ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปราตรีนี้ยังไม่จบสิ้น แม้ดวงจันทร์ที่สุกใสจะลอยข้ามท้องนภาไปแล้ว แม้เสียงแมลงในพงหญ้าจะลดน้อยลงราวกับพวกมันหลับใหลเพราะไม่อาจทนความเปลี่ยวเหงาของค่ำคืนได้
หลังจากอำลาหญิงสาวทั้งสองไป่หยุนเฟยออกจากเมืองลั่วซีไปทันที
เบื้องหน้าหลุมศพผู้เฒ่า ‘อู๋’ …
“ผู้เฒ่า ‘อู๋’ ข้าบรรลุคำสัญญาที่ให้ไว้กับท่านแล้ว ข้าฆ่าจางหยางกับมือข้าเองแล้ว ยามนี้ท่านและเสี่ยวอวี้เอ๋อร์ในปรภพสมควรสู่สุขคติแล้ว…”
“ผู้เฒ่า ‘อู๋’ จากนี้ข้าอาจไม่มีโอกาสมาเยี่ยมท่านอีก ข้าไม่ต้องการอยู่ในเมืองลั่วซีหรือกระทั่งมณฑลฉิงหยุนนี้อีก ข้าจะไปจากที่นี่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“ข้าเลือกจุดหมายไว้แล้ว หวังว่าข้าจะสามารถใช้ชีวิตดังที่ข้าหวังไว้ที่นั่น…”
“ผู้เฒ่า ‘อู๋’ แม้พวกเราอยู่ร่วมกันเพียงครึ่งวันแต่ท่านทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่นเช่นเดียวกับปู่แท้ๆ สุดท้ายท่านก็ยังสละชีวิตเพื่อช่วยข้า… ข้าจะจารึกคำพูดที่ทั้งท่านและท่านปู่ข้าสอนสั่งไว้ในตลอดไป!”
‘ไป่หยุนเฟย’ โขกศีรษะคารวะหลุมศพผู้เฒ่า ‘อู๋’ อย่างนอบน้อมสามครา เมื่อยืนขึ้นสีหน้าโศกเศร้าของมันก็ค่อยๆจางหายไปแทนที่ด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว!
“ผู้เฒ่าอู๋ ข้าขออำลา ไม่ว่าข้าจะเผชิญปัญหาใดในวันข้างหน้า ข้าจะใช้ชีวิตอย่างเสรีและมีมโนธรรมอย่างแน่นอน!”
ยามที่ ‘ไป่หยุนเฟย’ หันกายจะจากไป มันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ร่างของมันที่ค้อมเอวอยู่เสมอโดยไม่รู้ตัว ยามนี้กลับเหยียดหลังตรง แววตาสับสนและเศร้าสร้อยก็สาบสูญไป ดวงตากระจ่างใสของมันเปี่ยมด้วยความมั่นใจและเด็ดเดี่ยว
เมื่อสังหารจางหยางลงได้ ‘ไป่หยุนเฟย’ ก็นับว่าล้างแค้นได้สำเร็จ สภาวะจิตใจจึงเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงันอีกครา มันไม่ใช่กรรมกรต่ำต้อยอ่อนแอที่ดิ้นรนเอาชีวิตด้วยการแบกกระสอบข้าวสารอีกต่อไป ยามนี้มันกลับกลายเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณอันร้ายกาจที่สามารถต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ตนเองได้!
เกิดรังสีที่มองไม่เห็นเปล่งออกมาจากร่าง ‘ไป่หยุนเฟย’ แมลงที่เคยส่งเสียงไม่กี่ตัวในพื้นที่เล็กๆนี้พลันเงียบงันไป แม้แต่แสงจันทร์ที่ฉายส่องรอบด้านก็ราวกับจะสั่นไหวด้วยรังสีจากกายมัน
“ข้าทะลวงสู่… ด่านวีรชนวิญญาณแล้ว!”
ยาม ‘ไป่หยุนเฟย’ รู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านในร่างก็งงงันวูบ มันยกมือขวาขึ้นในระดับสายตาและกำมือโดยแรง ราวกับจะยืนยันความรู้สึกว่าจริงหรือเท็จ
“สองวันที่ผ่านมาไม่ว่าข้าจะฝึกปรืออย่างไรก็ไม่อาจเพิ่มพูนพลังวิญญาณแม้แต่น้อย คาดว่าเป็นสัญญาณเตือนการทะลวงสู่ด่านวีรชนวิญญาณ เดิมทีข้าวางแผนจะไปเยือนหลี่เฉิงเฟิงจากนั้นจึงให้มันคุ้มกันขณะใช้กระบวนการอัพเกรดเพื่อทะลวงอุปสรรคสุดท้ายสู่ด่านต่อไป ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะทะลวงผ่านเช่นนี้?!”
“ดูเหมือนนอกจากการเพิ่มพูนพลังวิญญาณ สภาวะจิตใจก็มีผลต่อการทะลวงด่านอย่างยิ่ง ดีที่รับทราบแล้วภายหน้าจะไม่ฝึกปรือสูญเปล่าอีก”
‘ไป่หยุนเฟย’ ที่เดินขึ้นไหล่เขา เหลียวกลับมามองเมืองลั่วซีที่ถูกห่มคลุมด้วยความมืดยามค่ำคืน จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
“เมืองลั่วซีกำลังจะเกิดความโกลาหลขึ้น เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลจางพบว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้อง หลังจากอำลามารดาและท่านปู่ครั้งสุดท้าย ต้องจากไปไปในบัดดล…”
วันต่อมา ทั้งเมืองลั่วซีก็ตกอยู่ในความโกลาหลและตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง
เนื่องเพราะคืนก่อนชนชั้นมิจฉาชีพเกือบทั้งเมืองลั่วซีกลับถูกรังควาญ
โดยปกติรังโจรเหล่านี้ล้วนมีชื่อเสียงน่าหวาดหวั่นไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน ทว่ากลับมีสตรีนางหนึ่งอาศัยตัวคนเดียวถล่มรังโจรทั้งหลาย ทำร้ายเหล่ามิจฉาชีพบาดเจ็บนับไม่ถ้วน กระทั่งหัวหน้ากลุ่มหลายคนยังถูกทุบตีจนพิการ เป้าหมายของศัตรูเพียงตามหาคนผู้หนึ่ง เด็กสาวที่ถูกมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งคร่ากุมตัวไป
สตรีนางหนึ่งกระทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? นางต้องกระทำได้แน่ เพราะนางเป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณ! มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ฝึกปรือวิญาณระดับยอดฝีมือ! ว่ากันว่าหัวหน้าชุมนุมขวานใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกปรือวิญญาณด่านนวกะวิญญาณยังไม่อาจต้านรับศัตรูได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวและถูกหักขาข้างหนึ่งไป!
กระนั้นนี่กลับไม่ใช่สาเหตุหลักของความโกลาหลในเมือง
สาเหตุหลักของความโกลาหลกลับเป็นนายน้อยตระกูลจางนามจางหยางถูกสังหารในคืนเดียวกัน!
ศพของมันถูกพบในตึกของกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งในเมือง ‘จางหยาง’ และผู้คุ้มกันทั้งสองคนล้วนถูกสังหารอีกทั้งเหล่ามิจฉาชีพที่ครอบครองตึกนั้นก็หายสาบสูญไปหมดสิ้น!
ยามที่มารดาจางหยางทราบข่าวแทบสิ้นสติไป แต่เมื่อได้เห็นสภาพศพที่ไม่ครบสมบูรณ์ของบุตรชายก็หมดสติในบัดดล หลังจากบริวารให้การพยาบาลในที่สุดนางค่อยคืนสติและโถมเข้าไปกอดซากศพจางหยางร่ำไห้ราวจะขาดใจตาย
“ส่งข่าวแก่นายท่านในบัดดล! ระดมกำลังทั้งหมดออกมา! ข้าต้องการให้ทุกคนออกค้นหา!! ค้นหาเหล่าบริวารที่หลบหนีไปและสืบเสาะว่าใครสังหารลูกชายข้า! ข้าต้องการให้พวกมันทั้งครอบครัวตายตกตามลูกชายข้า!!”
ด้วยเหตุนี้ทั้งเมืองลั่วซีจึงตกอยู่ในความโกลาหล เกือบทุกครอบครัวล้วนถูกบริวารตระกูลจางสอบสวนและตรวจค้น แม้แต่กลุ่มมิจฉาชีพในปกครองของตระกูลจางทั้งหลายก็ถูกบังคับให้ลากร่างที่บาดเจ็บออกตามหาผู้หลบหนี
เดิมทีผู้คนในเมืองลั่วซียังคงฉงนใจ แต่เมื่อได้ทราบว่าเกิดอันใดขึ้นพวกมันก็แตกตื่นและหวาดกลัวจึงยินยอมให้มิจฉาชีพดุร้ายของตระกูลจางสอบสวนตรวจค้นแต่โดยดี
กระนั้นพวกมันกลับไม่อาจแสดง‘ความตื่นเต้นยินดี’ในใจได้ — มิคาดว่าจางหยางจะถูกฆ่าตาย! หรือเซียนวิเศษปรากฏตัวกำจัดภัยพาลตามที่พวกมันอธิษฐาน?
ไม่ว่าในใจพวกมันจะตื่นเต้นดีใจเพียงไหนก็ไม่อาจแสดงออกได้ แม้จางหยางจะตายแล้ว แต่รอบข้างกลับเต็มไปด้วยคนตระกูลจาง ดังนั้นเหล่าชาวบ้านจึงได้แต่รอจนพวกมันจากไปค่อยปิดประตูแหงนหน้าหัวเราะอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงอธิษฐานให้ผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงที่สังหารจางหยางรอดพ้นไม่ถูกจับกุมตัว
เมืองลั่วซียามนี้ยุ่งเหยิงยิ่ง คนของตระกูลจางล้วนว้าวุ่นกระวนกระวาย ขณะที่ชาวบ้านในเมืองลอบเฉลิมฉลอง — ทว่าต้นเหตุของเรื่องราวอย่าง ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับเร่งรุดไปเยือนหมู่บ้านของ ‘หลี่เฉิงเฟิง’
หลังเร่งรุดเดินทางหนึ่งวันก็ออกห่างจากเมืองลั่วซีไม่น้อย ‘ไป่หยุนเฟย’ ขอพักค้างแรมที่บ้านชาวนาหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านตอบตกลงทันทีทั้งยังปฏิเสธเงินทองและต้อนรับมันอย่างกระตือรือร้น แม้อาหารจะเรียบง่ายแต่ ‘ไป่หยุนเฟย ‘ยังสัมผัสความจริงใจและน้ำใจจากครอบครัวนี้ได้
ยามค่ำคืน ‘ไป่หยุนเฟย’ นั่งขัดสมาธิบนเตียง หลับตากุมม้วนคัมภีร์สีเทาในมือ มันกำลังฝึกปรือเคล็ดการควบคุมจุดชีพจรของด่านวีรชนวิญญาณ
เนิ่นนานผ่านไป ‘ไป่หยุนเฟย’ ค่อยๆลืมตาขึ้น แต่ดวงตากลับเปี่ยมด้วยความสับสน หลังจากจับจ้องม้วนคัมภีร์ในมืออย่างงุนงงงชั่วครู่จึงเก็บใส่แหวนช่องมิติไป
“ด่านสุดท้ายของสามด่านของการควบคุมร่าง นับว่าแตกต่างจากการควบคุมผิวหนังกล้ามเนื้อและการควบคุมกระดูกโลหิตก่อนหน้า… นี่ต่างจากผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูกและโลหิต สิ่งที่เรียกจุดชีพจรเหล่านี้กลับไม่ง่ายที่จะพบเจอ แม้จะรู้ว่าอยู่ที่ใดแต่กลับไม่อาจสัมผัสถึงได้”
“อีกอย่าง ไฉนข้ามีความรู้สึกคุ้นเคยกับจุดชีพจรเหล่านี้นัก? ราวกับข้ารู้จักจุดชีพจรเหล่านี้มาก่อน… จุดชีพจรที่เกี่ยวพันกับดวงตาเรียกว่าจุด‘หมิงมู่’ ไฉนข้ารู้สึกว่าสมควรเรียกจุด‘จิงหมิง’? และจุด‘ต้านชี’ที่ข้อศอกข้ากลับรู้สึกว่าสมควรชื่อจุด‘เซี่ยวไห่’…”
“ข้ามักรู้สึกราวกับมีความทรงจำที่ไม่ได้เป็นของข้าซุกซ่อนในสมอง ความทรงจำเหล่านี้สมควรได้รับมาพร้อมกับ‘กระบวนการอัพเกรด’แต่กลับเลือนรางราวกับซุกซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ข้ากลับไม่อาจเรียกคืนและแยกแยะความรงจำเหล่านี้ได้…”
“แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายใด อีกทั้งความรู้สึกคุ้นเคยกับจุดชีพจรเหล่านี้ในจิตใจข้ากลับมีส่วนช่วยในการรับรู้ถึงจุดชีพจรได้ดีขึ้น”
“ทว่าแม้ข้าเข้าฌานมาหลายครา กลับรับรู้ได้เพียงจุด‘หมิงมู่’ที่ดวงตา ที่เลวร้ายกว่านั้นคือข้าเพียงรับรู้ถึงการคงอยู่ของจุดชีพจรได้อย่างเลือนรางแต่กลับไม่อาจควบคุมได้… หรือเป็นเพราะข้าด้อยพรสวรรค์เกินไป?”
หาก ‘หานเซี่ยว’ หัวหน้าค่ายไม้ดำที่ถูก ‘ไป่หยุนเฟย’ ฆ่าตายทราบสิ่งที่มันคิดอยู่นี้คงคลุ้มคลั่งจนฟื้นจากความตายจากนั้นกระอักเลือดจนตายอีกครา ในอดีต ‘หานเซียว’ ทุ่มเทเวลาทั้งเดือนแต่เพียงรับรู้ถึงการคงอยู่ของจุดชีพจรจุดแรก แน่นอนว่าแม้เพราะหานเซียวด้อยพรสวรรค์แต่กระทั่งผู้ที่พรสวรรค์ปานกลางก็ยังต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อรับรู้ถึงจุดชีพจรจุดแรกยามที่ฝึกปรือเคล็ดควบคุมจุดชีพจรหลังจากบรรลุด่านวีรชนวิญญาณระดับต้น
กระนั้น ‘ไป่หยุนเฟย’ กลับใช้เวลาไม่ถึงวันก็รับรู้ถึงจุดชีพจรแรกได้อย่างเลือนราง นี่เป็น‘พรสวรรค์’ระดับใดกัน? แน่นอนว่ายามนี้ ‘ไป่หยุนเฟย’ ยังคงไม่ทราบว่าความรู้สึกคุ้นเคยกับจุดชีพจรทั้งหลายในร่างจะมีส่วนช่วยในการฝึกปรือของมันอย่างใหญ่หลวง…
“กระทั่งจุดชีพจรพื้นฐานทั้งหลายข้ายังไม่อาจรับรู้ได้ แล้วจะให้ข้าฝึกฝนท่าเท้าเหยียบคลื่นอย่างไร?… โธ่ ข้าเฝ้ารอที่จะฝึกฝนท่าร่างนี้ หวังจะสำเร็จโดยเร็วเพื่อทดลองใช้ดู”
มันพลิกข้อมือก็ปรากฏม้วนคัมภีร์สีขาวในมือ — นี่ไม่ใช่อื่นใดแต่เป็นคัมภีร์เคล็ดวิญญาณม้วนสุดท้ายในแหวนช่องมิติ
ท่าเท้าเหยียบคลื่นเป็นเคล็ดวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับสูงที่อาศัยจุดชีพจรหลายจุดบนขาทั้งสองเป็นรากฐานเพื่อประสานระหว่างเคล็ดการชักนำพลังวิญญาณอย่างพิสดารกับรูปแบบการย่างก้าวอันพิสดารเพื่อเพิ่มพูนความเร็วและความคล่องแคล่วแก่ผู้ใช้ เคล็ดวิชาท่าร่างไม่ได้สร้างความเสียหายโดยตรงแต่มีส่วนช่วยหลายๆด้านอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าท่านจะต่อสู้ ไล่ล่าหรือแม้แต่หลบหนี
‘ไป่หยุนเฟย’ มองม้วนคัมภีร์อย่างสับสนอยู่เนิ่นนาน นึกฝันถึงว่าเคล็ดวิญญาณนี้จะเป็นเช่นไร หลังจากเก็บคัมภีร์ใส่แหวนช่องมิติ มันก็ตบหน้าผากและกล่าวกับตนเอง
“ข้าครุ่นคิดมากความไปแล้ว หากข้าต้องการฝึกปรือเคล็ดวิญญาณนี้โดยเร็ว ก็จำต้องเรียนรู้วิธีควบคุมจุดชีพจรพื้นฐานทั้งหลายเหล่านี้ให้ได้ อย่างน้อยต้องชำนาญการควบคุมจุดชีพจรได้ก่อนที่จะฝึกฝนเคล็ดวิญญาณนี้…”
ที่จริงแล้วมีจุดชีพจรพื้นฐานเพียงสิบกว่าจุดเท่านั้นที่จำเป็นต้องควบคุมให้ได้ในระดับต้นของด่านวีรชนวิญญาณ ทว่าไป่หยุนเฟยกลับศึกษาแบบเรียนที่ชายชราจากสำนักชะตาลิขิตมอบให้ จุดชีพจรหลายจุดที่บันทึกไว้กลับเป็นจุดชีพจรพิเศษ ในสำนักฝึกปรือวิญญาณทั่วไปมีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้เคล็ดการควบคุมจุดชีพจรเหล่านี้ได้
‘ไป่หยุนเฟย’ กลับไม่ทราบความนัย มันเพียงคิดว่าจุดเหล่านี้เป็นจุดชีพจรพื้นฐานที่ผู้บรรลุด่านวีรชนวิญญาณต้องควบคุมให้ได้…
ที่มา: