I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Zhan Long ตอนที่ 280 เกาทัณฑ์คนจร

| Zhan Long | 1306 | 2364 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

แปลโดย WildFox

“ว้าบบบบ!”

แสงสีทองสาดส่องไปทั่วเมื่อตอนที่บอสตายลง มอบค่าประสบการณ์ให้พวกเราอย่างมากมายและด้วยโบนัส ค่าประสบการณ์อีก 50% จึงส่งให้ผมมีเลเวล 67 ไปโดยปริยาย แต่ทว่า’เจี้ยนเฟิงหาน’ก็ยังเป็นผู้เล่นที่มีเลเวลสูงสุดในเมืองป้าฮวง น่าเสียดายที่ผมยังรั้งตำแหน่งที่สองเอาไว้ เพราะยังไม่ได้ค่าประสบการณ์มากอย่างที่หวัง

“บรึ้ม…..”

ราชาซากศพเยือกแข็งแตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปต่อหน้าสายตาทุกคน ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงกองไอเทมสวมใส่ที่สมน้ำสมเนื้อกับการสังหารบอสระดับจักรพรรดิ์ มีไอเทมสวมใส่ที่ดรอปรวมสามชิ้น ธนู เกราะขาหนัง และก็สายสร้อยผลึกเปล่งประกาย ผมรุดไปด้านหน้าหยิบไอเทมทั้งสามชึ้นขึ้นมาทั้งหมดก่อนจะโบกมือเพื่อสำรวจไอเทมชิ้นแรกที่อยู่ในมือ

ความสามารถและสเตตัสของธนูก็พลันปรากฏขึ้นในช่องสนทนาให้ทุกคนได้ยลโฉมกัน พวกเราร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มันมาเพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดที่ทุกคนจะได้มีโอกาสเห็นมัน

【เกาทัณฑ์คนจร】(ระดับจักรพรรดิ์)

พลังโจมตี : 1000-1295

ความเร็ว : +50

ความแข็งแกร่ง : +48

ความต้านทาน : +45

เพิ่มเติม : เพิ่มพลังโจมตีระยะไกลให้ผู้สวมใส่อีก 15%

เพิ่มเติม : เพิ่มพลังโจมตีจากสกิลที่ใช้ธนูอีก 30%

พิเศษ : เมื่อโจมตีมีโอกาส 1% ที่เป้าหมายจะติดสถานะ สับสน ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นเวลา 3 วินาที

เลเวลที่สวมใส่ : 64

…………………..

“โห ธนูอะไรช่างแข็งแกร่งขนาดนี้….”

‘หรันหมิ่น’อ้าปากค้างยอมรับในความสามารถของธนู ผมหันไปมองใบหน้าทุกๆคนพร้อมกับเกาทัณฑ์คนจรที่กำลังเปล่งแสงเรืองรองอยู่ในมือ ก่อนจะยิ้ม ชูมันขึ้นและเอ่ยว่า

“เกาทัณฑ์คนจรอันนี้ มีค่าโจมตีที่สูงมากพร้อมด้วยความสามารถเสริมในการสตันเป้าหมายซึ่งต้องการเลเวล 64 ในการสวมใส่มัน ตอนนี้กิลด์ [Zhan Long] ของพวกเราผู้ที่เป็นอาชีพสายนักธนูที่มีเลเวลสูงสุดคือ หลินเสียวอู่ ที่มีเลเวล 62 อันดับที่สองของพวกเราคือ ชิงเซียน(Free Time) แต่ตามความเห็นของชั้นแล้วคิดว่าพวกเราไม่น่าจะมาทอยไอเทมชิ้นนี้กันหรอก พวกเราน่าจะยกให้หลินเสียวอู่นำไปใช้เลย ส่วนนักธนูทั้งหมด 14 คนที่เข้าร่วมสังหารบอสในครั้งนี้ ทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งคนละ 500G จากคลังของกิลด์เป็นการตอบแทน ทุกคนเห็นเป็นอย่างไรบ้าง?”

‘แม่ทัพหลี่มู่’ชูกำปั้นสนับสนุน

“อื้ม!”

‘เยว่ชิงเฉียน’ส่งข้อความลับมาหาผมว่า

“ฮิฮิ พี่เซียวเหยานี่ก็มีลูกเล่นไม่เบานะคะ การเดินหมากครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะได้ใจของ หลินเสียวอู่ให้อยู่กับพวกเรามากขึ้น ยังเผื่อแผ่ไปถึงเหล่านักธนูคนอื่นๆที่มีเลเวลสูงในกิลด์อีกด้วยอย่างสวยงาม การจะเป็นหัวหน้ากิลด์ที่ได้ความไว้วางใจจากลูกกิลด์จะต้องมีทั้งน้ำใจและก็วิสัยทัศน์ นอกจากสองอย่างนี้แล้วการจะให้มียอดฝีมือในกิลด์เป็นทางที่เป็นไปได้ยาก ลุงเหยี่ยนเจาสอนหนูกับเหว่ยเหลียงอยู่เสมอๆ”

ผมอมยิ้มก่อนจะพิมพ์ตอบไปว่า

“ก็จริงอ้ะนะ แต่ตามจริงแล้วพี่ไม่ค่อยชอบแนวๆการเมืองซักเท่าไหร่ แต่ว่าพี่ก็ต้องทำเพราะเมื่อลองคิดผลที่จะตามมา พี่รู้สึกว่า เกาทัณฑ์คนจรอันนี้น่าจะเหมาะกับหลินเสียวอู่มากที่สุด เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น กิลด์[Zhan Long] ของเราจะได้มีโอกาสสร้างนักธนูอันดับหนึ่งกับเขาบ้างยังไงล่ะ จริงไหม?”

“เจ้าค่ะ!พยายามต่อไปนะคะ!”

หลังจากส่งมอบเกาทัณฑ์คนจรให้กับ’หลินเสียวอู่’ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ตื่นเต้นและตื้นตันจนเกือบจะร้องไห้ ตอนที่เธอรับธนูไปนั้นเธอพูดว่า

“ขอบคุณค่ะ หัวหน้ากิลด์ คุณช่างดีเหลือเกินเหมือนกับเป็นพี่ชายของฉันเลย…”

ผมไม่ได้ตอบปฏิเสธอะไรไป

………………

ต่อจากนั้น ก็ถึงเวลาของไอเทมชิ้นที่สองซึ่งก็คือเกราะขาคู่หนึ่งที่มีเขี้ยวแหลมประดับอยู่ ส่วนที่เป็นสนับแข้งก็เป็นประกายบ่งบอกให้รู้ว่าไอเทมชิ้นนี้ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วๆไป และเมื่อผมเอื้อมมือออกไปสะบัดเหนือเกราะขาคู่นั้นเพื่อเรียกดูค่าสถานะของมัน ทุกคนก็ต่างตกตะลึง ดูท่าว่าการที่เราลงทุนไปลากบอสมาตีครั้งนี้จะทำให้พวกเราโชคดีอย่างน่าตกใจทีเดียว

【เกราะขาอัสนีคลั่ง】(ระดับจักรพรรดิ์) ประเภท : เกราะหนัก

พลังป้องกัน : 340

ความแข็งแกร่ง : +50

ค่ากำลังกาย : +47

ค่าความฉลาด : +44

เพิ่มเติม : เพิ่มพลังป้องกันเวทย์ผู้สวมใส่อีก 15%

เพิ่มเติม : เพิ่มพลังป้องกันกายภาพผู้สวมใส่อีก 10%

เลเวลสวมใส่ : 64

……………..

“แม่เจ้า เกราะขาระดับจักรพรรดิ์…..”

ผมแทบจะอดใจไม่ไหว ก็คิดดูสิเกราะขาของผมยังเป็น เกราะขาสัตว์อสูร ไอเทมระดับทองอยู่เลย สุดแสนที่จะอายเวลาใครเขาถาม แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังชูเกราะขาคู่นั้นขึ้นและพูดว่า

“จำนวนสายประชิดเกราะหนักที่เข้าร่วมการต่อสู้กับบอสครั้งนี้มีห้าคนด้วยกันคือ ชั้นคนนี้ แม่ทัพหลี่มู่ แม่ทัพหวังเจี้ยน หรันหมิ่นและตงเฉิงเล่ยพวกเราทั้งห้าคน จะสุ่มแต้มแข่งกันใครได้แต้มมากที่สุดคนนั้นได้เกราะขาคู่นี้ไป!”

‘แม่ทัพหลี่มู่’ขมวดคิ้วก่อนจะพูดขึ้นว่า

“เกราะขาอันเก่าของชั้นเป็นของระดับม่วงเลเวล 57 หัวหน้า ชั้นว่าเกราะขาของนายยังเป็นของระดับทองเลเวล 55 อยู่เลยไม่ใช่รึไง? แล้วทำไมพวกเราต้องมาสุ่มแต้มกันด้วย นายเองก็เป็นตัวแท้งค์หลักของกิลด์คนหนึ่งแถมยังเป็นคนสังหารบอสลงได้อีกด้วย เกราะขาคู่นี้สมควรเป็นของนายแหละดีแล้ว พวกเรามันก็เหมือนพี่น้องกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้อย่าทำให้มันเรื่องมากจะดีกว่าไหม อย่าคิดมากไปเลย พวกเราไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อยอะไรหรอก!”

ผมเปิดระบบสุ่มแต้มทอยของโดยไม่ลังเลก่อนจะพูดว่า

“อย่าเลย ชั้นไม่อยากได้ชื่อว่าโกงไอเทมจากพี่น้อง มาทอยสุ่มกันนั่นแหละดีที่สุดแล้ว! มีแต่เกราะขาของหลี่มู่เท่านั้นที่ดูดีกว่าของเก่าของชั้น คนอื่นๆไม่เห็นจะมีดีกว่าเลยแบบนี้จะได้ยุติธรรมต่อทุกคนไง!”

และผมก็ทอยแต้มทันที จุด ย้ำว่าจุดอันเดียวปรากฏขึ้นมาหลอกหลอนผม บัดโซ้บบบผมได้ แต้มเดียว มือบอดจริงๆเลยเรา!!

ในที่สุด เกราะขาอัสนีคลั่ง ก็ถูกทอยแต้มไปเป็นของ’ตงเฉิงเล่ย’ เจ้าเด็กน้อยที่ค่อนข้างหัวอ่อนก็ถือมัน เดินตรงมาที่ผมและพูดว่า

“พี่เซียวเหยาครับ เกราะขาของผมเป็นของม่วงเลเวล 60 ซึ่งอาเยว่(ตงเฉิงเยว่)ช่วยเควสผมจนได้มาจากเมืองฟ่านซู พี่เอาเกราะขาอันนี้ไปเถอะพี่ต้องการมันมากกว่าผม!”

ผมดันมือที่ถือเกราะขานั้นไปอย่างขำๆ

“ไม่เป็นไรหรอก อาเล่ย นายสมควรจะใช้มันเพื่อตัวของนายเองนะ ด้วยเกราะขาคู่นี้ยิ่งจะทำให้นายถูกสังหารได้ยากขึ้น พวกเรายังต้องพึ่งนายกับหรันหมิ่นในตำแหน่งบุกทะลวงโจมตีอยู่นะ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้น พี่เซียวเหยาจะโกรธนายแล้วนะรู้ไหม…..”

‘ตงเฉิงเลย’เอามือลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ

“ก็ได้ครับ ผมจะใช้มันแต่ถ้าพี่เซียวเหยาอยากได้มันเมื่อไหร่บอกผมได้เลยนะครับ…”

ผมอดจะอมยิ้มไม่ได้

“เด็กน้อยเอ้ย….”

………………

ต่อมาก็มาถึงไอเทมชิ้นที่สาม คือสายสร้อยเส้นหนึ่ง เมื่อดูค่าสเตตัสของมันแล้วก็ทำเอาพวกเราหน้าแห้งไปตามๆกัน เพราะมันเป็นเพียงไอเทมระดับทองเลเวล 64 ที่สามารถเพิ่มค่าพลังโจมตีเวทย์ให้ผู้สวมใส่อีก 10% แค่นั้น ผมจึงมอบมันให้กับบรรดานักเวทย์ไปทอยแต้มกันเอง

“หัวหน้าคะ แล้วตำราสกิลล่ะคะ? ชื่อสกิลอะไรนะ [ต้านสวรรค์] ใช่ไหมคะ?…..”

‘มัตฉะ’ส่งยิ้มหวานให้ผมตอนที่เอามือวางไว้บนบ่าของผม พอผมได้ยินมัตฉะพูดถึงก็พลันนึกขึ้นมาได้ และเปิดช่องเก็บอุปกรณ์ของผมหยิบตำราสกิลสีแดงสดราวสีเลือดออกมาทันที เมื่อวาดมือผ่านตำราเล่มนั้นเพื่อดูข้อมูลของมัน ผมถึงกับพูดไม่ออก ตำราสกิลระดับ S แต่ผมใช้ไม่ได้เป็นของอาชีพอื่น สวรรค์!

【ต้านสวรรค์】(ระดับ S) : เมื่อผู้ถือครองสกิลนี้ตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็น-ความตาย หรือพลังชีวิตของเขาต่ำกว่า 20% จะได้รับสถานะเพิ่มพลังป้องกันขึ้นสูงมหาศาลชั่วคราว 7 วินาที ยิ่งไปกว่านั้นภายใน 7 วินาทีนี้สกิลที่ติดคูลดาวน์ทั้งหมดจะถูกรีเซทให้ใช้งานได้ทันที เมื่อพ้นสถานะ 7  วินาทีไปแล้วหากยังไม่เสียชีวิต พลังโจมตีทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น 10% เป็นเวลา 10 นาที เมื่อสกิลนี้แสดงผลแล้วติดคูลดาวน์ 30 นาที

ต้องการเลเวล : 60

เรียนรู้ใช้ : ค่าสเน่ห์ 2แต้ม

อาชีพ : นักรบคลั่ง(Berserker)

“โหย สกิลนี้มันน่าจะชื่อโกงความตายมากกว่ามั้งเนี่ยะ!”

‘แม่ทัพหลี่มู่’ถึงกับตะลึงพึมพัมออกมาแบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“นี่มันสกิล ช่วงเวลาหรรษาของคุณหนูคลั่งขวานป่าวฟระ? มันมีสกิลแบบนี้จริงๆด้วยเหรอเนี่ยะ ชั้นจะไม่เชื่อในรักแท้อีกต่อไป….”

‘เป็ดที่รัก’ยืนยิ้มพลางพูดขึ้นว่า

“หัวหน้าเค้าก็ไม่ได้จะมอบสกิลนี้ให้กับนายซะเมื่อไหร่ ถึงเค้าจะให้จริงๆนั่นคงจะเป็นทางเลือกสุดท้ายละมั้ง ว่าแต่นายจะเชื่อหรือไม่เชื่อในรักแท้มันก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ…”

(TL : สองคนนี้เค้าคุยอะไรกันT^T)

‘มัตฉะ’หันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะถามว่า

“แล้วตกลงหัวหน้าจะมอบสกิลนี้ให้ใครดีคะ? หรันหมิ่น หรือว่า อาเล่ย?”

‘ตงเฉิงเล่ย’ตบที่หน้าแข้งตัวเองแปะๆและพูดว่า

“ผมไม่เอาแล้ว ผมได้เกราะขาคู่นี้แล้ว มันหน้าด้านไปแล้วถ้าผมจะได้ของขวัญอะไรอีกจากพี่เซียวเหยา เอาสกิล[ต้านสวรรค์]นี้ มอบให้พี่หรันหมิ่นไปเถอะครับ!”

ผมพยักหน้าตามคำของ’อาเล่ย’ก่อนจะมอบตำราสกิล[ต้านสวรรค์]ให้กับ’หรันหมิ่น’ และพูดว่า

“รอบคอบให้มากเวลาใช้สกิลนี้ ถ้าเลือดนายต่ำกว่า 20% เมื่อไหร่รัวสกิลทั้งหมดของนาย เพราะหลังจากนั้น 7 วินาทีมันจะกลับมาใช้ได้ใหม่ทั้งหมด ทำให้นายเรียกใช้ทั้ง[คมพายุหมุน]และ[คมโหดโดดตื้บ]ได้อีกรอบ พอหมด 7 วินาทีนายก็ใช้เวลา 3 วินาทีใช้[คมโหดกระโดดตื้บ]ถอยกลับมาตั้งหลัก หรันหมิ่น นายไม่ต้องไปเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้อะไรให้มันซับซ้อนไปกว่านี้อีกแล้ว แค่นายขยันซ้อมใช้สกิลเหล่านี้ให้ถูกจังหวะ นายจะกลายเป็นเทพสงครามที่ไม่มีใครหยุดนายได้ในสนามรบ!”

‘หรันหมิ่น’เหยียดมือของเขาออกไปและโบกเล็กน้อยเพื่อเรียนสกิลจากตำรา เมื่อเรียนแล้วก็พยักหน้าให้สัญญาว่า

“ไม่ต้องเป็นห่วงไป ชั้นจะไม่ทำให้เสียของเด็ดขาด!”

ผมกวาดตามองไปรอบๆก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวานว่า

“เอาล่ะทุกคน พวกเราแบ่งไอเทมกันเสร็จแล้ว ตรวจดูสนามรบให้เรียบร้อย เตรียมพร้อมเพื่อรับมือการโจมตีจากศัตรูรอบที่หกกันเถอะ! ที่ผ่านมาห้ารอบโหดแค่ไหนทุกคนก็รู้กันดีแล้ว ระวังตัวให้มากในการรับมือรอบนี้ด้วย!”

เสียงกระหึ่มก้องดังไปทั่วทั้งแมพลอดออกมาจากประตูของ[เมืองโบราณ]ก่อนที่มันจะเปิดออก คราวนี้หาใช่คลื่นของมอนสเตอร์ที่ถาโถมออกมาแบบก่อนไม่ แต่กลับเป็นกองทัพของทหารที่สวมใส่ชุดเกราะเบาพร้อมสะพายธนูยาวไว้บนหลังของพวกมัน เดินทัพออกมาก่อนจะแปรขบวนรบประจันหน้ากับพวกเรา

เอากะมันสิเกมส์นี้ ให้เราสู้กับกองทัพด้วย!

ผมจ้องมองไปยังทัพของศัตรูก่อนจะมองเห็นค่าสถานะของพวกมันซึ่งล้วนเป็นเหล่าอันเดธมือธนูที่ตายมานานแสนนานแล้วแต่ชื่อของพวกมันยังน่าเกรงขามอยู่ไม่เสื่อมคลาย

【มือธนูอาคมเบญจรงค์】(มอนสเตอร์ระดับปีศาจ) เลเวล : 71

พลังโจมตี : 1810-2240

พลังป้องกัน : 1000

พลังชีวิต : 22000

สกิล : 【ยิงหวังผล】【สายตาอินทรีย์】【เจ็ดศรดับวิญญาณ】

คำอธิบาย : มือธนูอาคมเบญจรงค์ เป็นพวกผู้ที่รู้จักกันดีในหมู่ของเอล์ฟสายลม แต่เพราะด้วยความโลภของพวกมันทำให้ทรยศพระเจ้าที่เคยนับถือ และถูกสาปให้ติดอยู่กับร่างที่เน่าเปื่อยพร้อมกับปีกที่สลายไปนานแสนนานแล้ว พวกมันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและต้องการที่จะใช้ธนูในมือก่อกบฏต่อกฏของสวรรค์และโลกมนุษย์ พร้อมความกระหายเลือดไม่ว่ากองทัพมนุษย์ที่ใดก็ตามที่ได้ยินเพียงชื่อของพวกมันต่างก็พากันขวัญหนี โปรดใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการสู้รบกับพวกมัน

“พลังโจมตีของพวกมันไม่ได้สูงมากเหมือนอย่างพวกผีดิบที่พวกเราเจอเมื่อกี้ แต่การโจมตีเป็นหมู่คณะนี่สิน่ากลัวเอาเรื่อง ถ้ามันเล็งเป้าไปที่ใครคนใดคนหนึ่งละก็มีหวังได้กลับเมืองก่อนเวลาอันสมควรแน่นอน….”

‘แม่ทัพหลี่มู่’วางแผนรับมือต่อไปว่า

“พวกเราต้องป้องกันและโจมตีในเวลาเดียวกัน ถ้าพวกเราใครซักคนแหลมออกไป มีหวังได้ตายแบบพรุนไปทั้งร่างแน่”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“ชั้นก็คิดแบบเดียวกัน..”

“เอาล่ะ ชั้นจะสั่งการลงไป…”

‘แม่ทัพหลี่มู่’ชูดาบยาวคู่กายตนขึ้นบัญชาการรบเสียงดังว่า

“เพิ่มแนวป้องกันให้แน่นหนา ห้ามต่อสู้กับพวกมันแบบดวลเดี่ยว ให้ทุกคนประจำตำแหน่งไว้อย่าแตกแถว เมื่อพวกมันเข้ามาในระยะเราจะโจมตีด้วยสกิลและอาวุธระยะไกลเพื่อทำลายแนวป้องกันของมัน สำคัญที่สุดอย่าให้กระบวนรบแนวรับของเราเสียกระบวนได้ รูปขบวนสำคัญที่สุดจำไว้ เอาล่ะฮีลเลอร์บัฟทุกคนไว้!”

“สวบ สวบ สวบ…”

เสียงของทัพนักธนูอาคมเบญจรงค์ที่กำลังยาตราเข้าสู่สนามรบกับพวกเรา ซึ่งทุกทัพของพวกมันมี NPC นายกองนำทัพเป็น บอสระดับม่วงอยู่ ซึ่งสั่งงานพร้อมเพรียงกันด้วยเสียงตะโกนอันดังว่า

“เวลาแห่งการล่าสังหารมาถึงแล้ว! เหล่ามือธนูอาคมเบญจรงค์เอ๋ยบุกไปพิชิตดินแดนในใต้หล้านี้กันเถิด!”

“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง…”

บรรดาแนวหน้าแห่งกิลด์ [Zhan Long] ต่างตั้งแนวตั้งรับด้วยการปักโล่ของตัวเองลงกับพื้น อัศวินทุกคนล้วนกำบังตัวเองอยู่หลังโล่ ลอบสูดลมหายใจหนักหน่วงรอคอยการเคลื่อนเข้ามาของพวกศัตรูที่อยู่ตรงหน้าของตน

“พวกมันมาแล้ว…..”

‘ซ่งหาน’ชูมีดสั้นของตัวเองส่งสัญญาณขณะที่ตัวเขาอยู่หลังกำบังของ’มัตฉะ’ ผมกำดาบจักรพรรดิ์ฉินในมือมั่นก่อนจะยิ้มและสั่งการว่า

“นักรบสายโจมตีไกลทุกคนเตรียมพร้อม ใช่วิธียิงแบบวิถีโค้งเพื่อเพิ่มระยะโจมตีของตัวเองขึ้นไปอีก 20%-50% แม้ว่าพลังโจมตีจะลดลงไปมากหน่อยก็ช่างมัน….”

‘เสวี่ยเฉิงเชียนหยาง’ทะยานขึ้นฟ้าพร้อมกับวาดไม้เท้าในมือของเธอร่ายเวทย์โจมตี ส่งสกิล[เสาไฟและน้ำแข็ง]เข้าโจมตีกลุ่มของนักธนูอาคมเบญจรงค์ทันที ทำให้พวกมันทั้งแถวคืบหน้าแนวเข้ามาด้านหน้า

แล้วก็หยุดห่างจากแนวหน้าของเราไปประมาณ 30 เมตร พลันก็ยกธนูของพวกมันขึ้นระดมยิงทั้งแบบธรรมดาและใช้สกิล[เจ็ดศรดับวิญญาณ]เข้าสู่แนวรับของเราเสียงดังสายฝน

“แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง”

“ตายล่ะ แบบนี้จะสู้พวกมันยังไงล่ะนี่….”

ที่แนวตั้งรับด้านหน้าพลังชีวิตของมัตฉะค่อยๆลดลงจนกระทั่งเหลือแค่ 50% ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีไร้เลือดฝาด ถ้าขนาด’มัตฉะ’ยังโดนเข้าไปขนาดนี้แล้วอัศวินคนอื่นๆท่าทางจะโดนหนักยิ่งกว่า!

……………..

“ผมทนไม่ไหวแล้วครับ หัวหน้า……”

หนึ่งในอัศวินของเราตะโกนออกมาพร้อมกับโล่ในมือของเขาที่เต็มไปด้วยลูกศรและล้มลงไปในที่สุด

เหล่าฮีลเลอร์ไม่สามารถฮีลรักาชีวิตของเขาไว้ได้ การโจมตีของมอนสเตอร์ระลอกนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments