอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าไม่อาจมอบให้เจ้าได้ เจ้าจงนำมาคืนข้าในวันพรุ่งนี้”
เมื่อดูเห็นท่าทีของหลี่เฉิงเฟิงไป่หยุนเฟยครุ่นคิดชั่วขณะจึงกล่าวต่อ
“เจ้าไปบอกชาวบ้านให้นำศพพวกโจรไปกองรวมกันหน้าหมู่บ้าน ข้าคิดว่า… อาจสามารถหยุดพวกมันไม่ให้บุกเข้ามาคืนนี้ได้ พรุ่งนี้หากเจ้ามีความเข้าใจการใช้พลังวิญญาณ พวกเราสองคนจะต่อสู้กับพวกมันร่วมกัน แต่หากมันบุกมาคืนนี้ข้าก็ไม่มีทางเลือกได้แต่สู้กับพวกมันสุดกำลัง…”
ดวงจันทร์สุกสว่างแขวนอยู่กลางท้องฟ้าท่ามกลางหมู่ดาว ในป่าละเมาะกองไฟหลายกองทยอยมอดดับ หัวหน้าหอจงกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึมขณะจับจ้องกองไฟเบื้องหน้า
” ‘ถังกุย’ ยังไม่กลับมาอีก… หรือจะเกิดเหตุไม่คาดคิดใดขึ้น?”
พลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้า นี่เป็นผู้ที่ถูกส่งไปสืบข่าวกลับมา หัวหน้าหอจงเงยหน้ามอง มันไม่รอให้ถูกถามก็กล่าวเสียงสั่นด้วยท่าทีหวาดกลัวอยู่บนหลังม้า
”ตายแล้ว… พวกมันตายแล้ว! ถังกุยและเหล่าพี่น้องล้วนตายหมดแล้ว!”
คำพูดที่มันตะโกนออกมาปลุกทุกคนตื่นขึ้นอย่างงุนงง พวกมันทยอยรุมล้อมเข้ามา คนผู้นั้นสูดลมหายใจและกล่าวต่อ
“ศพของถังกุยกับพวกถูกกองสุมไว้หน้าหมู่บ้าน พวกมัน… พวกมันล้วนตายหมดแล้ว!”
บัดนี้ทุกคนจึงเข้าใจกระจ่าง พวกมันตื่นตระหนกแล้ว
“เจ้าว่ากระไร? ทั้งสิบกว่าคนล้วนตายหมดแล้ว?”
“เจ้าดูผิดหรือไม่? ถังกุยไม่ใช่คนอ่อนแอ คนทั่วไปล้วนไม่ใช่คู่มือของมัน!”
“เพียงหมู่บ้านเล็กๆ จะสามารถฆ่าพวกมันทั้งหมดได้อย่างไร?!”
“ทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อม! ไปชมดูหมู่บ้านนั้นกัน หากเป็นจริงก็ฆ่าล้างพวกมันล้างแค้นให้ถังกุยและพี่น้อง!”
“อย่าตระหนก อาจเป็นยอดฝีมืออยู่ที่นั่น…”
“… …”
“ล้วนหุบปากให้แก่ข้า!”
หัวหน้าหอจงตะโกนสั่งอย่างเดือดดาลเมื่อเห็นทุกผู้คนล้วนสับสนวุ่นวาย สีหน้ามันบึ้งตึงยิ่ง ทันทีที่มันตะโกนป่าละเมาะก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
หัวหน้าหอจงมองไปยังผู้ที่ถูกส่งไปสืบข่าวเมื่อครู่
“เจ้าแน่ใจว่าเป็นศพพวกมัน? มีเหตุการณ์อันใดอีกหรือไม่?”
“เป็นศพพวกมันจริงๆ ข้า… ข้าเกรงจะเป็นอันตรายจึงไม่ได้เข้าไปใกล้และไม่กล้าลงมือหุนหัน จึงรีบกลับมารายงานท่านหัวหน้าหอก่อน”
หลังจากฟังจบหัวหน้าหอจงก็ไม่กล่าวอันใด มันก้มศีรษะด้วยท่าทีครุ่นคิด
“ผู้ที่สามารถฆ่าถังกุยกับพวกทั้ง 13 คนย่อมไม่ธรรมดา อาจบางที… จะเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณ! เป้าหมายที่มันกองซากศพไว้คืออะไร? ยั่วยุพวกเราให้บุกจู่โจมจากนั้นซุ่มโจมตี? หรือบางทีขู่ขวัญพวกเราไม่ให้กระทำอันใดหุนหันพลันแล่น?”
ผ่านไปเนิ่นนานมันจึงเงยหน้าขึ้นกวาดตามองทุกผู้คนและกล่าว
”พวกเราไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ดังนั้นหากบุกจู่โจมยามค่ำคืนจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ คืนนี้พวกเราจะพักผ่อนออมแรง รุ่งเช้าพวกเราจะฆ่าเปิดทางเข้าหมู่บ้าน! พวกมันกล้ายั่วยุพวกเราค่ายไม้ดำ เราก็จะใช้เลือดล้างหมู่บ้านพวกมัน”
เนื่องเพราะ ‘ไป่หยุนเฟย’ ไม่ทราบว่าพวกโจรจะบุกเข้ามาเมื่อใด มันไม่กล้านอนหลับจึงนั่งฝึกปรือบนเตียงขณะที่เพ่งสมาธิไปยังสถานการณ์ด้านนอก สำหรับมันการไม่ได้นอนเพียงวันสองวันยังไม่ส่งผลกระทบมากนัก
ศัตรูเป็นถึงหัวหน้าหอระดับปลายด่านนวกะวิญญาณพร้อมด้วยสมุนโจรที่โหดเหี้ยมอีกยี่สิบกว่าคน หากมีเพียง ‘ไป่หยุนเฟย’ ย่อมไม่อาจต่อต้านพวกมันได้ หวังว่าด้วยเวลาหนึ่งคืน ‘หลี่เฉิงเฟิง’ จะบรรลุหลักการใช้พลังวิญญาณและสามารถควบคุมผิวหนังกล้ามเนื้อได้ เช่นนั้นแล้วฝั่งมันจะมีผู้ฝึกปรือวิญญาณถึงสองคน และหากร่วมมือกัน… พวกมันสมควรเอาชนะได้!
ขณะครุ่นคิดไป่หยุนเฟยดึงมีดสั้นระดับ +9 ออกมาจากแหวนช่องมิติ
“ข้าไม่อาจใช้พลังวิญญาณมากเกินไป แต่หากข้ามีอาวุธที่มีคุณลักษณะเพิ่มเติมมากขึ้นสักชิ้น ย่อมมีโอกาสชนะอย่างใหญ่หลวง ลองอัพเกรดดูสักครั้งเถอะ”
“อัพเกรด”
“อัพเกรดสำเร็จ”
“ระดับไอเทม: ธรรมดา”
“ระดับการอัพเกรด: +10”
“สร้างความเสียหาย: 22”
“สร้างความเสียหายเพิ่มเติม: 27”
“ผลกระทบเพิ่มเติมระดับ +10 : เมื่อจู่โจมมีโอกาส 2% ที่จะทำให้เป้าหมายเชื่องช้าลงเป็นเวลา 10 วินาที”
“สิ่งจำเป็นในการอัพเกรด: แต้มวิญญาณ 12 แต้ม”
“สำเร็จ!”
‘ไป่หยุนเฟย’ ยินดียิ่ง
“ลดความเร็วลง… ผลเพิ่มเติมที่ร้ายกาจนัก”
“เช่นนั้น… มาเตรียมต้อนรับศึกแรกในชีวิตข้าเถอะ!”
วันต่อมาเมื่อตะวันฉายแสง ‘ไป่หยุนเฟย’ เรียกหา ‘หลี่เฉิงเฟิง’ มันก็ฝึกปรือทั้งคืน ดูจากท่าทางคึกคักเข้มแข็งแสดงว่าการฝึกปรือของมันไปได้ดีไม่น้อย ‘ไป่หยุนเฟย’ เอยถาม
“การฝึกปรือเป็นอย่างไร?”
‘หลี่เฉิงเฟิง’ ส่งม้วนคัมภีร์คืนอย่างนอบน้อมกล่าวว่า
”ข้าจดจำเคล็ดวิชาฝึกปรือพลังวิญญาณและการควบคุมร่างกายเบื้องต้นไว้แล้ว หลังจากฝึกฝนทั้งคืนอาการบาดเจ็บบนร่างล้วนหายดี ข้ารวบรวมพลังในระดับต้นด่านนวกะวิญญาณและสามารถควบคุมผิวหนังและกล้ามเนื้อระดับพื้นฐานได้แล้ว”
จากนั้นมันเดินไปยังก้อนหินขนาดอ่างน้ำด้านข้างและยกหมัดที่เบ่งพองขึ้นแล้วกระแทกลงอย่างหนักหน่วง ท่ามกลางเสียงแตกร้าว ก้อนหินถูกขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันหยิบเศษหินขนาดเท่าไข่ไก่ขึ้นมาบีบโดยแรง ฝุ่นผงมากมายก็ร่วงพรูลงสู่พื้น
‘ไป่หยุนเฟย’ อัศจรรย์ใจอยู่บ้าง ชั่วข้ามคืนไม่เพียงแต่หายจากบาดเจ็บหลี่เฉิงเฟิงยังบรรลุการควบคุมร่างกายระดับพื้นฐานได้ นี่นับว่าคาดไม่ถึงนัก
“ไม่เลว ด้วยพลังในปัจจุบันพวกโจรทั่วไปล้วนไม่อาจต้านทานเจ้าได้ แม้จะขาดประสบการณ์ต่อสู้จริง แต่ด้วยพลังกับความเร็วของเจ้าและสิ่งที่ข้าจะมอบให้ เจ้าสมควรจัดการพวกมันได้ไม่ยากเย็น เมื่อคืนพวกมันไม่ได้บุกเข้ามา ดังนั้นหลังรุ่งสางพวกมันต้องบุกเข้ามาแน่ ยามนั้นพวกเรา…”
หลังจากอธิบายทุกอย่างโดยกระจ่าง ‘ไป่หยุนเฟย’ ตบไหล่มันด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“ความปลอดภัยของหมู่บ้านนี้ขึ้นอยู่กับการร่วมมือของพวกเรา”
“เช่นนั้นมาร่วมกันต่อสู้ให้สุดกำลังเถอะ”
ที่มา: