ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป**** ปั้งงง ****
หมัดที่รุนแรงแผ่ขยายอำนาจพลังกวาดกระจายไปรอบๆ ความรุนแรงของพลังนั้นโถโถมใส่ ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ จนลอยกระเด็นออกไป แต่ครั้งนี้เขาไม่ทรงตัวเอาไว้ได้ จึงต้องล้มขมำลงพื้นอย่างน่าสมเพช
**** ตูมมมม ****
พลังนั้นทำให้รูปแบบอำนาจฯสีฟ้าที่ก่อตัวปกคลุมทั่วพื้นดินสั่นสะท้าน ราวกับว่าไม่สามารถทนกับพลังนั้นได้ ร่างกาย ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ ในตอนนั้นรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าหัวใจจะฉีกออกปอดแตกสลาย อวัยวะภายในปั่นป่วน จากนั้นก็มีของเหลวอุ่นๆไหลออกมาภายในปากของเขา มันก็คือเลือดของ ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ ที่โดนหมัดของ ‘ชูเฟิง’
” บ้าเอ้ย. . . “
เป็นเรื่องธรรมดาที่ ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ จะไม่ยอมให้ใครได้เห็น ดังนั้นเขาจึงได้แต่กัดฟันและกลืนเลือดเหล่านั้นกลับไป เวลาเดียวกันเขาก็โกรธอย่างมาก
เมื่อเขาถูกไล่ต้อนโดย ‘ชูเฟิง’ ด้วยพลังนั้น เขาก็เริ่มครุ่นคิดอยู่ภายในใจ เขาที่อยู่ในอาณาจักรสวรรค์วิญญาณระดับ 1 หากไม่ใช้พลังที่แท้จริงมีหวังตายขามือ’ชูเฟิง’แน่ๆ
แต่ภายในใจเขาก็ไม่สามารถค้นพบคำตอบนั้นได้ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่เขาเห็นว่าแม้พวกนั้นจะใช้พลังทั้งหมดของพวกเขา แต่ก็ไม่อาจฆ่า ‘ชูเฟิง’ ได้
หากเขาฆ่า ‘ชูเฟิง’ ไม่ได้ เขาคงต้องเสียหน้ามากแน่ๆ แต่ก่อนหน้านี้เขาได้ให้สัญญากับ ‘เจียง หวู่ชาง’ หากเขากลับคำพูดของเขาเอง เขาคงกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้คน ตอนนี้เขาจึงได้แต่คิดอย่างหนัก
* พรึบบบ * .
ขณะที่ ‘เจี่ย ฉิงหมิง’กำลังลังเล ‘ชูเฟิง’ก็พุ่งเขามาด้านหน้าเขาอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ‘ชูเฟิง’ ที่ถูกปกคลุมด้วยวิชา เกราะเต่าทมิฬ ก็ระดมหมัดที่รุนแรงดั่งพายุเข้าไปที่ ‘เจี่ย ฉิงหมิง’
* ฟิ้ว *
แต่ก่อนที่หมัดจำนวนมากของ’ชูเฟิง’จะถึงร่าง ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ ก็มีร่างขึ้นมาปรากฏตรงระหว่างพวกเขาทั้งสอง นอกจากนี้มือที่ทรงอำนาจยังคว้าข้อมือของ’ชูเฟิง’ไว้อย่างแน่น
‘ พลังนี้มัน!!! ‘ .
ตอนนั้น ‘ชูเฟิง’ ก็พบว่ามีออร่าจำนวนมหาศาล และดุดันทะลวงเข้าไปในร่างกายผ่านของมือของเขา แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะมันคือพลังของผู้ที่อยู่อาณาจักรสวรรค์ พลังที่แข็งแกร่งของเขาผู้นั้นครอบงำไปทั่วร่างของ’ชูเฟิง’ ซึ่งแม้แต่การจะขยับนิ้วเขายังไม่สามารถทำได้ จึงได้แต่ยืนหยุดอยู่ตรงนั้น
หลังจากที่หยุดการโจมตีของ’ชูเฟิง’ได้สำเร็จ เขาก็รีบปล่อยมือของเขาออก จากนั้น ‘ชูเฟิง’ก็เค้นพลังเพื่อฟื้นฟูเรี่ยวแรงกับมา
หลังจากนั้นเขาก็ยกดวงตาของเขาขึ้นมอง ‘ชูเฟิง’ก็ได้พบว่ายินที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นชายวัยกลางคนเขามีคิ้วเหมือนดาบ ดวงตาดั่งพญาเหยี่ยว และใบหน้าของเขาเรียวคมราวกับใบมัด อีกทั้งยังมีมีออร่าของผู้นำ
ที่สำคัญที่สุดคือเสื้อที่เขาสวมใส่ มันคือชุดของนครอันทรงเกียรติ แต่เขานั้นดูต่างจากคนทั่วๆไป โดยเฉพาะพลังวิญญาณของเขาที่โดดเด่นยิ่ง บอกได้แค่ 4 คำ” น่ากลัว ชิบหาย “
” ท่านเจ้านคร!!! “
ในเวลาเดียวกันที่ชายวัยกลางคน ปรากฏออกมาคนที่อยู่รอบๆทั้งหมด ต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที และ จากคำพูดของพวกนั้น ทำให้ ‘ชูเฟิง’ รู้ว่าผู้ชายทีอยู่หน้าเขาคือ เจ้านครอันทรงเกียรติ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรทั้ง 9 ณ ปัจจุบัน ที่อยู่ในนี้ แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนที่มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ ไม่รวมคนภายนอกนะคับ
” สหายทั้งหลายโปรดวางมือ ข้าเห็นว่าทั้งสองต่างก็มีฝีมือร้ายกาจ หากท่านทั้งสองยังคงต่อสู้ต่อไป แล้วมันจะเป็นยังไง “
เจ้านครอันทรงเกียรติกล่าวกับทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาที่เผชิญหน้ากับเจ้านครอันทรงเกียรติ ต่อให้เป็น ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ ที่หยิ่งยโส ยังต้องให้เกียรติเขา นอกจากนี้การหยุดการต่อสู้ ในความเป็นจริงแล้ว ถือเป็นการช่วย ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ ให้รอดพ้นจากการขายหน้า ดังนั้นเขาจึงได้แต่พยักหน้าลงยอมรับ
ส่วน’ชูเฟิง’ ที่ไล่ต้อน ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ ให้เห็นต่อหน้าทุกคนทุกคนมากมาย นั้นก็คือเป้าหมายเดิมของเขา ดังนั้น ‘ชูเฟิง’ จึงไม่ติดใจใดๆ
” เกือบจวนจะได้เวลาชุมนุมการแต่งงานแล้ว ดังนั้นสหายของข้าที่เดินทางมาจากแดนไกล โปรดเชิญไปยังที่นั่ง “
หลังจากที่ทำการแก้ไขเรื่องระหว่าง ‘ชูเฟิง’ กับ ‘เจี่ย ฉิงหมิง’ได้แล้ว เจ้านครอันทรงเกียรติ ก็ยิ้มพร้อมกับยกมือให้ผู้คนเบาๆ จากนั้นผู้คนที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่สามารถจะอดที่จะส่งเสียงแสดงความประทับใจ จากนั้นพวกเขาทังหมดก็เดินทางมายัง จุดสูงสุดเทือกเขาเพื่อเริ่มการชุมนุม
” เรียนท่านเจ้านคร “
ในตอนนั้น อาวุโสจากนครอันทรงเกียรติ เดินเข้ามาและพูดต่อด้วยเสียงต่ำอีกว่า
” จาง เทียนยี่ ยังไม่ปรากฏตัวมาเลย และดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คิดจะมาร่วมงาน “
” โอ้ว “
หลังจากได้ยินคำพูดนั้น เจ้านครอันทรงเกียรติก็ถึงกับ งง เล็กน้อย แต่การแสดงออกของเขายังคงดูสงบ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มไปที่ ‘ชูเฟิง’ และกล่าว
” ชูเฟิง ทำไมท่านไม่ไปกับเราบนลานรับรอง เพื่อพักผ่อนสักหน่อยล่ะ “
หลังจากได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าเกือบจะทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะ ‘หลิว จื่อจุน’ สายตาที่เขามอง ‘ชูเฟิง’ เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา และแสนจะไม่พอใจเพราะทุกคนรู้ว่า การได้รับเชิญไปพักผ่อนบนลานรับรองของการชุมนุมการแต่งงาน เป็นสถานที่
ที่ทุกคนต่างชื่นชมและใฝ่ฝัน บนนั้นดูหรูหรา มีเก้าอี้พิเศษตั้งอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าใครจะไปนั่งมันก็ได้เก้าอี้พวกนั้น ต้องเป็นบุคคลที่มีสถานะพิเศษ อาจกล่าวได้ว่าคนที่ได้นั่งบนเก้าอี้พิเศษนั้น จะบอกถึงความสำคัญของคนๆนั้น ที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมการแต่งงานสำหรับคนหนุ่มสาว
มีแค่ 10 ทีนั่ง พวกเขาได้แก่ แปดอัจฉริยะที่ได้รับจดหมายเชิญจากนครอันทรงเกียรติ ส่วนอีก 2 ที่นั้งเป็นของ ‘กู๋ โบ่’ และ ‘เจียง หวู่’ชาง ที่ได้รับรางวัลในการผ่านราชวังใต้ดินในแต่ละระดับ เป็นคนแรกและเหตุผลที่เจ้านครอันทรงเกียรติ เชิญ ‘ชูเฟิง’ ไปนั่งนั้นเป็นเพราะ’จาง เทียนยี่’ ไม่ปรากฏ
และมีหนึ่งที่นั่งพิเศษที่ยังคงว่าง โดยปกติแล้ว คนที่ได้รับเชิญน่าจะเป็น ‘หลิว จื่อจุน’ แต่เขาไม่มีโอกาสนั้นแล้ว จากนั้น ‘ชูเฟิง’ ก็ตอบกับด้วยความสุภาพว่า
” แบบนี้ มันจะถูกต้องแล้วหรอ . . . . . “
” อ่า!!! เดิมทีที่นั่งพิเศษบนลานรับรองก็เป็นสำหรับแขกพิเศษคนสำคัญ ชูเฟิง ทุกคนก็ประจักษ์ความแข็งแกร่งของท่าน มากับตา ดังนั้นแน่นอนว่าท่านคือคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับเกียรติ “
” ชูเฟิง ท่านอย่าได้ปฏิเสธเลย มากับเราบนลานรับลองเถิด “
เจ้านครอันทรงเกียรติกล่าวพร้อมกับยิ้มด้วยความจริงใจ
” ใช่ พี่ชูเฟิงอย่าได้ปฏิเสธเลย!!! “
ในเวลาเดียวกัน คนรอบๆตัวเขาก็เริ่มที่จะสงเสริมผลักดัน แม้ว่าพลังวิญญาณของ’ชูเฟิง’ จะไม่น่ากลัว แต่ความแข็งแกร่งของเขาที่แสดงออกมาต่อผู้คนก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เต็มใจที่จะยอมรับ และทุกคนก็ต่างรู้ว่า ‘ชูเฟิง’ มีความสมบัติพอที่จะไปบนลานรับรอง
” เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะยอมรับคำเชิญ “
‘ชูเฟิง’เลิกที่จะหลีกเลี่ยง ดังนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของ’หลิว จื่อจุน’ จึงได้แต่กวาดสายตาไล่ตามเจ้านครอันทรงเกียรติ ชูเฟิง, กู๋โบ่, เจียง หวู่ชาง, สู่ จงยู๋ และคนอื่นๆ ที่กำลังก้าวขึ้นสู่ ลานรับรองอันหรูหราหลังจากที่ทุกๆคนก็นั่งลงบนเก้าอี้
เจ้านครอันทรงเกียรติก็เริ่มกล่าวทักทายอย่างเป็นทางการ
” เนื่องจากคนสำคัญทั้งหมดมาถึงงานชุมนุมการแต่งงานนี้หมดแล้ว เราจะขอเริ่มงาน “
***** โอ้วววว ~ ~ ~ *****
หลังจากที่เขาพูดจบ เสียงร้องก็ดังกึกก้องไปทั่วฟ้า เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ที่มีดาวส่องประกายระยิบระยับ มีกระเรียนยักษ์หลากสี บินร่อนอยู่บนนั้นกระเรียนยักษ์หลากสีมีขนาดเท่าภูเขา ความเร็วของมันก็พอๆกับนกอินทรีหัวขาว แต่น้อยคนจะมีมัน เนื่องจากราคาของมันเหนือกว่าอินทรีหัวขาว หลายเท่านัก
และในเวลานั้น ก็พบว่ามีร้อยคนลอยวนรอบบนท้องนภาพร้อมกับกระเรียนยักษ์ คนทั้งร้อยล้วนแต่เป็นสาวงามอีกทั้งยังสวมชุดต่างสีกันไป เมื่อพวกนางอยู่รวมกันนับร้อย อีกทั้งยังได้แสงจันทร์ที่ส่องกระทบทำให้พวกเขาดูงดงามอย่างจับใจทุกคนที่เงยหน้ามองไปยังท้องนภา
โดยที่ตาจ้องกันไม่กระพริบ เพราะทุกคนรู้ดีว่า สาวงามทั้งร้อยของนครอันทรงเกียรติกำลังจะมาเยือน
ชูเฟิง : 100 คน นี้คิดเท่าไหร่
เจ้านคร : คนละ 50000 ลูกแก้วแก่นแท้
ชูเฟิง : ข้า ไม่มีเงินขนาดหรอก
เจ้านคร : งั้นก็อย่าถาม!!!
ชูเฟิง : เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไม๊!!!
เจ้านคร : อะไร???
ชูเฟิง : เพิ่มประชากรเด็กให้แก่ นครอันทรงเกียรติ
เจ้านคร : . . . . . . . . . .
มึงคิดได้ไง๊เนี่ย !!!
ที่มา: