ตอนที่แล้วตอนต่อไป“เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? เจ้ามองเจตนาข้าออกได้อย่างไร…?”
‘จางหยาง’ มอง ‘ไป่หยุนเฟย’ อย่างซึมเซาราวกับสูญสิ้นกำลังทั้งมวล เมื่อก้มลงมองท่าทีงุนงงของ ‘จางหยาง’ ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็เหยียดมุมปากลงพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
“เจ้าหมายถึง ข้า ‘ไม่สมควร’มองอุบายเจ้าออก? ในสถานการณ์เช่นนี้เจ้ากลับยังอวดดีได้อีก…”
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมของ ‘ไป่หยุนเฟย’ ร่างจางหยางก็สั่นระริกเล็กน้อย มันมอง ‘ไป่หยุนเฟย’ ด้วยท่าทีหดหู่ไม่น้อยพร้อมกับกล่าวเสียงแหบพร่า
“บอกข้าเถอะ ไฉนเจ้ามองออก?”
‘ไป่หยุนเฟย’ เขม้นมองมันด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ ‘จางหยาง’ มองตอบด้วยสายตายอมรับความพ่ายแพ้ ดูเหมือนมันละทิ้งความคิดต่อต้านโดยสิ้นเชิง เพียงหวังว่าก่อนตายจะทราบสาเหตุความพ่ายแพ้ของตน ‘ไป่หยุนเฟย’ ก้มลงหยิบ‘เข็มเงินวิญญาณน้ำแข็ง’ทั้งสองเล่มจากข้างกาย ‘จางหยาง’ ที่ตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงเก็บไว้ในแหวนช่องมิติของตน
“ตั้งแต่เริ่มต่อสู้กับเจ้า ข้าก็พบความผิดปกติ เจ้าเป็นถึงนายน้อยตระกูลจางแห่งเมืองลั่วซีทั้งยังเป็น‘ศิษย์เอก’แห่งสำนักธารน้ำแข็ง กลับไม่มีวัตถุวิญญาณไว้ป้องกันตัวแม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่ยามลอบโจมตีข้าด้วยเคล็ดวิญญาณที่ช่วยยืดขยายแขนก็ยังไม่เห็นเจ้าใช้วัตถุวิญญาณ”
‘ไป่หยุนเฟย’ ยังคงก้มมอง ‘จางหยาง’ จากเบื้องบนราวกับเพลิดเพลินกับความรู้สึกของชัยชนะ
“ดังนั้นจึงเป็นไปได้สองทาง อย่างแรกคือเจ้าไม่มีวัตถุวิญญาณในครอบครอง อีกอย่างก็คือเจ้าซุกซ่อนวัตถุวิญญาณเอาไว้และต้องไม่ใช่อาวุธที่ใช้จู่โจมซึ่งหน้าอย่างดาบหรือกระบี่ ตรงกันข้าม…จะต้องเป็นอาวุธซัดที่ใช้โจมตีอย่างลอบเร้น!”
“แต่ข้ากล่าวอย่างชัดเจนว่า…”
“เจ้ากล่าวอย่างชัดเจนว่า‘กระทั่งศิษย์เอกแห่งสำนักธารน้ำแข็งอย่างข้ายังไม่มีในครอบครองแม้แต่ชิ้นเดียว’กระมัง?”
‘ไป่หยุนเฟย’ สอดคำและกล่าวต่อไป
“คำพูดนี้ดูเหมือนหลุดปากเพราะเจ้าความหวาดกลัวและไม่เชื่อถือว่าข้าจะมีวัตถุวิญญาณหลายชิ้นเพียงนี้ แต่หากมองอีกด้าน…เจ้ากำลังบอกใบ้ข้าว่า‘เจ้าไม่มีวัตถุวิญญาณในครอบครอง’น่าเสียดายที่ข้าให้ความสนใจคำพูดนี้”
“หากเพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจกระตุ้นความสงสัยข้ามากนัก แต่นับว่าเจ้าโชคร้ายที่ข้าคาดคิดถึงเรื่องนี้แต่แรก ดังนั้นคำกล่าวเจ้ายิ่งตอกย้ำให้ข้าระแวงยิ่งขึ้น”
“เจ้าหวังจะใช้อาวุธลับนี้หลังจากข้าไล่ตามออกจากหน้าต่างกระมัง?”
‘ไป่หยุนเฟย’ กล่าวอย่างเรียบเฉยจากนั้นไม่แยแสท่าทีตะลึงงันของ ‘จางหยาง’ กล่าวต่อไป
“แต่เจ้าเห็นว่ายังไม่ใช่จังหวะอันเหมาะสมอีกทั้งยังพบว่าข้าไม่ตั้งใจจะลงมือฆ่าในทันที เจ้าจึงปล่อยให้ข้าโยนกลับเข้ามาด้านในหวังจะหาจังหวะอันเหมาะสมที่จะลอบทำร้ายข้า ใช่หรือไม่?”
“เจ้าประหลาดใจหรือไม่ที่ข้าไฉนทราบเรื่องเหล่านี้? ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปว่าข้าก็ใช้มีดบินเป็นอาวุธ ยามที่เจ้าล้วงเข็มทั้งสองเล่มออกมาจากด้านหลัง แม้เจ้าจะคิดว่าแนบเนียนแต่น่าเสียดายที่ข้าคุ้นเคยกับความเคลื่อนไหวเช่นนี้ยิ่ง ข้ายังทราบกระทั่งว่า ที่เจ้าแสร้งถอยกายก่อนจะลอบจู่โจมก็เพื่อล้วงอาวุธลับออกมา…”
“สุดท้าย เจ้ายังอาศัยครอบครัวผู้เฒ่าอู๋มาข่มขู่อีก ข้าต้องชมเชยที่ไหวพริบเจ้าฉับไวนัก แต่น่าเสียดายที่ข้าทราบแต่แรกว่าเจ้าโกหก!”
“เจ้า… ไฉนเจ้าทราบได้?”
‘จางหยาง’ เอ่ยปากถามโดยไม่รู้สึกตัวด้วยใบหน้าไร้สีเลือด
“นั่นเพราะ เมื่อสองวันก่อนข้าไปคารวะหลุมศพผู้เฒ่าอู๋ก็ยังพบเห็นครอบครัวของท่าน!”
“ดังนั้น ที่เจ้าลังเลจนเผยช่องโหว่ก็ล้วนเสแสร้งขึ้นเพื่อล่อลวงให้ข้าเผยไพ่ตาย…”
‘จางหยาง’ กล่าวอย่างสิ้นเรี่ยวแรงด้วยสีหน้าซึมเซา
“มิผิด”
“ยังมีอีกสองเรื่องที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ ในเวลาไม่ถึงสองเดือนไฉนเจ้ากลับกลายเป็นยอดฝีมือในเวลาอันสั้น? มิหนำซ้ำเจ้ายังได้รับแหวนช่องมิติและวัตถุวิญญาณอย่างน้อยสามชิ้น หรือเป็นเพราะเจ้าเข้าสู่สำนักช่างประดิษฐ์แล้วจริงๆ?”
‘จางหยาง’ เฝ้าถามพลางทอดถอนใจ หลังจากอุบายของมันถูกศัตรูมองออกทะลุปรุโปร่งก็ทราบแล้วว่าต้องประสบชะตากรรมอันโหดร้าย กระนั้นหลังจากเอ่ยปากถาม ‘จางหยาง’ กลับไม่ได้รับคำตอบ เมื่อเงยหน้ามองก็เห็น ‘ไป่หยุนเฟย’ ยืนกอดอกจ้องมองมันอย่างเย้ยหยันด้วยรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก
ยามสบตากับ ‘ไป่หยุนเฟย’ ‘จางหยาง’ ก็รู้สึกราวความคิดมันถูกอ่านออกหมดสิ้นจึงเย็นวาบไปทั้งร่างในบัดดล มันหลบสายตาอย่างไม่รู้สึกตัว ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้า…กำลังถ่วงเวลาด้วยความหวังว่าจะมีผู้ใดเร่งรุดมาช่วยชีวิตกระมัง?”
“จะ… จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ด้วยสภาพข้าในตอนนี้ เจ้าจะเอาชีวิตข้าเมื่อใดก็ย่อมได้”
‘จางหยาง’ แตกตื่นไปชั่วครู่รีบสั่นศีรษะไม่หยุดยั้ง จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโสก
“ข้าเพียงหวังจะคลายความสงสัยในใจก่อนถูกสังหาร จะได้ตายโดยไม่สำนึกเสียใจ…”
“อืม แต่เมื่อวิญญาณเจ้าแตกดับไป จะมีข้อแตกต่างอันใดระหว่างทราบกับไม่ทราบ? เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุแปรเปลี่ยนข้าสมควรฆ่าเจ้าในบัดดล”
‘ไป่หยุนเฟย’ กล่าวเสียงนุ่มนวลราวกับเจรจาต่อรองกับจางหยาง เมื่อเห็นสีหน้าอันฉงน ไม่ยินยอม หวาดหวั่นและสิ้นหวังของ ‘จางหยาง’ ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็อดไม่ได้ต้องกลั้วหัวเราะกล่าวว่า
“เจ้าคงแปลกใจว่าหลังจากมองอุบายเจ้าออกไฉนข้ายังคงพูดคุยกับเจ้ามากมายกระมัง?”
“ข้าเพียงต้องการดูสีหน้าของเจ้า! นายน้อยตระกูลจางผู้ยิ่งใหญ่เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่นที่สามารถตัดสินชะตาของเจ้าตามปรารถนา? เจ้าเคยคาดคิดหรือไม่ว่าจะมีวันนี้?”
‘ไป่หยุนเฟย’ หันหน้ามองไปเบื้องนอกและหัวเราะพลางกล่าววาจา
“ครานี้ต้องขอบคุณบริวารเจ้า เพราะเจ้าจะมาเยือนในคืนนี้พวกมันจึง ‘เก็บกวาด’โดยรอบอย่างละเอียด ยามนี้ปราศจากผู้คนผ่านมาทางนี้ทั้งยังปราศจากผู้ที่จะรุดมาตรวจสอบเสียงผิดปกติเมื่อครู่…”
“เดิมทีข้าหวังจะเล่นกับเจ้าให้เนิ่นนานกว่านี้ ทว่ายามนี้ข้าไม่อาจอดรนทนได้แล้ว ข้าเกรงว่าหากทอดเวลานานออกไปจะมีเหตุไม่คาดฝันอันใดอีก ฉะนั้นแล้ว…”
มันกล่าวพลางยื่นแขนขวาแล้วทวนเปลวอัคคีก็ปรากฏในมือโดยฉับพลัน
“เตรียมชดใช้สิ่งที่เจ้าก่อไว้เถอะ!”
เห็น ‘จางหยาง’ ที่ตะเกียกตะกายถอยหลังไม่หยุดด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวาดกลัวไป่หยุนเฟยก็สืบเท้าเข้าหาทีละก้าวพลางกล่าวว่า
“ขณะที่ข้าสังหารผู้คุ้มกันเจ้าเมื่อครู่ เจ้าคงเห็นการระเบิดปะทุนั้นแล้ว ขอบอกต่อเจ้าว่าทวนเล่มนี้มีโอกาสแสดงพลังระเบิดนี้เพียงหนึ่งในสิบส่วน… เจ้าจะถูกข้าทรมานจนตายช้าๆ? หรือว่าจะถูกระเบิดตายในทันทีกันแน่?”
“สำนึกผิดและภาวนาเถอะ!”
ขณะ ‘ไป่หยุนเฟย’ เขม้นมอง ‘จางหยาง’ ตรงหน้าที่ถอยกายไปด้านหลังไม่หยุดยั้ง ความโกรธเกรี้ยวอันไร้ขอบเขตก็ไม่อาจปิดบังได้อีกจึงพวยพุ่งออกทางสายตาจนหมดสิ้น มันพุ่งทวนในมือออกแทงขาซ้ายของ ‘จางหยาง’
“ทวนนี้สำหรับหนี้แค้นของข้า! ข้าไม่ได้เป็นมดปลวกที่เจ้าจะบังคับให้ต่อสู้เพื่อความเพลิดเพลินตามอำเภอใจได้!”
ได้ยินเสียง‘ฉึก’ปลายหอกทะลวงแทงทะลุน่องปักตรึงกับพื้น ‘จางหยาง’ หยุดยั้งลงและร่ำร้องโหยหวน ความรู้สึกร้อนรุ่มราวถูกแผดเผาพลุ่งพล่านขึ้น ความเย็นยะเยือกสุดขั้วที่ขาซ้ายก่อนหน้าพลันปลาสนาการไปสิ้น มันรู้สึกประหนึ่งถูกแท่งเหล็กที่ร้อนลวกแทงทะลุน่อง กระทั่งยังได้ยินเสียงเนื้อไหม้ดังไม่หยุดทั้งยังได้กลิ่นเผาไหม้จางๆ
‘ไป่หยุนเฟย’ ที่ใบหน้าเย็นชาดังน้ำแข็งไม่สะทกสะท้านอันใดกับเสียงแผดร้องของ ‘จางหยาง’ มันชักทวนกลับและพุ่งทวนออกไปยังขาขวาของ ‘จางหยาง’
“ทวนนี้เพื่อผู้เฒ่าอู๋ที่ไม่เพียงสูญเสียหลานสาวด้วยฝีมือเจ้า สุดท้ายยังต้องมาถูกบริวารเจ้านามหมาป่าวิบัติฆ่าตายขณะปกป้องข้า!”
ในที่สุด ‘จางหยาง’ ก็ไม่อาจประคองร่างได้อีกต่อไป แขนทั้งสองข้างมันสิ้นเรี่ยวแรงจึงล้มลงแผ่กายกับพื้น เสียงแผดร้องอันน่าสังเวชของมันก็ไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ขาทั้งสองข้างมันได้
“ทวนนี้เพื่อหลานสาวผู้เฒ่าอู๋ที่ถูกเจ้าทรมานจนตายเพียงเพราะนางไม่ยินยอมถูกเจ้าล่วงเกิน!”
เมื่อแขนซ้ายมันถูกทะลวงแทงอีกข้าง ‘จางหยาง’ ก็สิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืนอีก ใบหน้ามันเปี่ยมด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว ปากก็ส่งเสียงตะกุกตะกักอ้อนวอนขอความเมตตาจาก ‘ไป่หยุนเฟย’
“ทวนนี้เพื่อหญิงสาวด้านบนที่เกือบถูกเจ้าย่ำยี!”
ยามที่คมทวนทะลวงแขนขวาจางหยางก็เกิดระเบิดปะทุขึ้นโดยฉับพลัน จากนั้นเลือดเนื้อและเศษหินก็ปลิวว่อนทั่วบริเวณ การระเบิดปะทุครานี้ทิ้งรูขนาดชามอ่างไว้บนพื้น แขนขวาทั้งข้างของ ‘จางหยาง’ ก็ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย! แล้ว ‘จางหยาง’ ก็สิ้นสติไป ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดที่เสียแขนไปหรือเป็นเพราะถูกกระแทกจากแรงระเบิดกันแน่
“เจ้าสิ้นสติไปแล้ว? เช่นนี้เจ้ากลับไม่ต้องสัมผัสความทรมานชั่วขณะที่จะถูกสังหารอีก มิกลายเป็นสะดวกดายกับเจ้าเกินไปรึ? แล้วกันไปเถอะ เมื่อสิ้นสติแล้วตายเถอะ!”
‘ไป่หยุนเฟย’ ก้มลงมอง ‘จางหยาง’ ที่หมดสติด้วยสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง หลังจากชักทวนกลับก็ขยับแขนพุ่งทวนออกอีกคราอย่างดุดัน
“ทวนสุดท้ายเพื่อชาวบ้านยากไร้ที่ถูกเจ้ามองเป็นมดแมลงคอยข่มเหงรังแก”
ปลายทวนที่สาดประกายสีแดงเจิดจ้าก็ทะลวงสู่ทรวงอกจางหยาง พุ่งตรงทะลุหัวใจ!
ที่มา: