ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลังจากที่ได้ยินเสียงดังกล่าว’ชูเฟิง’ก็รู้สึกได้ถึงออร่าจาง ๆ ครอบคลุมร่างกายของเขาและลอยกลับไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ร่างกายของ’ชูเฟิง’หยุดนิ่งพลังอำนาจที่ครอบคลุมร่างกายของเขาอยู่นั้นก็หายไปและ’ชูเฟิง’ก็ต้องค้นพบกับความประหลาดใจเพราะคนที่อยู่ข้างหลังเขานั้นเป็นบุคคลที่เขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือปู่ของ ‘จือหลิง’ ‘จือ ซวนหยวน’
แต่ความรู้สึกของ’ชูเฟิง’ในตอนนี้นั้นมันบ่งบอกกับเขาออกมาอย่างชัดเจนว่า ‘จือ ซวนหยวน’ ในตอนนี้นั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าในตอนนี้’ชูเฟิง’จะใช้เม็ดยาต้องห้ามเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณให้กับตัวเองจนอยู่ในระดับที่สูงมากแต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะมองผ่านระดับพลังวิญญาณของ ‘จือ ซวนหยวน’ ได้และนอกจากนี้ลักษณะของ ‘จือ ซวนหยวน’ นั้นยังคงสงบเป็นอย่างมากซึ่งนั้นแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเขาไม่ได้มีความเกรงกลัว ‘เจี่ย ซิงเผิง’ เลยแม้แต่น้อย
“ท่านเป็นใคร?”
‘เจี่ย ซิงเผิง’ ขมวดคิ้วของเขาแน่นและกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“ข้านั้นเป็นสหายของชูเฟิง”
‘จือ ซวนหยวน’ ตอบกลับไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกรุณา
“สหาย? ที่ข้าอยากรู้คือชื่อของท่าน”
‘เจี่ย ซิงเผิง’ กล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“โอ้ชื่อของข้าน่ะรึ..ฮ่า ๆ..ข้ามีชื่อว่า จือ ซวนหยวน”
‘จือ ซวนหยวน’ กล่าวออกมาด้วยลักษณะที่ยิ้มแย้ม
“ท่านคือ จือ ซวนหยวน?”
หลังจากที่ได้ยินชื่อนี้ ‘เจี่ย ซิงเผิง’ ก็แสดงออกถึงอาการเปลี่ยนแปลงและมีคำใบ้ถึงอาการช็อกในดวงตาของเขา
“ฮื่ม? เป็นไปได้ว่าชายหนุ่มเช่นเจ้าอาจเคยได้ยินชื่อของชายชราผู้นี้อย่างนั้นใช่หรือไม่?”
‘จือ ซวนหยวน’ กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“โฮ่… หลายปีที่ผ่านมาผู้ที่ปกครองอาณาจักรฉินนั้นคือที่ราบคฤหาสน์องค์ชาย ซึ่งที่ราบคฤหาสน์องค์ชายนั้นมีรากฐานที่แข็งแกร่งมากพวกเขาปกครองอาณาจักรฉินมาตลอดถึง 300 ปี พวกเขาได้ปราบปรามขุมพลังอำนาจอื่น ๆ ในอาณาจักรฉินทั้งหมดและนั้นก็เป็นเหตุผมที่ว่าในอาณาจักรฉินนั้นไม่มีขุมพลังอำนาจใดเลยที่จะสามารถต่อกรกับที่ราบคฤหาสน์องค์ชายได้.”
“แต่ในช่วงเวลาที่เงียบสงบจู่ ๆ ก็ได้มีขุมพลังอำนาจที่ไม่ทราบที่มาอย่างนครอันทรงเกียรติโพล่ขึ้นมา พลังอำนาจของเขานั้นได้เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลายสิบเท่าในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีและในท้ายที่สุดเขาก็ได้มอบความพ่ายแพ้ให้กับที่ราบคฤหาสน์องค์ชายผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ในการปกครองอาณาจักรฉิน และจากแหล่งข่าวทั้งหมดที่ข้านั้นได้รับรู้มามันบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ได้เกี่ยวข้องกับชายชราผู้หนึ่ง”
“ซึ่งชายชราผู้นี้ได้เข้ามายังนครอันทรงเกียรติในฐานะแขกผู้มีเกียรติระดับอาวุโส และนอกจากนี้ยังมีความจริงอีกว่าหลังจากที่ชายชราผู้นี้ได้เข้ามายังนครอันทรงเกียรติได้ไม่นานมันก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นเพียงแค่ระยะช่วงเวลาสั่น ๆ ขุมอำนาจของพวกเขาก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างท้วมท้นในทุก ๆวันจนในที่สุดก็ได้ทะลุเกินขุมพลังอำนาจที่มีชื่อเสียงอย่างที่ราบคฤหาสน์องค์ชายและกลายเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรฉินในท้ายที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้”
“และชายชราผู้นั้นก็เปรียบได้ดั่งกับตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่…และข้าภาวนาว่านั้นคงจะไม่ได้เป็นท่านใช่หรือไม่ จือ ซวนหยวน?”
ในขณะที่ ‘เจี่ย ซิงเผิง’ กล่าวออกมานั้นในดวงตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่ ‘จือ ซวนหยวน’ ด้วยความประหลาดใจและมันรู้สึกแปลกมากสำหรับเขา
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าชายชราเช่นข้านั้นจะมีชื่อเสียงถึงขนาดนี้ แต่แท้จริงแล้วบุคคลภายนอกนั้นไม่ควรที่จะรู้ถึงมันฉะนั้นข้าคงต้องนับถือแหล่งข่าวของเจ้าจริง ๆ ที่สามารถสืบค้นหาข้อมูลของข้าได้มากมายถึงเพียงนี้.”
‘จือ ซวนหยวน’ หัวเราะพร้อมกล่าวชม
“แน่นอนว่าข้านั้นได้มีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้นำของนครอันทรงเกียรติรุ่นก่อน ข้าและเขานั้นเป็นเพื่อนเก่ากันเขาได้แต่งตั่งข้าให้เป็นแขกผู้มีเกียรติระดับอาวุโสและขอร้องให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องดูแลนครอันทรงเกียรติ.”
“ซึ่งในตอนแรกที่ราบคฤหาสน์องค์ชาย นั้นเป็นเผด็จการและเอาแต่ใจมากเกินไป พอเห็นว่านครอันทรงเกียรติเริ่มที่จะขยายอำนาจและมีขุมพลังเพิ่มมากขึ้นเขาก็ได้ใช้ลูกเล่นตุกติกเพื่อที่จะจัดการกับนครอันทรงเกียรติอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ลับตาคนหรือว่าสานที่โล่งแจ้งพวกมันก็ไม่เลือก มันทำให้คนจากนครอันทรงเกียรตินั้นเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมากและมันก็ค่อนข้างที่จะสร้างความวุ่นวายให้ไม่น้อยเลยที่เดียว”
“เมื่อเห็นเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจที่จะทนมองได้อีกต่อไปข้าจึงได้ตัดสินใจเดินทางไปที่ที่ราบคฤหาสน์องค์ชายเพื่อเจรจาเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่ข้านั้นกลับคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าหลังจากที่ข้าออกมาจากที่นั้นได้ไม่นานที่ราบคฤหาสน์องค์ชายก็ได้เขียนจดหมายถึงราชวงศ์เจียงว่าที่ราบคฤหาสน์องค์ชายนั้นเป็นรองนครอันทรงเกียรติจึงได้อ้อนวอนขอให้ราชวงศ์เจียงนั้นยกตำแหน่งกษัตริย์ของอาณาจักรฉินของตนให้กลับนครอันทรงเกียรติเป็นผู้ดูแลต่อไปแทนพวกเขา”
“แม้ว่าผลที่ออกมานั้นมันจะไม่ได้เป็นไปดั่งที่ข้าได้คาดหวังเอาไว้แต่มันก็กล่าวได้ว่าผู้นำของที่ราบคฤหาสน์องค์ชายนั้นยังคงที่จะให้ใบหน้าแก่ข้าอยู่บ้าง”
“ฉะนั้นแล้วในวันนี้ข้านั้นต้องการที่จะนำชุเฟิงออกไปจากที่นี่ข้าล่ะหวังจริง ๆ ว่าเจ้าจะให้อภัยต่อการกระทำของชุเฟิงในวันนี้ และนอกจากนี้ข้ายังคงคาดหวังอยู่ว่าเจ้าจะให้ใบหน้าแก่ข้าบ้างได้หรือไม่?”
ใบหน้าของ ‘จือ ซวนหยวน’ นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและคำพูดของเขาก็ดูเหมือนจะอ่อนโยนแต่กลับแฝงไปด้วยความตั้งใจที่มุ่งมั่น เขาได้แสดงถึงความแข็งแกร่งของตัวเขาเองและอยากจะบอก ‘เจี่ย ซิงเผิง’ ให้ทราบถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากในตอนนี้เขามีเพียงแค่ทางเลือกเดียวคือล้มเลิกความตั้งใจของเขาซะ
“ถ้าท่านผู้อาวุโสกล่าวเช่นนั้นล่ะก็ตามธรรมชาติแล้วข้าน้อยก็ควรที่จะเห็นแก่ใบหน้าของท่าน ในวันนี้ข้าน้อยจะปล่อยชูเฟิงไปแต่ถ้าหากได้พบกันในภายภาคหน้าข้าน้อยก็ไม่อาจที่จะรับประกันได้ว่าข้าจะไม่ทำร้ายเขาในอนาคต”
‘เจี่ย ซิงเผิง’ กล่าว
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณหัวหน้าตระกลู เจี่ย.”
แม้ว่าเขาจะได้กล่าวคำขอบคุณออกไป แต่ในน้ำเสียงของ ‘จือ ซวนหยวน’ นั้นกลับไม่ได้แสดงถึงความกตัญญูใด ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านผู้อาวุโส จือ ซวนหยวน แท้จริงชั่งสุภาพเกินไป หลังจากที่ท่านผู้อาวุโส จือ ซวนหยวน ได้ใช้ความแข็งแรงของท่านสร้างความหวาดกลัวต่อที่ราบคฤหาสน์องค์ชายได้เช่นนั้นข้าก็มั่นใจได้เลยว่าความแข็งแรงของท่านนั้นจะต้องไม่ใช้ธรรมดาอย่างแน่นอน”
“แต่ข้าน้อยในตอนนี้นั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะลบหลู่แต่อย่างใด เพียงแต่ข้าน้อยนั้นมีความท้าทายอย่างไม่รู้จบสำหรับการได้เจอกับผู้เชียวชาญที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า ฉะนั้นแล้วข้าน้อยจึงต้องการที่จะแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อาวุโสเพียงสักหนึ่งกระบวนท่าก็ยังดีไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโส จือ ซวนหยวน จะสามารถทำตามคำขอของข้าน้อยได้หรือไม่?”
‘เจี่ย ซิงเผิง’ นั้นกล่าวได้ว่ามีไหวพริบที่ดีมาก แม้ว่าเขาจะได้สัญญากับ ‘จือ ซวนหยวน’ ไปแล้วว่าเขานั้นจะให้อภัย’ชูเฟิง’ในวันนี้แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่คำพูดที่บังหน้าเท่านั้นเขายังไม่ได้มีความต้องการที่จะปล่อย’ชูเฟิง’ออกไปในวันนี้
ในข้อตกลงของการแลกเปลี่ยนหนึ่งกระบวนท่ากับ ‘จือ ซวนหยวน’ หากเขาไม่สามรถที่จะเอาชนะได้เขาก็จะถอยกลับไปแต่โดยดี แต่ถ้าหาก ‘จือ ซวนหยวน’ เป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ให้แก่เขาแทนล่ะก็ ผลมันก็จะออกมาอย่างแน่นอนว่า ‘จือ ซวนหยวน’ และ ‘ชูเฟิง’ จะต้องถูกเขาฆ่าตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ดีดี ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าตระกูล เจี่ย นั้นได้รับกรยอมรับว่าเป็นขุมพลังอำนาจที่แข็งแกร่งมาเป็นเวลานาน”
“ในวันนี้ข้าก็ยังได้พบกับผู้นำของตระกูล เจี่ย อีกนับได้ว่านี่เป็นโชคที่ดีของข้ายิ่งนักที่จะได้สัมผัสกับความแข็งแกร่งของผู้นำตระกูล เจี่ย อย่างแท้จริง”
ทันใดนั้นเสื้อคลุมของ ‘จือ ซวนหยวน’ ก็ได้สะบัดอย่างรวดเร็วและหลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปยังกับผี แล้วก็มาโพล่อีกทีในด้านหน้าของ ‘เจี่ย ซิงเผิง’
หลังจากที่ ‘จือ ซวนหยวน’ ปรากฏตัวเขาก็ไม่ได้เริ่มการโจมตีที่พิเศษอะไรเขาไม่ได้ใช้ทักษะการต่อสู้หรือร่างกายที่แพรพราวใด ๆ ไม่มีออร่าแห่งความน่ากลัวไม่มีความเร็วดุจสายฟ้าฟาด เขาไม่ได้แสดงอะไรที่บ่งบอกถึงความเป็นอันตรายของเขาออกมาเลย เขาเพียงแค่ค่อย ๆ ยื่นฝ่ามือของเขาออกไปเท่านั้นโดยไม่ได้รีบร้อนใด ๆ ต่อ ‘เจี่ย ซิงเผิง’
“ฮ่า!”
แต่อย่างไรก็ตามฝ่ามือของ ‘จือ ซวนหยวน’ นั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่ต่าง ๆ มากมายและยังขาดแม้กระทั่งภัยคุกคาม แต่เมื่อมันเข้ามาใกล้กับ ‘เจี่ย ซิงเผิง’ มากขึ้นจู่ ๆ บรรยากาศมันก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันและสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอย่างท้วมท้นจากผ่ามือธรรมดาเช่นนั้น
เขาตะโกนออกมาอย่างเสียงดังและใช้ทักษะลึกลับระดับสูงและรวมไปถึงการโคจรอำนาจสวรรค์ทั้งหมดภายในร่างกายของเขามาร่วมกันเอาไว้ที่ฝ่ามือด้านซ้ายและบิดเอวของเขาเล็กน้อยพร้อมพลับถ่ายพลังทั้งหมดไปที่ฝ่ามือด้านขวาแล้วเหวี่ยงมันออกไปในด้านหน้าและปะทะเข้ากับฝ่ามือของ ‘จือ ซวนหยวน’
ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสองนั้นจะเป็นคนที่โดดเด่นแต่หลังจากที่ฝ่ามือทั้งสองได้ประทะกันมันก็ได้บ่งบอกออกมาถึงความต่างชั้นกันอย่างชัดเจน ในขณะที่ ‘เจี่ย ซิงเผิง’ ได้รวมพลังอำนาจของเขาทั้งหมดเอาไว้ที่ฝ่ามือนั้น
‘ชูเฟิง’ก็ได้เห็นพื้นที่โดยรอบอย่างชัดเจน ภาพตัวของเขานั้นบิดโครงเครงไปมา อำนาจสรรค์ของเขาที่แพร่ออกมานั้นมันบอกได้เลยว่าไม่มีขีดจำกัดและดูเหมือนว่าฝ่ามือของเขานั้นนับได้ว่าไม่ได้มีความแรงที่เบาๆ เลยที่เดียวเพราะแม้แต่กระทั้งภูเขาที่ตั้งสูงตระหง่านก็ยังสามารถที่จะถูกพังทลายได้อย่างง่ายดายโดยฝ่ามือของเขา
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าฝ่ามือของ ‘เจี่ย ซิงเผิง’ นั้นจะกล่าวได้ว่ารุนแรงเป็นอย่างมากแต่เมื่อมันได้เข้าใกล้กับฝ่ามือของ ‘จือ ซวนหยวน’ ความเร็วและความแรงของมันก็ค่อย ๆ ลดลงมาอย่างต่อเนื่องและในท้ายที่สุดมันก็ทำได้เพียงแค่แตะไปเบา ๆ ที่ฝ่ามือของ ‘จือ ซวนหยวน’ เท่านั้น
ความเป็นจริงมันไม่เหมือนกับที่เขาได้จินตนาการเอาไว้ ฝ่ามือของทั้งสองจริงเพียงแค่แตะและปะทะกันเบา ๆ เพียงแค่นั้น
*** ตึบ ***
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าเพียงผิวเผินนั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่เพียงในจังหวะนั้น ทันทีที่ฝ่ามือของทั้งสองปะทะกัน ‘เจี่ย ซิงเผิง’ จู่ๆ ก็ถอยหลังกับไปหนึ่งขั้นตอนและเกิดรอยแตกปรากฏขึ้นบนอากาศใต้ฝ่าเท้าของเขา
**นึกภาพไม่ออกก็นึกถึงบลีชเข้าไว้นะครับ
อย่างรวดเร็วร่างกายของเขาที่ระเบิดพลังงานสวรรค์ที่แข็งแกร่งออกมาโดยรอบตัวของเขา มันก็ค่อย ๆ เริ่มกระชากและกลับเข้าไปสู่ร่างกายของเขาดั่งเดิม ในอากาศอำนาจสวรรค์ของเขานั้นสามารถที่จะโพล่ออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนมันได้หมุนวนรอบ ๆ ตัวเขาราวกลับคลื่นน้ำวนและมันก็ได้ไหลกลับเข้าไปในร่างกายของเขา
ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า ‘เจี่ย ซิงเผิง’ ได้ใช้พลังอำนาจสวรรค์ทั้งหมดที่เขามีไปกับกระบวนท่าก่อนหน้านี้อย่างแท้จริงเขาได้ใช้พลังอำนาจเต็ม 100 ของเขา
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถที่จะบังคับให้ ‘จือ ซวนหยวน’ ถอยกลับไปได้เลยแม้แต่ขึ้นตอนเดียว ในขณะนี้เขาได้กัดฟันของเขาและกลับมายังจุดเดิมที่เขาได้ยืนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
#######################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 3 หัวดอที่จะมาเผาชูเฟิงไปพร้อมกลับคุณ
1 : เป็นใงล่ะเจอพลังแบ็คกูเข้าไปรู้เหลืองเลยดิ
2 : ง่ะบอกแล้ว ซวนหยวน กูอ่ะโหดสาดโหดสาด
3 : มึงไปบอกกันตอนไหนว่ะกูยังไม่เห็นรู้เรื่องเลยมีแต่พวกมึงอ่ะไปว่ามัน ว่ามาช่วย ชูเฟิงช้าเมื่อหลายตอนที่แล้วไม่ใช่หรอ??
1,2 : เงียบปากไปไอ้สาด!!
3 : ได้ ๆ ๆไอ่สัสเดี้ยวพวกมึงเจอลูกพี่กู
1,2 : นอกจากมึงแล้วยังมีใครครบด้วยหรอ!!!
3 : เงียบปากไปไอ้สัส เด๋วมึงเจอพี่ กูแล้วจะหนาว
1 : ไปเรียกมันมา!!!
2 : ให้ตามมายัน เลย
3 : เด๋วเจอแน่ไอ้พวก
%@%&#@!%#@%@#################################################################################################…..####เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ : นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน####….. : กูไปเกี่ยวกับพวกมืงตอนไหน ???
ที่มา: