ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเสียงดังสนั่นดังขึ้นทั่วทั้งท้องฟ้า ระรอกคลื่นพลังค่อยๆ ลดกำลังลงหลังจากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่ ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า ยังคงไม่ลดรูปแบบอำนาจพลังวิญญาณสีม่วงลงแม้แต่น้อย เขาเกรงว่าคลื่นพลังจะทำให้ทุกคนในพื้นที่ได้รับอันตราย
หลังจากคลื่นพลังได้หาสไปอย่างสมบูรณ์ กลุ่มคลันสีขาวได้ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ เขาก็ปลดรูปแบบอำนาจพลังวิญญาณสีม่วงออก
ทุกคนต่างมองขึ้นไปในอากาศ ด้วยความตื่นเต้น และคาดหวัง
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปในกลุ่มหมอกควันด้วยความระทึก ในที่สุดพวกเขาพบ ชูเฟิง และ จาง เทียนยี่
“นี่……มันเกิดอะไรขึ้น !!”
“มัน…..ไม่มี ผู้ชนะ และ ผู้แพ้ !! พวกเขาเสมอกัน !!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างกายของ ชูเฟิง และ จาง เทียนยี่ ปรากฏออกมาสู่สายตาของทุกๆ คนนั้น พวกเขาต่างตกตะลึง และเต็มไปด้วสความสับสน
เพราะร่างกายของ ชูเฟิง ที่บอยอยู่ในอากาศ และร่างกายของ จาง เทียนยี่ ที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้า ยังคงเป็นปกติอยู่ทุกอย่าง
เสื้อผ้าของพวกเขาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความเสียหายใดๆ พวกเขายังคงไม่ได้บาดเจ็บจากการปะทะกันเมื่อครู่นี่ มันทำให้หลายๆ คนต่างสับสน เพราะผลการประลองนี้ ไม่มีผู้ที่ได้รับชัยชนะ หรือผู้ที่พ่ายแพ้แต่อย่างใด
“ศิษย์น้อง ชูเฟิง ข้าขอบใจมาก ในเวลาที่พลังของข้าได้สลายไปนั้น เจ้าได้ระงับพลังของเจ้า จึงทำให้ข้าไม่ได้รับอันตรายใดๆ”
จาง เทียนยี่ กล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ
“ศิษย์พี่ จาง ท่าน……”
ชูเฟิง พยายามจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา แต่เมื่อเขาเห็นการแสดงออกของ จาง เทียนยี่ นั้น เขาก็ไม่กล่าวออกมาแต่อย่างใด
ในตอนนั้น ที่พวกเขาใบ้พลังเข้าปะทะในครั้งสุดท้าย เปลวเพลิงสีฟ้าของ จาง เทียนสี่ ได้สลายไป แต่ ชูเฟิง กลับระงับพลังของเขาลงอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ทุกอย่างแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น ชูเฟิง ได้หยุดยั้งพลังของเขา เหตุที่ของ ชูเฟิง นั้น จาง เทียนยี่ สามารถเข้าใจได้อย่างดี
มันเป็นเจตนาของ ชูเฟิง ที่ต้องการให้เขาไม่เสียหน้าจากการประลอง จาง เทียนยี่ รู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก เขาเข้าใจได้ดีว่า ชูเฟิง นั้นนับถือเขาเป็นพี่น้อง ดังนั้นเขาจึงทำเช่นนั้น
แต่หากเขายอมรับผลการประลองเช่นนั้น มันจะไม่เป็นธรรมต่อ ชูเฟิง เขาจึงกวาดสายตามองไปยังผู้คน พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้า และกล่าวออกมาเสียงดังว่า “การประลองในวันนี้ ข้า จาง เทียนยี่ ได้พ่ายแพ้ !! และแน่นอนว่า ชูเฟิง นั้น แข็งแกร่งกว่าข้าอย่างมาก”
“อะไรนะ !! จาง เทียนยี่ พ่ายแพ้เช่นนั้นรึ !!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น พวกเขาต่างไม่เชื่อในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขามองไปที่ใบหน้าของความสบายของทั้ง จาง เทียนยี่ และ ชูเฟิง นั้น พวกเขาก็เชื่อในคำกล่าวนั้นทันที
พวกเขาสามารถบอกได้ทันที่ว่า จาง เทียนยี่ นั้น พ่ายแพ้อย่างแท้จริง
เมื่อหันกลับมามองที่ ชูเฟิง นั้น พวกเขาก็ต้องตกใจอย่างมาก และนั่นทำให้พวกเขาต้องปรับความคิดใหม่ถึงความแข็งแกร่งของ ชูเฟิง
หลังจากการประลองของ ชูเฟิง และ จาง เทียนยี่ จบลงไปนั้น พิธีการเปิดสำนักมังกรฟ้าอย่างเป็นทางการก็สิ้นสุดลง แต่เรื่องการประลองของ ชูเฟิง และ จาง เทียนยี่ ยังคงเป็นที่กล่าวถึงอยู่ตลอด
แม้ว่าผลการประลองจะทำให้ทุกคนหลาดใจอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้น ชื่อของ ชูเฟิง ก็ถูกจดจำในฐานะของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของเก้าอาณาจักร
หลังจากพิธีเปิดสิ้นสุดนั้น ชูเฟิง , จาง เทียนยี่ และ เจียง หวู่ชาง ได้เตรียมตัวเพื่อจะมุ่งหน้าสู่ทะเลตะวันออก
เพราะจากการคำนวณเวลานั้น อีกเพียงสามเดือนสำนักสี่คาบสมุทรก็จะเปิดรับลูกศิษย์แล้ว
แม้ว่า ชูเฟิง และคนอื่นๆ จะมีพลังขั้นแดนสวรรค์แล้วนั้น แต่การเดินทางก็ยังต้องใช้เวลาอย่างมาก เพราะหากพวกเขาพลาดในช่วงนี้ พวกเขาจะต้องรอไปอีกหนึ่งปี
ในตอนนี้ ทุกๆ อย่างได้ถูกเตรียมพร้อมแล้วลานของสำนักมังกรฟ้า ทุกๆ คนต่างมารอเพื่อส่ง ชูเฟิง และคนอื่นๆ ออกเดินทาง
ตรงกลางลานของสำนักนั้น มีรถม้าสีขาวจอดอยู่ มันมีความงดงามอย่างมาก และกลายเป็นจุดสนใจอย่างรวดเร็ว
“น้องชาย หวู่ชาง รถม้าของเจ้ามันจะเดินทางไปทันในเวลาสามเดือนไหมเนี่ย !! จากที่ข้าดู ข้าว่าพวกเราใช้ความสามารถของพวกเราเองน่าจะไปได้เร็วกว่า”
เมื่อเห็นรถม้านั้น แววตาของ จาง เทียนยี่ ก็เต็มได้ด้วยความสบสน
เพราะรถม้าของ เจียง หวู่ชาง นั้นงดงามมาก และแทนที่จะเรียกว่ารถม้า ควรจะเรียกมันว่า พระราชวังที่สามารถเคลื่อนที่ได้จะเหมาะสมกว่า
ด้วยขนาดของมันนั้น จึงทำให้เกิดความกังวลขึ้น ว่าความเร็วของมันจะลดลงในการเดินทาง
“พี่ชาย เทียนยี่ ท่านไม่ต้องกังวลไป รถม้าของข้า เป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับราชวงศ์เจียง มันไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของมัน”
“แต่เป็นเพราะความรวดเร็วของมัน”
“ถึงความรวดเร็วของมันจะไม่สามารถเทียบเท่าได้กับทักษะของน้องชาย ชูเฟิง แต่มันมีความเร็วที่คงที่ สามารถเดินทางได้อย่างต่อเนื่อง ภายในเวลาสามเดือน พวกเราจะเดินทางถึงสำนักสี่คาบสมุทรอย่างแน่นอน”
เจียง หวู่ชาง กล่าวด้วยความมั่นใจ
“อ่า ถ้ามันเป็นเช่นนั้นก็ตกลง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จาง เทียนยี่ ก็พยักหน้ารับ เขาเพิ่งจะได้เข้าใจความแตกต่างของยอดยุทธภัณฑ์ อันที่มีขนาดเล็ก เหมาะแก่การต่อสู้ และอันที่มีขนาดใหญ่เหมาะแก่การเสริมความสะดวก
“ว่าแต่…พี่ชาย เทียนยี่ เหตุใดพี่ชาย ชูเฟิง จึงยังไม่มา !?”
เจียง หวู่ชาง ถามขึ้น เพราะทุกอย่างได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ขาดแต่เพียง ชูเฟิง พวกเขาก็สามารถออกเดินทางสู่สำนักสี่คาบสมุทรได้
“เขา…..ยังมีบางคนที่ต้องร่ำลา”
จาง เทียนยี่ กล่าวพลางถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ่า……..”
ในเวลาเดียวกันนั้น ชู กู่หยู , หลี่ ซางฉิง , ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า และคนอื่นๆ ที่ใกล้ชิดกับ ชูเฟิง ก็ถอนออกมา ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยคำใบ้ของคำตอบ พวกเขาต่างรู้ดีว่า ภายในเก้าอาณาจักรนั้น มีสองคนที่ ชูเฟิง ผูกพันธ์มากที่สุด และเป็นห่วงมากที่สุด
แม้ว่าในปัจจุบัน สุสานจักรพรรดิจะถูกปิดลงไปแล้วนั้น แต่สุสานพันกระดูกถูกสร้างขึ้นจากฝีมือของ ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า แม้มันจะไม่ได้เชื่อต่อกับสุสานจักรพรรดิแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังคงมีอยู่
ภายในสุสานพันกระดูกนั้น มีรูปแบบอำนาจพลังวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นไว้อยู่ ภายในนั้น ซูรู่ และ ซู่เหม่ย ยังคงหลับไหลอยู่ภายใน ใบหน้าของพวกนางเป็นสีแดงระเรื่อ ออร่าพลังของพวกนางอยู่ในระดับเก้า ขั้นแก่นวิญญาณ แต่น่าเสียดายที่พวกนางยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาจากการหลับไหลที่ยาวนาน
“ พี่รู่ , เหม่ยเอ๋อ ข้ามีความสุขมาก ที่พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นจากพลังของไข่มุกทั้งสอง แม้ว่าในตอนนี้พวกเจ้ายังไม่ฟื้นมาก็ตาม”
“ข้าอยากจะอยู่ดูแลพวกเจ้าทั้งสองคนเช่นวันนี้ตลอดไป แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือก”
“ในตอนนี้ ข้ามีเรื่องบางอย่างที่สำคัญจะต้องไปทำ นั่นคือเรื่องของ จื่อ หลิง และความเป็นมาของตระกูลข้าเอง มันทำให้ข้าไม่มีทางเลือก ดังนั้น ข้าจำเป็นต้องไป”
ชูเฟิง นั่งอยู่ที่ด้านหน้าของรูปแบบอำนาจพลังวิญญาณ เขามองไปที่ ซูรู่ และ ซูเหม่ย พลางยิ้มออกมาด้วยความไม่สบายใจนัก
ที่มา: