I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) ตอนที่ 29 สำนักหลิวขจี ลู่หลิวและอวี้เหอ

| Upgrade Specialist in Another World (异界之装备强化专家) | 838 | 2336 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

‘ไป่หยุนเฟย’ เหม่อมองซากศพ ‘จางหยาง’  แม้จะแก้แค้นได้สำเร็จแต่แทนที่จะเบิกบานใบหน้ามันกลับเปี่ยมด้วยความปวดร้าว

“ข้าแก้แค้นสำเร็จแล้ว… ในที่สุดข้าก็ฆ่าจางหยางตายกับมือ! ผู้เฒ่าอู๋… ท่านเห็นหรือไม่? ข้าล้างแค้นให้ท่านแล้ว วิญญาณท่านกับอวี้เอ๋อร์ในปรภพสมควรสู่สุขคติได้แล้ว…”

‘ไป่หยุนเฟย’ แหงนหน้ามองดวงดาวที่เกลื่อนฟ้ามืดมิดผ่านรูโหว่บนหลังคา จากนั้นหลับตาสูดหายใจลึกก่อนจะระบายออกช้าๆ เพื่อบรรเทาความรู้สึกอันยุ่งเหยิงลง

ก่อนที่มันจะทันได้คิดว่าจะทำอันใดต่อก็พลันเย็นวาบไปทั้งร่าง ความรู้สึกของการถูกจับตามองปั่นป่วนจิตใจมัน มิหนำซ้ำความรู้สึกเช่นนี้ยังคลับคล้ายตอนที่มันถูกบิดา ‘จางหยาง’ กวาดตามอง

“ผู้ใด?!”

‘ไป่หยุนเฟย’ หันกายอย่างฉับพลันพลางถอยกายไปด้านหลังหลายก้าว มันกระชับมวนเปลวอัคคีในมือจับจ้องประตูห้องโถง

“โอ? ท่านกลับตื่นตัวยิ่ง? เพียงสงบใจลงก็พบเห็นการคงอยู่ของข้า”

เสียงหัวเราะอันสดใสดังมาจากนอกประตู หลังจากผลักเปิดประตูช้าๆ เงาร่างสูงโปร่งเขียวสดใสก็ปรากฏแก่สายตา ‘ไป่หยุนเฟย’

มิคาดคนผู้นี้กลับเป็นสตรี!

ผมสลวยราวแพรไหมยาวระเอวของนางพลิ้วสะบัดยามก้าวเดินราวกิ่งหลิวต้องลม คางของนางเรียวงาม ผิวกายขาวราวเย้ยหิมะ นางชำเลืองวูบก็ปรากฏรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก ท่าทีนางราวกับเพ่งสมาธิประเมินฝีมือ           ‘ไป่หยุนเฟย’ ตรงหน้า  ชุดยาวสีขาวของนางประดับด้วยริ้วสีเขียวสดใสดั่งใบหลิวทั่วทั้งชุด เสื้อผ้าที่รัดรูปเผยให้เห็นรูปร่างงามระหง ทั้งกระบี่ยาวหนึ่งเมตรในมือซ้ายทั้งฝักก็ยังเป็นสีเขียวสดใสเช่นกัน

รูปลักษณ์ของสตรีนางนี้กลับทำให้ ‘ไป่หยุนเฟย’ งงงันวูบแต่ก็ได้สติในทันใด เมื่อพบว่านางไม่มีเจตนาร้าย       ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงลอบถอนหายใจโล่งอก ขณะที่จะเดินเข้าไปสอบถามเสียงตะโกนเพราะพริ้งก็ดังมาจากชั้นบนด้านหลังมัน

“ศิษย์พี่!”

‘ไป่หยุนเฟย’ งงงันอีกครา ก่อนจะทันได้หันไปมองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตึงตังจากด้านหลัง คนผู้หนึ่งวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยสายลมหอบกลิ่นหอมผ่านไป ปรากฏหญิงสาวร่างเล็กวิ่งเฉียด ‘ไป่หยุนเฟย’ โผเข้าสู่อ้อมอกสตรีร่างระหงนั้น

เมื่อเห็นหญิงสาวนางนี้ สตรีร่างระหงก็ถอนหายใจโล่งอก นางยกมือขวาลูบหลังหญิงสาวแผ่วเบาพลางกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ดีที่เจ้าปลอดภัย ข้ากังวลแทบตายแล้ว ข้าเพียงออกไปไม่กี่วันมิคาดว่ายามกลับมาเจ้าก็หายไป จากนั้นก็พบว่าเจ้าถูกกลุ่มมิจฉาชีพในเมืองคร่ากุมไป ข้าจึงพลิกแผ่นดินตามล่ากลุ่มมิจฉาชีพทั้งเมืองจนมาถึงที่นี่ โชคดีที่เจ้าไม่ได้รับอันตราย… จริงสิ พวกมันทำอะไรเจ้าหรือไม่? พวกมันรังแกเจ้าหรือไม่?”

หลังจากซุกกายในอ้อมอกชั่วครู่หญิงสาวนั้นก็เงยหน้ากล่าววาจา

“ไม่ ข้าไม่เป็นไร พวกมันไม่ได้ทำอะไรข้า พวกมันบอกว่าคืนนี้จะมอบข้า… มอบข้าให้แก่นายน้อยของพวกมัน ข้ารู้ว่าท่านต้องมาช่วยข้าจึงไม่ได้ขัดขืนดิ้นรน  เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนายน้อยพวกมันก็มาถึง จากนั้น จากนั้นคนผู้นี้ก็ปรากฏตัว…”

น้ำเสียงนางไพเราะสดใสราวนกขมิ้น แต่ก็เจือเสียงสะอื้นชวนให้เวทนา กล่าวถึงตรงนี้นางก็อดไม่ได้หันหน้าไปมอง ‘ไป่หยุนเฟย’ ก่อนจะหันกลับด้วยท่าทีขวยเขิน จากนั้นจึงหลบไปก้มหน้าซ่อนกายอยู่ด้านหลังศิษย์พี่ แม้ผมยาวสลวยปิดบังใบหน้าแต่ยังคงมองออกว่านางลอบมอง ‘ไป่หยุนเฟย’ ที่อยู่ตรงหน้า

เพียงได้เห็นในหน้างดงามราวหยกสลักของนาง  ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ

เมื่อเห็นสีหน้าหญิงสาวสตรีร่างระหงก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะเบาๆ นางเงยหน้าแย้มยิ้มแก่ ‘ไป่หยุนเฟย’ จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวว่า

“ข้ามีนามชิวลู่หลิวเป็นศิษย์เจ้าสำนักหลิวขจี นี่เป็นศิษย์น้องข้านามฉู่อวี้เหอ ไม่ทราบว่าท่านมาจากสำนักใด?”

‘ไป่หยุนเฟย’ กลับไม่ได้ตอบคำ แต่กลับมองออกไปด้านนอกจากนั้นกวาดตาอย่างครุ่นคิดมองสมุนบริวารที่ก่อนหน้าถูกมันซัดเศษกระเบื้องทำร้ายจนสลบในห้องโถง

สตรีนาม ‘ชิวลู่หลิว’ ไม่คาดคิดว่า ‘ไป่หยุนเฟย’ จะไม่แยแสมันจึงขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของมันก็ต้องงงงันวูบ จากนั้นราวนึกเรื่องบางอย่างออกจึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอีกครา

“คุณชาย ข้าคิดว่าพวกเราไม่สมควรรั้งอยู่ที่นี่นาน ไฉนพวกเราไม่ออกไปก่อนแล้วค่อยหาสถานที่พูดคุยกัน?”

‘ไป่หยุนเฟย’ มองดู ‘ชิวลู่หลิว’ และ ‘ฉู่อวี้เหอ’ ที่ลอบมองมันบ่อยครั้งจากด้านหลังศิษย์พี่ของนาง จากนั้นก้มศีรษะเงียบงันเนิ่นนานจึงพยักหน้ากล่าวว่า

“ตกลง ข้าก็มีเรื่องต้องหารือกับพวกท่านเช่นกัน… ไปกันเถอะ”

เมื่อ ‘ชิวลู่หลิว’ ฉุดดึงอวี้เหอออกจากประตูไป ไป่หยุนเฟยมองไปยังซากศพ ‘จางหยาง’ อีกคราแล้วถอนหายใจด้วยความรู้สึกอันสับสน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นดวงตามันก็แปรเปลี่ยนเป็นกระจ่างแน่วแน่อีกครา มันเดินไปรอบโถงอย่างเร่งรีบเพื่อเก็บคืนมีดสั้นทั้งหมดที่ซัดออกไปรวมทั้งมีดสั้นเลิศหรูของ ‘จางหยาง’ นั้นด้วย จากนั้นจึงหันหลังออกจากห้องโถงไป เมื่อตามสมทบกับ ‘ชิวลู่หลิว’ และ ‘ฉู่อวี้เหอ’ ทัน พวกมันทั้งสามก็หายลับไปในความมืดยามค่ำคืน

หลังจากพวกมันออกไปราวสิบกว่านาที ผู้ที่นอนสลบบนพื้นก็ค่อยๆขยับตัวดิ้นรนลุกขึ้นอย่างหวาดระแวง เมื่อยืนยันได้ว่า ‘ไป่หยุนเฟย’ และพวกจากไปแล้วจริงๆพวกมันก็ถอนหายใจโล่งอก แต่จากนั้นพวกมันก็ซึมเซาสมองว่างเปล่าเมื่อพบเห็นศพทั้งสามซากบนพื้น พวกมันแตกตื่นตะลึงลานไม่ทราบจะทำอันใดต่อไป

“หัวหน้า… หัวหน้า พวกเรา พวกเราสมควรทำอย่างไรดี? พวกเราสมควรรายงานไปยังคฤหาสน์ตระกูลจางในบัดดลเพื่อส่งคนไล่ล่าฆาตกรฆ่านายน้อยให้ทันหรือไม่?”

ชายร่างเล็กที่ถูก ‘ไป่หยุนเฟย’ ทำร้ายสลบในตรอกกล่าวกับหัวหน้าขณะลูบอกปลอบใจตนเองอย่างหวาดหวั่น มันไม่กล้าแม้แต่จะมองซากศพที่ไม่ครบสมบูรณ์ของ ‘จางหยาง’

หัวหน้านั้นมองศพ ‘จางหยาง’ อย่างซึมเซา สีหน้ามันแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง บัดเดี๋ยวหมองคล้ำ บัดเดี๋ยวแดงก่ำ บัดเดี๋ยวก็ซีดเผือดราวคนตาย เมื่อได้ยินคำพูดชายร่างเล็กก็สะดุ้งรู้สึกตัวสีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธกริ้วในบัดดล มันหันไปฟาดชายร่างเล็กปลิวกระเด็นโดยไม่บอกกล่าวจากนั้นคำรามอย่างไม่อาจข่มกลั้น

“รายงาน? รายงานมารดาเจ้าเถอะ!! นายน้อยตายแล้ว พวกเราเมื่อรายงานขึ้นไปยังจะไม่ถูกฆ่าได้หรือ? พวกเราทั้งหมดยังจะถูกกลบฝังร่วมกับนายน้อยด้วยซ้ำ!”

ชายร่างเล็กงงงันที่ถูกตบจึงทรุดนั่งกับพื้นมองหัวหน้ามันอย่างซึมเซา หลังจากได้ยินคำพูดก็พลันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง — เมื่อครุ่นคิดตามมันก็หวาดกลัวแทบตายแล้ว

“เช่นนั้น… เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? หัวหน้า…”

สมุนที่ด้านข้างจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้า

หัวหน้านั้นก้มศีรษะครุ่นคิดเนิ่นนานจึงเงยหน้ากล่าวกับสมุนรอบกาย

“ยามนี้นายน้อยถูกฆ่าตายในที่ของพวกเรา อย่าหวังว่าจะมีผู้ใดหนีความรับผิดชอบพ้น พวกเราทั้งหมดล้วนทราบกระจ่างว่าตระกูลจางจะกระทำอย่างไร หากพวกเราถูกคร่ากุมได้ต้องถูกฆ่าและกลบฝังร่วมกับนายน้อยเป็นแน่!”

จบคำมันก็กวาดตามองรอบด้านและกล่าวต่อ

“ปลุกพี่น้องทั้งหมดให้ตื่น พวกเราจะหลบหนีจากเมืองลั่วซีในบัดดล จะอย่างไรชีวิตพวกเราก็สำคัญที่สุด รีบหนีให้ไกลเท่าที่จะทำได้เถอะ!”

ในตรอกห่างไกลผู้คนทางฝั่งตะวันออกของเมือง  ‘ไป่หยุนเฟย’ เว้นระยะราวสิบเมตรเผชิญหน้ากับหญิงสาวทั้งคู่ ‘ชิวลู่หลิว’ แย้มยิ้มอีกครากล่าวว่า

“เมื่อครู่พวกเราแนะนำตัวไปแล้ว แต่ท่านยังไม่ได้บอกว่ามาจากสำนักใด? ดูจากที่ท่านเพียงบรรลุด่านปัจเจกวิญญาณ แต่ไม่เพียงมีแหวนข่องมิติยังครอบครองวัตถุวิญญาณอีกหลายชิ้น หรือท่านเป็นศิษย์สำนักช่างประดิษฐ์?”

“สำนักช่างประดิษฐ์อีก…”

‘ไป่หยุนเฟย’ ครุ่นคิดในใจ

“ก่อนหน้าจางหยางก็กล่าวถึงสำนักนี้ ดูเหมือนจะเป็นสำนักที่โด่งดังเรื่องวัตถุวิญญาณ หากเป็นเช่นนั้น…”

‘ไป่หยุนเฟย’ เงียบงันชั่วครู่ จากนั้นแทนที่จะตอบคำกลับถามกลับ

“ก่อนหน้านี้ท่านมาถึงด้านนอกประตูตั้งแต่เมื่อใด?”

“โอ? อะไรกัน? ท่านยังกังวลถึงเรื่องที่ข้าลอบจับตามองท่าน?”

‘ชิวลู่หลิว’ งงงันวูบจากนั้นปิดปากหัวเราะคิกคัก

“คิก คิก โปรดอย่าได้ถือสา ข้าเพียงมาถึงก่อนนั้นไม่ถึงสามนาที ขณะที่ท่านว้าวุ่นใจอยู่บ้าง แต่เมื่อท่านสงบใจลงกลับพบเห็นข้าในทันที สามารถรับรู้ถึงผู้บรรลุด่านภูติวิญญาณได้ นับว่าท่านร้ายกาจนัก”

“ท่าน… บรรลุด่านภูตวิญญาณแล้ว?”

‘ไป่หยุนเฟย’ ยังคงถามต่อ

“โอ? แม้แต่เรื่องนี้ท่านก็มองออก? ไม่เลว ข้าเพิ่งทะลวงด่านภูติวิญญาณได้เมื่อไม่นานนี้เอง”

“แม้ท่านจะฝีมือร้ายกาจ แต่ท่านและศิษย์น้องสมควรไปจากที่นี่โดยเร็ว ท่านอาจยังไม่ทราบว่าผู้ที่ถูกฆ่านั้นเป็นนายน้อยตระกูลจางแห่งเมืองลั่วซีนามว่าจางหยาง บิดามันจางเจิ้นซานก็บรรลุด่านภูติวิญญาณเช่นกันทั้งยังเป็นคนของสำนักธารน้ำแข็ง”

หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ‘ไป่หยุนเฟย’ จึงกล่าวเตือน

“เมื่อครู่ในห้องโถงนั้น ท่านเปิดเผยที่มาของตน ยามนั้นอาจมีผู้ที่สลบบนพื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว แม้ข้าจะเป็นผู้ลงมือสังหารแต่หาก พวกมันถูกตระกูลจางจับตัวไปสอบสวนย่อมต้องเปิดเผยที่มาของพวกท่าน นี่จะกลายเป็นปัญหายุ่งยากแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูด ‘ไป่หยุนเฟย’   ‘ชิวลู่หลิว’ ก็ชะงักรอยยิ้มขมวดคิ้วกล่าวว่า

“ว่ากระไร? คนผู้นั้นเป็นนายน้อยตระกูลจาง? หากเป็นเช่นนั้นย่อมยุ่งยากไม่น้อยแล้ว…”

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments