ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปในตอนนี้นั้น ‘ชูเฟิง’ ต้องการถอนพิษให้กับ ‘ราชาวานร’ อย่างแท้จริง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะว่ายาพิษนั้นเป็นของ ‘ต้านต้าน’ และนั่คือยาพิษที่มาจากโลกวิญยาณอสูรฟ้า
แน่นอนว่าที่โลกวิญญาณอสูรฟ้านั้นมียาพิษอย่างแน่นอน แต่ ‘ต้านต้าน’ ถูกผนึกจนไม่สามารถกลับไปยังโลกอสูรฟ้าได้ นั่นจึงทำให้ไม่สามารถรับยาแก้พิษได้
ตราบใดที่ ‘ราชาวานร’ ยังไม่ถูกถอนพิษ เมื่อ ‘ชูเฟิง’ คิดถึงจุดนี้ มันยิ่งทำให้เขาละอายใจมายิ่งขึ้น เพราะเขาได้ให้ยาพิษที่ไม่มียาแก้แก่’ราชาวานร’
“อ่า เจ้าหนุ่ม อย่าได้คิดมากเช่นนั้น เจ้าคิดว่าที่ข้าเรียกเจ้าว่า ‘น้องชาย’ มันเป็นเพียงเรื่องตลกเช่นนั้นรึ ข้าถูกชะตากับเจ้ามาก ดังนั้นข้าจึงอยากเป็นพี่น้องกับเจ้า”
“มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าไม่เชื่อใจข้า และให้ข้ากินยาพิษ เพราะในตอนแรกนั้น เป็นเพราะข้าเอง ที่ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการทดสอบของข้า แต่เจ้าก็เกือบจะตายไปจริงๆ”
“ยังไงก็ตาม เจ้าทำให้ข้าตกอยู่ในอันตราย และข้าก็เคยทำให้เจ้านกอยู่ใสอันตรายเช่นกัน ดังนั้น ตอนนี้เราคือ พี่น้อง ไม่นำเป็นต้องคิดมากเรื่องในอดีต”
“ก่อนที่พวกเราจะไปด้วยกันนั้น การบุกสุสานจักรพรรดิไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ราชวงศ์เจียงต้องใชเวลาเตรียมการอยู่พอสมควร”
“ในตอนนี้ พวกเรารวรไปยังสำนักมังกรฟ้า และช่วยเหลือภรรยาทั้งสองคนของเจ้าก่อน จากนั้นค่อยว่ากันใหม่”
‘ราชาวานร’ มองเห็นถึงความละอายใจของ ‘ชูเฟิง’ เขาจึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เพื่อคลายความละอายใจของ ‘ชูเฟิง’
เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็เปิดประตูออกไป และเรียก ‘จื่อ หลิง’ กับ ‘จาง เทียนยี่’ มารวมตัวกัน เพื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ และมุ่งหน้าสู่อาณาจักรมังกรฟ้า
หลังจากเห็นกาาแสดงออกของ ‘ราชาวานร’ นั้น หัวใจของ ‘ชูเฟิง’ ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น หลังจากที่ได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มา เขาก็ได้รับรู้ว่า พี่ใหญ่ของเขาเป็นคนดีอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ ‘ชูเฟิง’ ก็ชอบเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลังจากรู้ว่า ‘ชูเฟิง’ และคนอื่นๆ กำลังจะออกไปนั้น ทางราชวงศ์เจียงจึงได้จัดงานเลี้ยงบนหอชมจันทร์ เพื่อสร้างความสำราญให้แก่ทุกๆ คน
ภายในงานเลี้ยงนั้น ทุกๆ คนมีความสุขอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะเป็น ‘ชูเฟิง’ หรือราชาวานร พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่า ในกลุ่มของเมฆหมอกที่อยู่นอกหอชมจันทร์นั้น มีหอคอยหนึ่งตั้งอยู่ บนหอคอยนั้นมีชายชรายืนอยู่ เขาสวมเสื้อผมสีขาวขริบทอง และมีผมสีเทา
ชายชราผู้นั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ออร่าของเขาเข้มข้นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของเขาอยู่เหนือกว่า’ราชาวานร’อย่างเห็นได้ชัด และที่ไม่มีใครสังเกตเห็นหอคอยนี้ เพราว่าหอคอยนี้ถูกปกคลุมไปด้วยรูปแบบอำนาจพลังวิญญาณสีม่วง และรูปแบบอำนาจพลังวิญญาณเหล่านั้นก็ออกมาจากฝ่ามือของชายชราผู้นั้น
ดวงตาของชายชราผู้นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ขณะที่เขามองไปยังการสนทนาของ ‘เจียง หวู่ชาง’ และ ‘ชูเฟิง’
“เจียง เฮิงหยวน ขอคาราวะ”
ชายชราที่ยืนอยู่บนยอดหอคอยนั้น พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มีเงาร่างของชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาที่ด้านหลังของ คนๆ นั้นคือ ผู้เชี่ยวชาญจากราชวงศ์เจียง ที่เฝ้าดูอาณาจักรมัฝกรฟ้ามายาวนาน ‘เจียง เฮิงหยวน’
“โอ้ เฮิงหยวน เจ็ดปีแล้วซินะ ในที่สุดเจ้าก็มาพบคนแก่เช่นข้า”
บรรพบุรุษของราชวงศ์เจียง กล่าวออกมาพร้อมกับยิ้มบางๆ แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าได้รับมอบหมายคำสั่งให้ไปยังอาณาจักรมังกรฟ้า เพื่อคนหากายศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าก็ไม่อาจทำสำเร็จ เพราะว่าในตอนนั้นมีทารกจำนวนมสก และข้าก็ไม่อาจพบเจอกับกายศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าละอายยิ่งนักที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับไม่สามารถพบกายศักดิ์สิทธิ์ได้”
ขณะที่ ‘เจียง เฮิงหยวน’ กล่าวนั้น ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความละอายใจ
“แล้วทำไมเจ้าถึงกลับมาในวันนี้”
บรรพบุรุษของราชวงศ์เจียงกล่าวถาม
“ข้าได้ยินมาว่าท่านต้องการจะบุกสุสานจักรพรรดิ สุสานจักรพรรดินั้นลึกลับอย่างมาก ข้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์เจียง จึงกลับมาร่วมเป็นกำลังของราชวงศ์เจียง”
‘เจียง เฮิงหยวน’ กล่าวตอบ
“ฮ่าๆ เอาล่ะ เฮิงหยวน ลุกขึ้น”
บรรพบุรุษกล่าวพร้อมกับเดินไปทาง ‘เจียง เฮิงหยวน’ ที่กำลังคุกเขาอยู่ และกล่าวต่อว่า
“เจ้าได้รับรู้สิ่งใดบ้างในตลอดเวลาเจ็ดปี ที่เจ้าได้เฝ้ามองอาณาจักรมังกรฟ้า”
“ช่างน่าละอายยิ่งนัก ตลอดเจ็ดปีที่ข้าได้เฝ้ามองอาณาจักรมังกรฟ้า ข้าไม่ได้พบสิ่งใดเลย ท่านบรรพบุรุษโปรดลงโทษข้าด้วย”
ขณะที่ ‘เจียง เฮิงหยวน’ กล่าวนั้น เขาได้คุกเข่าลงไปอีกครั้ง
แต่ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงไปนั้น เขาได้ถูกหยุดไว้โดยบรรพบุรุษของราชวงศ์เจียง เขากล่าวออกมาว่า
“โอ้ เฮิงหยวน เจ้าอย่าได้ตำหนิตัวเองเช่นนั้น หากจะตำหนิใคร ผู้นั้นคงจะเป็นข้า”
“ท่านบรรพบุรุษ เพราะเหตุใดเล่า !?”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ‘เจียง เฮิงหยวน’ ก็กล่าวถามออกมาด้วยใบหน้าที่สับสน
“เฮิงหยวน ในตอนนั้น ได้มีสายฟ้าเก้าสีผ่าลงมาเหนือดาวแม่น้ำเก้าสวรรค์ จากการสังเกตของข้า มันตรงกับตามตำนานว่าได้มีผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่ถือกำเนิดบนโลกใบนี้”
“ยังไงก็ตาม หลังจากที่ผ่านไปหลายปี แต่ยังไม่พบกายศักดิ์สิทธิ์นั้น ข้าจึงได้ลองศึกษาตำราต่างๆ ของราชวงศ์ และได้พบกับความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง”
บรรพบุรุษของราชวงศ์เจียง กล่าว
“ความเป็นไปได้อะไรหรือขอรับ !?”
‘เจียง เฮิงหยวน’ กล่าวถาม
“เหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นสัญญาณของผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่แน่นอน แต่มันไม่ใช่กายศักดิ์สิทธิ์ แต่มันคือพลุงที่ยิ่งใหญ่กว่ากายศักดิ์สิทธิ์”
บรรพบุรุษของราชวงศ์เจียง กล่าวตอบ
“พลังที่แข็งแกร่งกว่ากายศักดิ์สิทธิ์ !!”
‘เจียง เฮิงหยวน’ ตกใจอย่างมาก
“ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถระบุได้ว่ามันคือสิ่งใด แต่ข้าสามารถบอกได้ว่า บุคคลในเหตุการณ์ในครั้งนั้น ตอนนี้ได้อยู่ภายในราชวงศ์เจียงของข้า”
ขณะที่เขากล่าว เขาได้เดินไปรอบๆ ยอดหอคอย และสายตาของเขาก็มาหยุดอยู่ที่ ‘ชูเฟิง’
“นั่นมัน….ชูเฟิง”
จากสายตาของบรรพบุรุษของราชวงศ์เจียงนั้น ‘เจียง เฮิงหยวน’ แทบจะไม่เชื่อสายตาของเขา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เขากล่าวออกมาว่า
“เขาคือ ชูเฟิง พรสวรรค์ของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ตอนนี้เขาอายุสิบเจ็ดปี ซึ่งมันไม่ตรงกับอายุของคนในเหตุการณ์ในครั้งนั้น”
“โอ้ เฮิงหยวน เจ้ายังไม่ละทิ้งความเชื่อนี้ไว้ในอาณาจักรมังกรฟ้าอีกรึ ตลอดเวลาเจ็ดปีเจ้ายัฝคงเชื่อมั่นอย่างแท้จริง”
“เหตุการณ์ผิดปกติในครั้งนั้น มันเป็นสัญญาณของผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นเช่นนั้นตั้งแต่แรกเกิด”
“ตามบันทึกโบราณนั้น มันอาจหมายถึงได้หลายรูปแบบ มันอาจจะเกิดขึ้นในตอนที่พวกเขาเป็นหนุ่ม หากพลังของพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาจะพลังที่สามารถทำลายได้แม้แต่ท้องฟ้าและผืนดิน”
“แม้ว่า ชูเฟิง , จื่อ หลิง และ จาง เทียนยี่ จะไม่ได้ยอมรับว่า พวกเขาบุกไปยังหุบเขากระบี่ แต่สิ่งที่ข้ารู้มานั้น พวกเขาได้ใช้ราชรถที่งดงามไปยังหุบเขากระบี่”
“และเหตุผลเดียวที่หุบเขากระบี่พบกับภัยพิบัติเช่นนั้น แน่นอนว่าจะต้องเกี่ยวของกับ ชูเฟิง” บรรพบุรุษของราชวงศ์เจียงกล่าว
“จริงรึท่านบรรพบุรุษ ที่หุบเขากระบี่ได้พบกับภัยพิบัติเช่นนั้น เป็นเพราะ ชูเฟิง มนุษย์ธรรมดาไม่น่ามีพลังที่น่ากลัวเช่นนั้นได้”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ‘เจียง เฮิงหยวน’ ตกใจอย่างมาก เพราะเมื่อเขารู้ว่าหุบเขากระบี่ได้เผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ เขาได้ไปตรวจสอบในสถานที่นั้น และเห็นถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พินาศจนหมดสิ้น เขาจึงคิดว่านั่นน่าจะเกิดจากฝีมือของธรรมชาติ
“โอ้ เฮิงหยวน โลกใบนี้มันกว้างใหญ่นัก ท้องฟ้าที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ เป็นเพียฝท้องฟ้าที่พวกเรามองเห็นได้จากก้นบ่อน้ำเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราไม่อาจนึกถึงได้”
“ตามบันทึกโบราณนั้น ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทะเลสาบขนาดเล็กนั้นมีพื้นที่มากกว่าทวีปเก้าอาณาจักรของพวกเรา แม้แต่ผืนป่าเดียวก็มีขนาดใหญ่มากกว่าทวีปเก้าอาณาจักรหลายเท่านัก”
“สิ่งมีชีวิตในดินแดนนั้น คือสัตว์ขนาดใหญ่ ที่มีร่างกายใหญ่กว่าภูเขา และนกยักษ์ที่ความยาวของปีกเพียงข้างเดียวก็ยาวหลายไมล์ แม้แต่แมลงขนาดเล็กสุดยังมีความยาวมมกกว่าสิบเมตร”
“มนุษย์ที่จะสามารถอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนั้นได้ จะต้องไม่ได้มีพลังเพียงแค่ขั้นแดนสวรรค์เท่านั้น ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่อาจดำรงค์ชีวิตอยู่ได้”
บรรพบุรุษกล่าวพลางยิ้มบางๆ แววตาของเขาลุกวาวขณะที่เขามองไปยัง ‘ชูเฟิง’
เพราะเขารู้สึกว่า พลังของ ‘ชูเฟิง’ คือพลังที่มาจากดินแดนแห่งนั้น
..
แปลโดยคุณ#
ที่มา: