ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“นางคืออสูรวิญญาณ ที่มาจากโลกวิญญาณอสูรฟ้า”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของ ‘จื่อ หลิง’ นั้น ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาปรากฏแววครุ่นคิดเล็กน้อย เพราะเขาคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่า นางเป็นอสูรวิญญาณจาก โลกวิญญาณอสูรฟ้า
“โลกวิญญาณอสูรฟ้า ความแข็งแกร่งโลกวิญญาณนี้เป็นตำนาน พวกเขามีพลังแห่งความมืดที่ไม่สิ้นสุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดในเจ็ดโลกวิญญาณ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุดคือ ‘จูเก่อ หลิวหยุน’ ถึงแม้อำนาจพลังวิญญาณของเขาจะน้อยกว่า ‘ชูเฟิง’ และ ‘จื่อ หลิง’ แต่ด้วยความที่เขาเป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณมานาน ความรู้เรื่องโลกวิญญาณของเขาจึงค่อนข้างมาก
เมื่อเขาได้ยินชื่อของโลกวิญญาณที่แข็งแกร่ง ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นสุดยอดในความสง่างาม และเกียรติยศ
แต่อีกหนึ่งไม่ได้สง่างาม และทรงเกียรติ แต่ในด้านความแข็งแกร่ง และความเหี้ยมโหดนั้น ไม่มีโลกวิญญาณใดสามารถเทียบกับ โลกวิญญาณอสูรฟ้าได้
โลกวิญญาณอสูรฟ้าคือโลกวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด ทันเป็นความใฝ่ฝันของเหล่าผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณทุกคน หากพวกเขาได้รรับการยอมรับจากโลกวิญญาณอสูรฟ้า นั่นจะทำให้พวกเขากลายเป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณที่โดดเด่นที่สุด และแข็งแกร่งที่สุด
ในตอนนี้ ‘ชูเฟิง’ ได้รับการยอมรับจากโลกวิญญาณอสูรฟ้า นั่นหมายความว่า ในอนาคต ‘ชูเฟิง’ จะต้องกลายเป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้ อย่าง ‘จูเก่อ หลิวหยุน’ สามารถเข้าใจได้ทันทีถึงความแข็งแกร่ง เพราะเขารู้เรื่องราวของโลกวิญญาณอสูรฟ้าเป็นอย่างดี
ในทุกๆ การสนทนา เขาจะหันกลับไปมองที่ใบหน้าของ ‘ชูเฟิง’ ด้วยความตกตะลึง แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจยากที่จะอธิบายออกมาได้ เพราะว่าความสามารถของ ‘ชูเฟิง’ ได้ไปไกลเกินกว่าเขามาก
“ตาเฒ่า ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้เรียกข้าว่าแม่นาง เจ้าไม่เข้าใจรึ !!”
ในขณะนั้น ‘ต้านต้าน’ คำรามใส่ ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า ด้วยความไม่พอใจ
“ต้านต้าน อย่าไร้มารยาท !! ท่านคือบรรพบุรุษของข้านะ !!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘ชูเฟิง’ จึงรีบกล่าวห้ามออกมา เพราะเวลาปกตินั้น ‘ต้านต้าน’ ก็อยู่นอกเหนือกว่าที่เขาจะควบคุมได้ เขาจึงเกรงว่านางจะทำอะไรลงไป
“หืมมม…”
เมื่อได้ยิน ‘ชูเฟิง’ กล่าวออกมาเช่นนั้น ‘ต้านต้าน’ ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น จากที่นางเหมือนจะกล่าวอะไรออกมา นางกลับกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป หลังจากนั้น นางก็ถลึงตาใส่ ‘ชูเฟิง’ และกล่าวว่า
“หึ…..ขยะที่อ่อนแอเช่นนี้กลับกล้าไร้มารยาทต่อข้า ข้ากลับล่ะ”
หลังจากที่กล่าวจบ ‘ต้านต้าน’ กระโดดขึ้น กระโปรงขนสีดำของนางสะบัดเล็กน้อย ก่อนที่ร่างกายของนางจะเลือนลาง และกลายเป็นประกายแสงหายไปในประตูโลกวิญญาณ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ‘ชูเฟิง’ ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพราะเขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับนางได้ ‘ต้านต้าน’ นั้นเป็นคนพิเศษอย่างมาก ในสายตาของนาง ผู้ก่อตั้งมังกรฟ้า อาจไม่มีค่าพอที่นางจะมองเห็นก็เป็นได้
สำหรับคนอื่นๆ ยิ่งไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวอะไรออกมาเช่นกัน แม้ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าจะทรงเกียรติสำหรับพวกเขาอย่างมาก
แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า ‘ต้านต้าน’ กำลังโกรธ หากกล่าวอะไรออกไปนั้น อาจทำให้นางระเบิดพลังที่รุนแรงออกมา ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ฮ่าๆ โลกวิญญาณอสูรฟ้านี่ยอดเยี่ยมจริงๆ โอ้…ชูเฟิง เจ้าได้ปกป้องข้าเอาไว้ ข้าล่ะชอบนางจริงๆ”
ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า หัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่เพียงแต่เขาไม่โกรธ แต่เขากลับมีความสุขอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนั้น ‘ชูเฟิง’ จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่ว่า ‘ต้านต้าน’ จะเห็นผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าป็นเช่นไรในสายตานาง แต่เขาก็ยังคงเป็นบุคคลที่ ‘ชูเฟิง’ ให้ความเคารพ และเขาก็หวังว่า ‘ต้านต้าน’ จะไม่โกรธเขา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ‘ชูเฟิง’ จะกลัวว่าผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าจะโกรธ แต่เขากลับกังวัลว่า ‘ต้านต้าน’ จะโกรธมากกว่า เขาจึงแอบตาม ‘ต้านต้าน’ ไป
“ต้านต้าน ที่เจ้าโกรธมันไม่ถูกต้องนะ !! ท่านบรรพบุรุษของข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้า จึงทำให้ท่านเรียกเจ้าว่า แม่นางน้อย”
“เจ้าต้องการให้เขาเรียกเจ้าว่า ท่านเทพธิดา ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจต่อท่านนะ”
ในขณะนั้น ‘ต้านต้าน’ ขดริมฝีปากที่น่ารักของนางเล็กน้อย และกล่าวว่า
“ชูเฟิง เจ้ากังวลเกี่ยวกับข้ามากไป ข้าไม่ได้ใจแคบเช่นนั้น แต่ข้าจะไม่ยอมออกไปง่ายๆ อีกแล้ว ข้าจะออกไปเมื่อเจ้าถูกศัตรูทำร้ายเท่านั้น”
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้โกรธ ทั้งๆที่เจ้าปิดกั้นการอัญเชิญของข้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังโกรธ และทั้งหมดก็เพราะข้า”
‘ชูเฟิง’ กล่าวอย่างจริงจัง เพราะเขาแคร์ความรู้สึกของ ‘ต้านต้าน’ อย่างมาก
“เจ้าโง่….ข้าทำไปเพราะผลประโยชน์ของเจ้า ต่อแต่นี้ต่อไป เจ้าจะต้องใช้ชีวิตร่วมกับคู่หมั้นของเจ้า”
‘ต้านต้าน’ กล่าวพลางยิ้มบาง จากนั้นนางก็หันกายกลับไป และแกล้งทำเป็นนอนหลับ และไม่ใส่ใจต่อคำกล่าวของ ‘ชูเฟิง’ อีก
“ศิษย์น้อง ชูเฟิง !! ศิษย์น้อง ชูเฟิง !!”
ในขณะนั้นมีเสียงดังขึ้นมา พร้อมๆ กับที่ ‘จาง เทียนยี่’ วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“ศิษย์พี่จาง มีอะไรเกิดขึ้นที่ด้านนอกเหรอ”
‘ชูเฟิง’ รีบลุกขึ้น และกล่าวถามออกไป
ในหลายวันที่ผ่านมานั้น ‘ชูเฟิง’ ได้มอบหมายให้ ‘จาง เทียนยี่’ เดินทางไปที่อาณาจักรวิญญาณ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของนิกายโลกวิญญาณ และเขาจะติดตามไป
แต่เมื่อเขาเห็น ‘จาง เทียนยี่’ มีใบหน้าที่วิตกกังวลเช่นนี้ เขาจึงคาดคิดว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่
“นี่ไม่ดีแน่ ในตอนนี้ตระกูลเจี่ยได้ประกาศออกมาว่า ข้า เจ้า และ จื่อ หลิง ได้รับการคุ้มครองอย่างลับๆ จากนิกายโลกวิญญาณ จึงทำให้ผู้คนจากทั้งเก้าอาณาจักรไม่สามารถติดตามหาพวกเราได้”
“ด้วยข้ออ้างนี้ ทำให้ตระกูลเจี่ย สามารถร่วมมือกับ สำนักหยวนกัง นิกายไป๋ หุบเขาไร้ใจ และสำนักเทพอัคคี ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญรวมกันกว่าล้านคนเข้าโจมตีนิกายโลกวิญญาณ”
“ในตอนนี้สงครามได้เปิดฉากขึ้นแล้ว เปลวไฟแห่งสงครามได้ลุกลามไปทั่วทั้งอาณาจักรวิญญาณ นิกายโลกวิญญาณได้ถูกโจมตีอย่างหนัก พวกเขาได้ถอยร่นไปจนถึงที่มันสุดท้ายที่ยังได้รับการปกป้องอยู่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องถูกทำลายคนย่อยยับ”
“จากสิ่งที่ข้าสัมผัสได้นั้น แม้ว่าฉากหน้า ตระกูลเจี่ยจะต้องการตัวเจ้า แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาต้องกาากำจัดศัตรูตัวฉกาจของพวกเขานิกายโลกวิญญาณ และต้องการจะยึดเอาหอคอยอสูรฟ้ามาเป็นของตน”
‘จาง เทียนยี่’ กล่าวอย่างจริงจัง
“อดีตผู้นำของนิกายไป๋ หุบเขาไร้ใจ สำนักหยวนกัง และ สำนักเทพอัคคี ได้มาด้วยหรือเปล่า”
‘ชูเฟิง’ กล่าวถาม
“พวกเขาได้มาด้วย และได้สาบานว่าจะทำลายนิกายโลกวิญญาณลงให้ได้”
‘จาง เทียนยี่’ กล่าว
“พวกเขาได้เดิมพันทุกๆ อย่างในครั้งนี้ หากพวกเขาล้มเหลว พวกเขาก็ต้องพบกับความตาย มันมีเหตุผลที่มากกว่านี้เป็นแน่”
‘ชูเฟิง’ กล่าว
“ชูเฟิง ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี หากนิกายโลกวิญญาณถูกทำลายก็ไม่เท่าไหร่ แต่หากหอคอยอสูรฟ้าตกอยู่ในมือของตระกูลเจี่ย เช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่”
‘จาง เทียนยี่’ กล่าว
ในขณะนั้น ‘จื่อ หลิง’ ก็เดินเข้ามาด้วยความกังวล เพราะนางรู้ดีว่า ‘ชูเฟิง’ ต้องการช่วยเหลือ ‘ซูรู่’ และ ‘ซูเหม่ย’ อย่างมาก และหอคอยอสูรฟ้า ก็จำเป็นสำหรับเรื่องนี้อย่างมาก
ในขณะนั้น ‘ชูเฟิง’ ไม่ได้กังวลมากนัก เขายิ้มและกล่าวออกมาอย่างใจเย็นว่า
“หากตระกูลเจี่ยต้องการทำลายนิกายโลกวิญญาณเพราะข้า ข้าก็จะเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้”
“เมื่อไหร่ล่ะ !?”
‘จื่อ หลิง’ กล่าวถาม เพราะนางเข้าใจความตั้งใจของ ‘ชูเฟิง’
“ตอนนี้ !!”
‘ชูเฟิง’ กล่าวพร้อมกับก้าวเดินไปที่ทางออกของสุสานพันกระดูก ในขณะที่มี ‘จื่อ หลิง’ ติดตามไปอย่างใกล้ชิด
“ศิษย์น้อง ชูเฟิง รอข้าด้วย แม้ว่าข้าจะไม่เกี่ยวข้อง ข้าก็จะไปด้วย”
ในขณะนั้น ‘จาง เทียนยี่’ก็ติดตามออกไป
สามอัจฉริยะที่ได้รับการปกป้องโดยนิกายโลกวิญญาณในสายตาของคนทั้งเก้าอาณาจักร จึงได้ออกเดินทางไปยังอาณาจักรวิญญาณ เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้
..
แปลโดยคุณ#
3 : อยากตายนักมึงก็ออกไปกันเลย ไอ้โง่!!!
ออกมาก็ปากดีเลย เด๋วสอยแม่ง
ที่มา: