ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปตอนที่ 5 : เมืองหลวงเอ๋ย ข้าผู้นี้มาถึงแล้ว!
มองไปที่ซั่วหลุนที่เป็นศพในตอนนี้ หลานหลิงถึงกับสั่นสะท้าน เนื่องจากผิวของศพหายไป “ผิวของเขาหายไปไหนกัน?” หลานหลิงเอ่ยปากถาม
“อย่าได้ถามให้มากความนัก ข้าถอดมันออกเพื่อให้เป็นแบบในการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเจ้าเท่านั้น มิส่งผลใดต่อ ๆ เจ้า” จอมเวทย์กล่าว
หลานหลิงโล่งอกก่อนจะค่อย ๆ ถอนหายใจเบา ๆ ตอนแรกเขาคิดว่าหน้ากากนั่นทำจากผิวหนังของซั่วหลุนเสียอีก
เขานั่งลง ก่อนที่จอมเวทย์จะหยิบหน้ากากอันโปร่งใสราวกับคริสตัลนั้นมาวางไว้บนหน้าของหลานหลิง
เขารู้สึกคันหยุกหยิก หน้ากากโปร่งใสมันราวกับพยายามเจาะเข้าไปที่ใบหน้างของเขา
ในที่สุดมันก็เหมือนกับซึมเข้าใบหน้าของหลานหลิงไป หน้ากากอันนี้ราวกับว่ามีชีวิตจริง ๆ มันกำลังเข้าไปทำให้หน้าของหลานหลิงเปลี่ยนไป
จมูกที่โด่งคมสัน ริมฝีปากอ่อนนุ่ม ทั่วทั้งใบหน้าของเขาตอนนี้ได้รูปทรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อหลานหลิงเปิดตาออกมายิ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์มากขึ้นเรื่อย ๆ
หน้ากากยังคงทำงานของมันไปเรื่อย ๆ ดูท่าจะกินเวลานานกว่ามันจะปรับรูปลักษณ์เสร็จสมบูรณ์ ช่างทำให้รู้สึกง่วงยิ่งนัก หลานหลิงได้แต่คิดในใจ
ในที่สุดมันก็หยุดทำงาน หน้าของหลานหลิงไม่รู้สึกถึงอะไรแล้วทั้งนั้น เขาจับไปที่ผิวหน้าของเขา กลับพบแต่ความรู้สึกถึงผิวอันนุ่ม ทว่ายิ่งสัมผัศไป เขากลับไม่รู้สึกถึงหน้ากากที่เขาสวมมัน กลับมีแต่ความรู้สึกนุ่มลื่นของผิวหน้าแทน
เขาคิดในใจว่าบางทีนี่อาจล้มเหลวหรือเปล่า? เพราะอะไรเขาถึงไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของหน้ากากได้
ยามที่เขาเปิดตาออกแล้วจ้องไปที่เย่จิงยื่อ เขาดูออกได้ว่านางตกใจที่หน้าเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีเช่นนี้
หลานหลิงมองไปดูที่กระจกถึงกับตกใจตัวเองทันที
……
หลานหลิงรู้ว่าหน้าของตัวเองเปลี่ยนรูปลักษณ์คล้ายกับตัวซั่วหลุนที่เห็นตอนนั้นมากถึง 70% แม้ว่าจะมีบางจุดที่ดูไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก แต่ก็ยังถือว่ามันยังดีโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ
ใบหน้าที่อยู่กับเขาตอนนี้ เป็นใบหน้าของชายหนุ่มรูปลักษณ์หล่อเหลา เรียบง่าย แทบไม่มีข้อกังขาหรือข้อบกพร่องใด ๆทั้งสิ้น
ความสามารถนี้ช่างแปลกตายิ่งนัก จอมเวทย์ประหลาดลึกลับเขาเรียกเก็บเงินแพง ๆ แต่ฝีมือของเขานับได้ว่าเป็นของจริง
“ถ้าหากผ่านไปหลายปี ข้าอยากได้ใบหน้าดั่งเดิมของข้ากลับคืน ข้าต้องทำเช่นไร?” หลานหลิงพูดถาม
“เพียงกลับมาหาข้า ทว่าต้องพก 1 พันเหรียญทองมาด้วย เมื่อถอดหน้ากากออกแล้ว มันจะมิอาจสวมใส่ มันจะถูกทำลาย และไม่สามารถทำได้อีก” จอมเวทย์กล่าว
จอมเวทย์หันไปหาเย่จิงเฟิงแล้วพูดมา “แม่นางคนนี้ต้องอยู่ที่นี่ ส่วนพวกเจ้าทั้งสองออกไปได้แล้ว”
ดวงตาของเย่จิงเฟิงเศร้าสร้อยในทันที “ข้าขอออกไปส่งพี่หญิงกับเขาได้หรือไม่?”
จอมเวทย์พยักหน้าให้หนึ่งครั้ง
…….
เย่จิงเฟิงกอดพี่สาวของนางนานมาก ทั้งคู่อยู่กอดกัน แม้ไม่มีน้ำตาไหลออกมา แต่เย่จิงยื่อกลับตาแดงแทน
ทั้งคู่ปราศจากคำพูดใด ๆ พวกนางคือฝาแฝดที่เชื่อมใจถึงกัน การบอกลาของพวกนางไม่จำเป็นต้องเอ่ยเป็นคำพูดใด ๆ
หลังจากกอดกันเสร็จ เย่จิงเฟิงจับที่ไหลของหลานหลิงและกล่าวว่า “หลานหลิง ต่อจากนี้เจ้าจะกลายเป็นนายน้อยตระกูลซั่ว เจ้าต้องดูแลและปกป้องนายหญิงให้ดีด้วย”
หลานหลิงพยักหน้า ถ้าหากไม่ได้พวกนางสองคนช่วย เขาคงตายไปนานแล้ว นี่คือการตอบแทนบุญคุณที่เขาต้องช่วยเหลือพวกนาง เพราะว่าการเสียสละตัวเองของเย่จิงเฟิงยามต้องยอมพลัดพรากจากพี่สาวของนางเพื่อช่วยเหลือตระกูลซั่ว แสดงว่าตระกูลนั้นสำคัญต่อนางยิ่งนัก
หลานหลงิงไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนักที่ต้องแบกรับความผิดชอบนี้
“สามปีให้หลัง ข้าจะมาหาเพื่อปลดปล่อยตัวเจ้า” หลานหลิงกระซิบบอก
“สัญญาแล้วนะ เจ้าเอ่ยแล้วห้ามคืนคำล่ะ?” เย่จิงเฟิงดึงมือเล็ก ๆ ของนางออกจากไหล่ของเขา
“อืม สัญญาแน่นอนเลย” หลานหลิงพยักหน้าบอกพร้อมกับกุมมืออมชมพูของนางไว้
“ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว ข้าเป็นห่วงจิตใจของพี่สาวมาก ถ้าหากอยู่นาน ๆ นางอาจเป็นห่วงข้าจนไม่ทำอันใดเลย” เย่จิงเฟิงกล่าว จากนั้นเธอก็กลับเข้าไปในปราสาท
แม้ว่าวรยุทธ์ของนางนั้นจะสูงกว่าพี่สาว แต่ใครจะไปไว้ใจปล่อยนางให้อยู่กับจอมเวทย์ลึกลับผู้นั้นได้ ไม่มีใครสามารถทนได้หรอก
…………………………….
การออกจากปราสาทครั้งนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้ายิ่งนัก
ร่างกายของซั่วหลุนที่ผิวหนังหายไปหมด หากจะปล่อยไว้มันก็กระไรอยู่ พวกเขาเลยตัดสินที่จะเผาร่างนั้น และเอาขี้เถ้ากลับบ้านเกิดเสียดีกว่า
เย่จิงยื่อเอาร่างของนายน้อยวางไว้ ก่อนที่จะเอาหินทับพร้อมทำที่เผาศพ ก่อนจะนำน้ำมันสีแดงเทราดลงไป พร้อมกับจุดไฟแล้วยื่นให้กับหลานหลิงและกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าคือนายน้อยตระกูลซั่ว หรืออาจจะเป็นผู้นำตระกูลซั่วแล้ว อำนาจการควบคุมทุกอย่างจะเป็นของเจ้า”
หลานหลิงจับที่คบเพลิงของจิงยื่อ มันไม่หนักมากเท่าไหร่ ทว่าคำพูดของจิงยื่อ มันเหมือนกับให้เขาแบกรับอะไรที่หนักหนาไว้บนบ่า
หลานหลิงมองซากศพของซั่วหลุนแล้วเอ่ยปากพูดว่า “ข้ามิรู้ว่าข้าจะทำได้ดีมากเพียงใด ทว่าข้าขอสัญญาว่าข้าจะทุกอย่างให้เต็มที่แน่นอน”
จากนั้นเขาก็เผาร่างของนายน้อยซั่วหลุนทันที
“พรึ่บ…!!” เสียงจุดไฟ เปลวไฟสีน้ำเงินลุกขึ้นทันที ความร้อนรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ศพของซั่วหลุนเริ่มไหม้เกรียม
ไฟที่ลุกไหม้ สงบลงในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา
เย่จิงยื่อเก็บขี้เถ้าของซั่วหลุนไว้ในกล่อง
“ไปกันเถอะ กลับสู่เมืองหลวงกันเสียที” เย่จิงยื่อมองไปที่ปราสาทครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหายใจเข้าอย่างลึก ๆ ก่อนจะควบม้ากลับไป
หลานหลิงนั่งบนรถม้าเช่นเคย พวกเขารีบเดินทางไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อไปทางเมืองหลวงของอาณาจักรจื้อ
……………………………
ห้าวันแล้วที่ออกจากปราสาทจอมเวทย์ลึกลับ กำลังเข้าใกล้สู่เมืองหลวง
หลานหลิงมองผ่านหน้าต่างในรถม้า ถึงกับตกใจว่าเมืองรอบ ๆ ที่ผ่านทางมานั้นมันคือการผสมผสานระหว่างจีนและโลกตะวันตกจากโลกที่เขาเคยอยู่ การออกแบบมีตำหนักจีนสมัยโบราณผสมกับปูนที่คล้ายกับตึกราบ้านช่องจากโลกเก่า มันเป็นงานประติมากรรมที่สวยงามและยิ่งใหญ่สมกับเป็นอาณาจักรจื่อจริง ๆ
ในที่สุด 10 วันจากการเดินจทางมาจากปราสาท ในที่สุดหลานหลิงก็มาถึงเมืองหลวงเสียที
อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ทางตอนเหนือนั้นกว้างขวางมากยิ่งนัก
เมืองหลวงหรือที่เรียกว่าเมืองจื่อมีประชากรนับล้านกว่าคน มันไม่ใช่เมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีป แต่ถือว่าเป็นเมืองที่ติดหนึ่งในห้าอันดับแรก
กำแพงเมืองซื่อมีความยาวถึง 60-70 ไมล์ ทั้งยาวทั้งใหญ่ดูรูปทรงของมันแข็งแรงยิ่งนัก
รอบ ๆ กำแพงมีทหารสวมชุดเกราะสะท้อนแสงออกมาเห็นได้ชัด
หลานหลิงเหม่อมองไปที่ท้องฟ้าพลันเห็นเงานับสิบจากข้างบน ที่แท้มันคือนักรบที่กำลังขี่กริฟฟินลาดตระเวนไปตามท้องฟ้า โลกนี้ใช้สัตว์เทพนิยายในการสำรวจสถานที่ที่ต่าง ๆ ช่างน่าทึ่งจริง ๆ
ประตูใหญ่ที่สามถูกเปิดออกค้างไว้ ไม่มีท่าที่ว่าจะปิด มีคนจำนวนมากเดินเข้าออกประตูใหญ่ หลานหลิงเห็นคนหลายเชื้อชาติต่างเข้าออกที่นี่ บางคนมีหน้าตาคล้ายคนเอเชียหรือฝรั่งก็มี นี่มันคล้ายกับเอาส่วนหนึ่งของโลกที่เขาเคยอยู่มาผสมกัน
เย่จิงยื่อถือป้ายหยกและควบม้าเข้าประตูเมืองโดยหาได้สนใจเหล่าทหารที่เฝ้าประตูไม่ แม้แต่ทหารยังไม่กล้าที่จะหยุดพวกเขา เพราะป้ายหยกนั้นคือสิทธิพิเศษสำหรับขุนนาง
หลังจากเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว หลานหลิงเห็นคนหลายคนเดินตามท้องถนนเต็มไปหมด
“เมืองหลวงงั้นเหรอ ข้ามาแล้ว!” หลานหลิงไม่สามารถทนต่อภาพเบื้องหน้าได้ เขาได้แต่พูดด้วยเสียงเบา ๆ