I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 14 ด่านปัจเจกวิญญาณ ทักษะวิญญาณและวัตถุวิญญาณ

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 934 | 2363 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ทั้งร่างมันสั่นระริก ดวงตาเปี่ยมด้วยความเกลียดชังผสานโศกเศร้า น้ำตาก็หลั่งไหลไม่หยุด  ‘หลี่เฉิงเฟิง’ เดินไปยังพวกโจรที่ยังมีชีวิตอยู่ เห็นดังนั้น ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ไม่ได้ห้ามปราม เพียงหยิบหนามธารน้ำแข็งสีครามจากข้างศพหัวหน้าหอแซ่จงเดินเข้าหมู่บ้านไป

เสียงร้องโหยหวนดังจากด้านหลังครั้งแล้วครั้งเล่า มันถอนหายใจเบาๆแต่ก็ไม่ได้หันไปมอง

เหล่าชาวบ้านวุ่นวายกับการกำจัดศพของพวกโจรอยู่ทั้งวัน อาวุธและเงินทองถูกยึดเอาไว้ ที่เหลือล้วนถูกฝังรวมกันในหลุมศพ เนื่องเพราะมีพวกโจรล้มตายไปมากมายชาวบ้านจึงไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้ มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นหายนะของหมู่บ้านได้

พวกโจรตายไปทั้งสิ้น 36 ศพ แม้แต่โจรที่ ‘ไป่หยุนเฟย’ จับตัวมาก็ถูกฆ่าหลังจากถูกสอบปากคำ หากปล่อยให้มีคนเล็ดรอดไปได้ย่อมนำมาซึ่งหายนะอย่างใหญ่หลวง

เช่นเดียวกับม้า หากขายทั้งหมดในคราเดียวย่อมเกิดคำถามเพราะถูกสังเกตพบโดยง่าย ดังนั้นพวกมันจึงเก็บม้าเอาไว้ที่หลังเขาค่อยๆทยอยขายออกไป

หลังประสบเหตุการณ์ครานี้ชาวบ้านล้วนรู้สึกว่าพวกมันโชคดีที่รอดพ้นหายนะได้  ‘ไป่หยุนเฟย’ และ ‘หลี่เฉิงเฟิง’ ก็กลายเป็นวีรบุรุษของหมู่บ้านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่เฉิงเฟิง นอกจากดูคลุ้มคลั่งไปบ้างยามเผชิญหน้าพวกโจร ตัวมันเองเป็นคนจิตใจดีงามและสัตย์ซื่อยิ่ง หลิงเอ๋อร์ก็ติดตามอยู่ข้างกายคอยทำแผลให้มันอย่างระมัดระวัง            … … … …

วันต่อมา ก่อนรุ่งสาง ‘ไป่หยุนเฟย’ ลืมตาขึ้นช้าๆหลังจากผนึกมือในรูปแบบที่แปลกพิสดาร มันนั่งขัดสมาธิฝึกปรือฝีมือมาทั้งคืน เมื่อเหยียดเอวบิดขี้เกียจทั้งร่างก็ส่งเสียงกระดูกลั่นไม่หยุด  ‘ไป่หยุนเฟย’ ถึงกับครางเบาๆอย่างสุขสบาย

มันยกมือขวาขึ้นกำหมัดตรงหน้า รอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ปัจเจกวิญญาณระดับต้น… ข้าได้รับประโยชน์จากการต่อสู้เมื่อวานไม่น้อย… การใช้กระบวนการอัพเกรดนับเป็นหนทางลัดที่จะเพิ่มพูนพลังวิญญาณได้ แต่ยังคงจำเป็นต้องฝึกหาประสบการณ์ในการต่อสู้จริง หากข้าต้องการเป็นผู้เข้มแข็งยังต้องผ่านหนทางอีกยาวไกลนัก!”

หลังจากบรรลุด่านปัจเจกวิญญาณแล้ว สิ่งแรกที่มันกระทำคือนำม้วนเคล็ดวิชาออกมาฝึกฝนการควบคุมเลือดและกระดูกของด่านปัจเจกวิญญาณ เนิ่นนานจึงวางม้วนคัมภีร์ลงและก้มหน้ากล่าวอย่างครุ่นคิด

“การควบคุมเลือดและกระดูกช่างซับซ้อนและยากเย็นกว่าการควบคุมผิวหนังและกล้ามเนื้อมากนัก… ข้าเพียงเรียนรู้ได้ทีละน้อยจากการเข้าฌาน ต่อไปก็…”

ด้วยการเพ่งจิตสิ่งของหลากหลายในแหวนช่องมิติก็ปรากฏในความคิดมัน พลังวิญญาณของมันสัมผัสม้วนคัมภีร์สองม้วนที่ก่อนนี้ไม่อาจนำออกมาได้ ยามนี้ความรู้สึกของ ‘ไป่หยุนเฟย’ กระจ่างชัดกว่าเดิม จึงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณของมันถูกพลังจากคัมภีร์ม้วนหนึ่งผลักดันอย่างนุ่มนวลขณะที่พยายามจะเข้าไปสัมผัส จึงไม่อาจส่งพลังวิญญาณเข้าไปใกล้ได้ กับคัมภีร์อีกม้วนยามที่พลังวิญญาณของมันสัมผัสถูกก็หายวับมาปรากฏในมือของ ‘ไป่หยุนเฟย’

เมื่อมองม้วนคัมภีร์สีขาวในมือ  ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ตื่นเต้นไม่น้อย มันถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปอย่างเร่งร้อน

“’วิชาระลอกคลื่น’ เป็นเคล็ดวิญญาณขั้นกลางระดับมนุษย์ ใช้วิธีอันพิสดารควบคุมการปะทุและยืดขยายกล้ามเนื้อและกระดูกแขน ส่งพลังหมัดออกราวระลอกคลื่น ปลดปล่อยพลังมากกว่าการออกหมัดทั่วไปหลายเท่า…”

หลังจากรับทราบเนื้อหาของคัมภีร์แล้ว  ‘ไป่หยุนเฟย’ เรียบเรียงทำความเข้าใจอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่

“เคล็ดวิญญาณนี้… ข้าต้องควบคุมทั้งกล้ามเนื้อและกระดูกในคราเดียวกัน มิน่าจึงสามารถฝึกได้เมื่อบรรลุด่านปัจเจกวิญญาณ เช่นนั้นก็หมายความว่า อย่างน้อยข้าต้องบรรลุด่านวีรชนวิญญาณจึงจะใช้งานคัมภีร์ม้วนสุดท้ายได้ ในนั้นจะมีเคล็ดวิญญาณอีกหรือไม่?”

“อีกทั้งนอกจากวิชาระลอกคลื่นยังมีวิชาทวน นี่หมายความว่า…”

ยามนี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ มีสีหน้ายินดีอีกครา พลังวิญญาณของมันกวาดผ่านภายในแหวนช่องมิติแล้วทวนสีชาดก็ปรากฏอยู่ในมือ

‘ไป่หยุนเฟย’ รู้สึกหนักอึ้งจนข้อมือมันแทบบิดพลิก

“ทวนนี้… ช่างหนักอึ้ง อย่างน้อยต้องหนักกว่า 50 กิโลกรัม คนทั่วไปยากจะกวัดแกว่งมันได้ อย่าว่าแต่จะใช้ต่อสู้ มิน่าเล่าต้องเป็นผู้บรรลุด่านปัจเจกวิญญาณเช่นข้าจึงจะใช้ได้”

หอกนี้ยาว 2 เมตรกับอีก 70 เซนติเมตร ค่อนข้างหนา เป็นสีแดงชาดตั้งแต่หัวจรดท้าย ทั้งยังแผ่ความร้อนออกมาเล็กน้อยอีกด้วย บริเวณคอทวนฝังไว้ด้วยผลึกกลมสีแดงโปร่งแสงจำนวน 3 ลูก

‘ไป่หยุนเฟย’ วาดทวนอย่างชื่นชม ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่แผ่ออกมา มันแทบอดใจไม่ไหวออกไปทดลองกวัดแกว่งดูสักครา

ทันใดราวกับมันนึกบางอย่างออก ‘ไป่หยุนเฟย’ จับจ้องไปยังทวนในมือและเพ่งความคิด

“ระดับไอเทม: สมบัติตกทอดระดับต่ำ”

“สร้างความเสียหาย: 586”

“สิ่งจำเป็นในการอัพเกรด: แต้มวิญญาณ 85 แต้ม”

‘ไป่หยุนเฟย’ ตาถลนอ้าปากค้างอยู่เนิ่นนานจึงสั่นศีรษะโดยแรง หลังจากตรวจสอบข้อมูลของทวนอีกคราก็พึมพำ ตะกุกตะกัก

“คุณ… คุณพระช่วย สร้างความเสียหาย 586? นี่ … นี่มันบ้าอะไร?”

ผ่านไปเนิ่นนานสุดท้ายมันจึงสงบใจได้

“สมบัติตกทอดระดับต่ำ? ข้ากลับไม่เคยพบเห็นระดับสิ่งของเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งการอัพเกรดคราแรกยังใช้แต้มวิญญาณถึง 85 แต้ม นี่เท่ากับที่ใช้อัพเกรดมีดสั้นจนถึงระดับ 10 ทีเดียว”

“ใช่แล้ว…”

‘ไป่หยุนเฟย’ วางทวนลงบนตักแล้วพลิกข้อมือ อาวุธที่ได้มาจากหัวหน้าหอแซ่จงนั้นก็ปรากฏในมือ นับว่าตรงข้ามกับทวนยาวอย่างชัดเจน อาวุธนี้เย็นเฉียบราวน้ำแข็งและแผ่กระแสอากาศเยือกเย็นออกมาเล็กน้อย คำว่า ‘หนามธารน้ำแข็ง’ ที่ปรากฏเหนือด้ามจับ สมควรเป็นชื่อของอาวุธนี้

“ระดับไอเทม: หายากระดับต่ำ”

“สร้างความเสียหาย: 237”

“สิ่งจำเป็นในการอัพเกรด: แต้มวิญญาณ 63 แต้ม”

‘ไป่หยุนเฟย’ งงงันวูบ

“หายากระดับต่ำ? เป็นระดับสิ่งของที่ข้าไม่เคยเห็นอีก ดูเหมือนความเข้าใจต่อกระบวนการอัพเกรดของข้ายังคงห่างไกลจากความถูกต้องนัก…”

“อาวุธทั้งคู่นี้เห็นได้ชัดว่าระดับแตกต่างจากที่ข้าซื้อหาจากข้างถนน หรือเพราะเป็นอาวุธสำหรับผู้ฝึกปรือวิญญาณ? ไม่ถูกต้อง อาวุธที่ทรงพลังเช่นนี้ไม่สมควรมีแพร่หลาย เดิมทีหัวหน้าหอแซ่จงนั้นก็ใช้เพียงดาบใหญ่ธรรมดาเช่นกัน…”

“สงสัยว่าหากอัพเกรดแล้วจะเป็นเช่นไร…”

เมื่อติดสินใจได้ก็ดำเนินการทันที ก่อนอื่นมันเก็บทวนเอาไว้ หากเลือกอัพเกรดจะอัพเกรด หนามธารน้ำแข็งนี้นับเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะจะสูญเสียพลังวิญญาณที่ใช้อัพเกรดน้อยกว่า

ผ่านไปหลายนาที ‘ไป่หยุนเฟย’ ฝืนยิ้มที่มุมปากมองดูหนามธารน้ำแข็งในมือ

“แต้มวิญญาณที่ต้องใช้อัพเกรดกลับไม่เพิ่มขึ้น ยังคงใช้ 63 แต้มอยู่ตลอด แต่ทว่า… ยังคงไม่เพียงพออีก!”

“ระดับไอเทม: หายากระดับต่ำ”

“ระดับการอัพเกรด: +8”

“สร้างความเสียหาย: 237”

“สร้างความเสียหายเพิ่มเติม: 89”

“สิ่งจำเป็นในการอัพเกรด: แต้มวิญญาณ 63 แต้ม”

แม้ว่ามันจะโชคดีเป็นพิเศษที่อัพเกรดไม่ผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว แต่หลังจากอัพเกรดครั้งที่ 8 ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณมันใช้ไปแทบหมดสิ้น ยามนี้แม้มันบรรลุระดับต้นด่านปัจเจกวิญญาณ แต่เป็นไปได้ว่าพลังวิญญาณของมันจะมีปริมาณเพียงราว 500 แต้ม

ยามนี้ฟ้าสางแล้ว  ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ไม่ใส่ใจจะค้นคว้าอีก มันเริ่มนั่งเข้าฌานเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ จนกระทั่งด้านนอกมีผู้มาเคาะประตูเชื้อเชิญไปรับประทานอาหารเช้า มันจึงลุกขึ้นและออกจากห้องไป…            … … …

ยามที่ ‘ไป่หยุนเฟย’ บอกกล่าวทุกคนว่าจะออกเดินทางไปยังภูไม้ดำ ‘หลี่เฉิงเฟิง’ ก็เงียบงันอยู่นาน แต่ทันใดมันก็พลันกล่าวว่าต้องการร่วมทางไปกับไป่หยุนเฟย

‘ไป่หยุนเฟย’ ทราบว่าความเกลียดชังพวกโจรของมันกลับไม่ได้ลดทอนลงหลังจากฆ่าล้างหัวหน้าหอแซ่จงทั้งกลุ่ม กลับกันเนื่องเพราะมันที่ได้รับพลังมาก็ไม่ระงับความเคียดแค้นในใจอีก การได้เป็นผู้แข็งแกร่งและทำลายล้างพวกโจรที่ทำให้มันทุกข์ทนไม่จบสิ้นกลับเป็นสิ่งที่มันปรารถนาอย่างแท้จริง

อันที่จริง ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็เข้าใจความรู้สึกของ ‘หลี่เฉิงเฟิง’ ได้ มันก็มิใช่อยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันหรอกหรือ…?

เดิมที ‘หลี่เฉิงเฟิง’ อาศัยอยู่ใกล้กับภูไม้ดำ ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับบริเวณโดยรอบ อีกทั้งยามนี้มันได้กลายเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณหาใช่ชาวบ้านอ่อนแออีกต่อไป การเดินทางสู่ภูไม้ดำครานี้ย่อมต้องอันตรายกว่าที่ ‘ไป่หยุนเฟย’ เคยคาดการณ์ไว้ อันที่จริงก่อนหน้านี้มันไม่คาดคิดว่ากลุ่มโจรเหล่านี้จะชุมนุมไปด้วยผู้ฝึกปรือวิญญาณเช่นนี้

ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญชั่วครู่ ไป่หยุนเฟยก็ตกลงให้หลี่เฉิงเฟิงร่วมทางตามที่มันขอ            … … … …

ขณะยืนที่หน้าหมู่บ้านมองไปยังภูเขาและป่าทึบซึ่งห่างออกไป แววตาไป่หยุนเฟยเลื่อนลอยไม่อาจทราบได้ว่ามันครุ่นคิดอันใด พลันมีเสียงฝีเท้าแว่วมาปลุกมันจากภวังค์ จึงหันไปพบเห็นหลี่เฉิงเฟิงวิ่งมาเบื้องหน้าพร้อมห่อผ้าสะพายบนไหล่ด้วยท่าทีสำนึกผิด

“จอมยุทธ์ ‘ไป่’  ขออภัยที่ให้ท่านรอคอย…”

‘ไป่หยุนเฟย’ โบกมือด้วยท่าทีไม่ใส่ใจกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“ไม่เป็นไร พวกเราร่วมต่อสู้เคียงข้างกันมา ฉะนั้นต่อไปเรียกข้าว่า ‘หยุนเฟย’  เจ้าปลอบขวัญ     ‘หลิงเอ๋อร์’ แล้วหรือไม่? อย่าได้ทำให้นางเศร้าโศก…”

“ฮ่า ฮ่า… ดี เช่นนั้นต่อไปท่านต้องเรียกข้าว่า ‘เฉิงเฟิง’ เช่นกันอย่าได้ห่างเหินไปนัก ข้าให้สัญญากับหลิงเอ๋อร์ว่าหลังกลับจากภูไม้ดำจะไปสู่ขอนางและดูแลนางไปตลอดชีวิต…”

‘หลี่เฉิงเฟิง’ ยิ้มอย่างเป็นสุข มันหันกลับไปมองที่หมู่บ้านอีกคราและโบกมือให้แก่หญิงสาวซึ่งยืนจับจ้องมาจากอยู่หน้าบ้านตนเอง แล้วมันจึงหันหลังจากไปพร้อม ‘ไป่หยุนเฟย’ และค่อยๆลับตาเข้าไปในป่า

ยามนี้เนื่องเพราะมีหลี่เฉิงเฟิงเป็นผู้นำทางและทั้งคู่มีฝีเท้าที่รวดเร็วจึงรีบเร่งเดินทาง เพียงสามวันพวกมันก็มาถึงละแวกใกล้ภูไม้ดำ ตามคำบอกของ ‘หลี่เฉิงเฟิง’ พื้นที่อิทธิพลของค่ายไม้ดำกล่าวได้ว่าเริ่มต้นจากที่นี้  พวกโจรในบริเวณนี้จะรวมกลุ่มวนเวียนออกชิงทรัพย์หมู่บ้านใกล้เคียงหรือออกปล้นชิงขบวนสินค้าที่เดินทางผ่าน

มีถนนสายหลักเชื่อมจากเมืองลั่วซีไปยังเมืองกานหลิงผ่านทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือไม่ไกลจากภูไม้ดำ เนื่องเพราะขบวนสินค้าระหว่างทั้งสองเมืองมักจะใช้เส้นทางนี้จึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของพวกโจร ทว่าพวกโจรไม่ได้ฆ่าผู้คนทุกคราไป ขอเพียงขบวนสินค้าส่งมอบ’ค่าผ่านทาง’ที่น่าพอใจให้ พวกมันจะปล่อยให้ผ่านไปโดยไร้อันตราย หาไม่แล้วพวกโจรจะฆ่าล้างขบวนสินค้าและปล้นสินค้าไปอย่างโหดเหี้ยม แน่นอนว่ามีขบวนสินค้าที่สามารถผ่านไปได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางหากมีผู้คุ้มกันที่ผู้เข้มแข็งดังเช่น ผู้ฝึกปรือวิญญาณ            ยามสนธยาภายในป่ากว้าง ได้ยินเสียงต่อสู้อย่างรุนแรงจากเงาร่างสองเงาเข้าต่อสู้พัวพันและปะทะชนกัน เสียงกำปั้นพวกมันปะทะกันช่างน่าหวาดเสียวนัก

ทว่าเห็นได้ชัดว่าสองคนที่ต่อสู้กันสาสมใจยิ่ง เหงื่อเม็ดโตไหลจากหน้าผากผ่านรอยยิ้มที่มุมปากพวกมัน ทั้งคู่ปล่อยหมัดขวาชกใส่ไหล่ซ้ายของฝ่ายตรงข้ามพร้อมกัน พวกมันทั้งคู่ก็ถอยกายไปหลายก้าวจึงหยุดยืนเผชิญหน้ากัน

พวกมันไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ‘ไป่หยุนเฟย’ และ ‘หลี่เฉิงเฟิง’

“วันนี้เพียงเท่านี้เถอะ ‘เฉิงเฟิง’  เจ้านับว่าเชี่ยวชาญการควบคุมกล้ามเนื้ออย่างยิ่งแล้ว เจ้าฉวยโอกาสปะทุพลังอย่างเหมาะเจาะ ข้าต้องขายหน้าที่ด้อยกว่าแล้ว”

หลังจากบีบนวดไหล่ซ้ายเล็กน้อย  ‘ไป่หยุนเฟย’ พลิกมือขวาก็ปรากฏถุงใส่น้ำสองถุงในมือ มันโยนให้แก่      ‘หลี่เฉิงเฟิง’ ถุงหนึ่งจากนั้นเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่แล้วดื่มน้ำหลายอึกใหญ่

‘หลี่เฉิงเฟิง’ นั่งลงบนพื้น ดื่มน้ำหลายอึกและสั่นศีรษะกล่าว

“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเจ้ากดพลังเอาไว้ให้เท่ากับข้า หากเจ้าใช้วิชาระลอกคลื่น เกรงว่าข้าไม่อาจต้านรับได้แม้แต่หมัดเดียว…”

“พลังวิญญาณเจ้าตื่นขึ้นเต็มที่ไม่กี่วันก่อน แต่เจ้าใกล้บรรลุระดับกลางด่านนวกะวิญญาณแล้ว ข้าไม่ทราบว่าผู้ฝึกปรือวิญญาณอื่นฝึกฝนได้เร็วเพียงใด แต่เจ้ากลับฝึกได้รวดเร็วกว่าข้าเมื่อแรกเริ่มมากนัก ช่างน่าอนาถที่ข้าเคยคิดว่าตนเองพัฒนาได้รวดเร็ว”

“แยกกันฝึกต่อเถอะ ข้าต้องฝึกวิชาทวนเพิ่มเติมเพื่อสามารถรับมือการต่อสู้ในอนาคตอันใกล้ได้ จริงสิ เจ้าไม่ต้องการหนามธารน้ำแข็งนั้นจริงหรือ? นั่นเป็นอาวุธที่ร้ายกาจกว่ามีดสั้นคู่นั้นมากนัก”

“ไม่จำเป็น มีดสั้นคู่นี้นับว่าดีมากแล้ว พวกมันไม่อ่อนด้อยแม้แต่น้อย ข้ายังรู้สึกละอายที่รับมาจากเจ้าด้วยซ้ำ แล้วยังจะให้ข้ารับหนามธารน้ำแข็งอีกหรือ? มิหนำซ้ำข้าไม่คุ้นเคยกับอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงเพียงอย่างเดียว”

‘หลี่เฉิงเฟิง’ สั่นศีรษะและชักมีดสั้นทั้งคู่จากข้างเอวมาสะบัดควงอย่างคล่องแคล่ว

‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ไม่กล่าวอันใดอีก มันเดินไปอีกด้านและยื่นมือออก ทวนสีแดงเพลิงยาว 2 เมตร 70 เซนติเมตรก็ปรากฏในมือและแผ่คลื่นความร้อนออกมารอบด้าน แม้แต่หลี่เฉิงเฟิงที่ห่างออกไป 30 เมตรยังรู้สึกได้ ยามมองทวนสีชาดในมือไป่หยุนเฟยดวงตาหลี่เฉิงเฟิงก็ทอประกายชื่นชม

หลังจากหมุนควงทวนอย่างเรียบง่าย มันก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดการใช้ทวน

กวาดขวาง ทะลวงตรง ตวัดขึ้น ฟาดลง… แม้ว่ามันเรียนรู้เพียงสามวัน แต่กระบวนท่ามันนับว่าสอดคล้องกลมกลืน อีกทั้งยังเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ยามนี้ไป่หยุนเฟยถูกปกคลุมด้วยเงาทวนพร่าเลือนนับไม่ถ้วน มองจากที่ห่างไกลดูราวกับลูกไฟ

ฉับพลันร่างมันหยุดเคลื่อนไหว เงาทวนมากมายก็สาบสูญไป มันตะโกนเสียงเบาพุ่งหอกไปยังต้นไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบเบื้องหน้า

ยามที่พุ่งออกทวนทั้งเล่มพลันเปล่งสีแดงน่าหลงใหล ผลึกทั้งสามที่คอทวนก็แดงเจิดจ้าดูราวกับห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีชาด

“ผัวะ!”

ได้ยินเสียงดังแผ่วเบายามปลายทวนผ่านเนื้อไม้เข้าไปในอย่างง่ายดาย ขณะที่ทวนทะลวงเข้าสู่ต้นไม้ ดวงตา ‘ไป่หยุนเฟย’ สาดประกายวูบ มันตะโกนเสียงทุ้ม

“ปะทุ!!”

“ปัง!!!”

เศษไม้ปลิวว่อนออกรอบด้าน แสงเจิดจ้าส่องผ่านรอยแตกบนต้นไม้ จากนั้นส่วนลำต้นพลันระเบิดออก คลื่นความร้อนที่ดุดันกว่าเดิมหลายเท่าแผ่กระจายออกทุกทิศทาง จากนั้นต้นไม้ใหญ่นี้ก็ล้มลงไปด้านหลัง ที่ลำต้นส่วนโคนถูกคว้านหายไป หลงเหลือไว้เพียงรอยตัดที่ถูกเผาไหม้สีดำ…

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments