ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“อึ้ก…พี่น้อง หนี !!”
เซว่ เจียน มีพลังถึงระดับเก้า ขั้นแดนสวรรค์ สามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายยิ่งกว่า เซว่ ยี่ และด้วยพลังของเขา ทำให้เขามีประสบการณ์ความหวาดกลัวมามาก
หลังจากที่เขาตะโกนออกไปนั้น เขาก็รีบหันหลังกลับ และพร้อมที่หนีออกไปให้เร็วที่สุด
“พวกเจ้าคิดจะหนีรึ !! ไม่มีทาง !!”
ในขณะนั้น ชูเฟิง กล่าวออกมาอย่างเหยียดหยัน พร้อมกับระเบิดพลังขั้นแดนสวรรค์ออกมาอย่างบ้าคลั่ง พลังเหล่านั้นอัดแน่นจนมีลักษณะคล้ายกับปากของปิศาจร้าย มันพุ่งตรงไปกลืนกิน เซว่ เจียน และ เซว่ ยี่ อย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก…..!!”
ในเวลานั้น เซว่ เจียน และ เซว่ ยี่ กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ภายในพลังออร่าที่บ้าคลั่งของ ชูเฟิง นั้น ร่างกายของพวกเขากำลังได้รับความทรมานอย่างสาหัส
ไม่เพียงแต่ร่างกายของพวกเขากำฉีกขาด แม้แต่แหล่งพลังวิญญาณของพวกเขาก็กำลังถูกดูดออกไป แต่ในทุกขั้นตอนนี้ พวกเขากลับมีชีวิตอยู่ และรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เสียงกรีดร้องของพวกเขาก็เงียบหายไป พร้อมๆ กับร่างกาย และอวัยวะของพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
***** วูบบบบบบ *****
ออร่าพลังที่แผ่ออกไปอย่างบ้าคลั่งของ ชูเฟิง ก็ได้ไหลกลับเข้ามายังร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถุงจักรวาลที่ลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขา หลังจากตรวจสอบเพียงพริบตาเดียวนั้น เขาก็สบถบางอย่างออกมา และโยนถุงจักรวาลนั้นไปมาในอากาศ และกล่าวว่า
“หึ พวกดีแต่ปาก !!”
เหตุที่ ชูเฟิง ทำเช่นนั้น เพราะว่าในก่อนหน้านี้ เซว่ ยี่ ได้กล่าวว่าเขามีจ้าวโอสถอยู่จำนวนมาก และหลังจากที่ ชูเฟิง ตรวจสอบน้น เขาก็พบว่าจ้าวโอสถทั้งหมดเป็นเพียงยาระดับต่ำ ไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียวที่เป็นระดับกลาง
แม้ว่าจ้าวโอสถเหล่านั้นจะนับว่าเป็นของมีค่า ที่อยู่ภายในถุงจักรวาลของพวกเขา และเรียกได้ว่าเป็นความมั่งคั่งของคนปกตินั้น แต่สำหรับ ชูเฟิง มันเป็นเพียงการเก็บเกี่ยวที่เล็กน้อยอย่างมาก
หลังจากที่เก็บถุงจักรวางแล้วนั้น ชูเฟิง ก็หันกลับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ประกายในดวงตาของเขาก็หายไป เขาปลดพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ออก ทำให้พลังเขาลดลงเหลือเพียงระดับหก ขั้นแดนสวรรค์เช่นเดิม ตอนนั่นเขามุ่งหน้าตรงไปยัง ประตูเคลื่อนย้าย อย่างรวดเร็ว
เมื่อร่างของ ชูเฟิง ค่อยๆ ห่างออกไป และหายไปอย่างสมบูรณ์นั้น ในบริเวณใกล้เคียงก็ปรากฏร่างของคนสองคน ที่กำลังก้าวออกมา นั่นคือ เจียง ว่านชือ และ ซุน ยี่หาน นั่นเอง
“สวรรค์ !! นี่เขามีพลังถึงระดับเก้า แดนสวรรค์ เชียวรึ อีกทั้งพลังต่อสู้ของเขายังแข็งแกร่งอย่างมาก นั่นมันสามารถเทียบได้กับพลังระดับหนึ่ง อาณาจักรจ้าวสงครามเลยไม่ใช่รึ !!”
“ไม่น่าเชื่อ ว่าเขาจะสามารถปกปิดพลังที่แท้จริงของเขาได้อย่างดี จนไม่สามารถตรวจสอบได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสามารถทำสัญญากับโลกวิญญาณอสูรฟ้าได้ !! นี่มันปิศาจชัดๆ ข้าไม่เคยเห็นใครแข็งแกร่งเท่านี้มาก่อนเลย”
ในขณะนั้น ริมฝีปากของ ซุน ยี่หาน ก็อ้าค้าง แววตาของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ในขณะนั้น เจียง ว่านชือ กำลังจ้องมองไปยังทิศทางที่ ชูเฟิง หายไป แม้ว่านางจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่แววตาที่สดใสของนาง ก็เต็มไปด้วยความอัปยศ
หลังจากนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่งชั่วครู่นั้น นางขดริมฝีปากขึ้น และหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่น
“ข้าประเมินตัวเองสูงเกินไป ข้ามั่นใจว่าข้าคืออัจฉริยะ และไม่มีใครสามารถเทียบได้ในรุ่นเดียวกัน แต่กลับลืมไปว่า ยังมีอีกหลายคนที่ปิดบังพลังที่แท้จริงเอาไว้ อีกทั้งพวกเขายังไม่หยิ่งผยอง หากมองจากภายนอกพวกเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา แต่แท้จริงแล้วนั้น พวกเขากลับแข็งแกร่งกว่าข้ายิ่งนัก”
“ก่อนหน้านี้พวกเราได้แสดงออกถึงความหยิ่งผยองต่อหน้าของเขา แต่ในตอนนี้ ข้ารับรู้ได้แล้วว่า พวกเราก็ไม่ต่างอะไรจากสวะเท่านั้น พวกเราอาจจะตายได้เพียงแค่การโจมตีครั้งเดียวของเขา !!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของ เจียง ว่านชือ นั้น ซุน ยี่หาน ก็ขนลุกเกรียว ก่อนที่นางจะกล่าวออกมาว่า
“ศิษย์พี่ นี่คงจะเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ เหนือฟ้า ยังมีฟ้า”
เหตุผลที่ เจียง ว่านชือ และ ซุน ยี่หาน ติดตาม ชูเฟิง ออกมานั้น เพราะพวกนางคิดว่า เซว่ เจียน และ เซว่ ยี่ จะต้องมาแก้แค้น ชูเฟิง แน่นอน พวกนางจึงคิดที่จะแอบปกป้อง ชูเฟิง ให้ไปถึง ประตูเคลื่อนย้าย อย่างปลอดภัย แต่พวกนางกลับไม่คาดคิดว่านะได้เห็นความแข็งแกร่งของ ชูเฟิง และนั่นทำให้พวกนางหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
ความจริงนั้น ด้วยอำนาจพลังวิญญาณของ ชูเฟิง เขาไม่ได้ตรวจสอบพบเพียง เซว่ เจียน และ เซว่ ยี่ เท่านั้น แต่เขาตรวจพบพวกนางทั้งสองคนอีกด้วย
แต่ด้วยการแสดงออกของพวกนางในก่อนหน้านี้นั้น ทำให้ ชูเฟิง ต้องตัดสินใจบางอย่างภายในหัวใจของเขา
ภายใต้สถานการณ์บางครั้ง ที่ต้องอยู่ต่อหน้าบางคนนั้น การปกปิดความแข็งแกร่งก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก เพราะถึงอย่างไร ในโลกนี้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นเจ้า และได้รับการยอมรับ นับถือจากคนอื่นๆ หากว่าอ่อนแอ แม้จะแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมา พวกเขาก็จะได้รับเพียงความเย้ยหยันกลับมาเท่านั้น
ดังนั้น ชูเฟิง จึงตัดสินใจว่า ในอนาคตหากเขาต้องการจะเดินทางในทะเลตะวันออกนั้น เขาจะใช้ใบหน้าที่แท้จริงของเขา หากเขาต้องการจะทำสิ่งใด เขาจะใช้ใบหน้าปลอมของเขา เพียงเพื่อหลบหนี หรือปะทะกับศัตรูของเขาเท่านั้น
และเขาจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่า หวู่ฉิง ไม่ใช่บุคคลที่พวกเขาควรจะลูบคมด้วย และสักวันหนึ่ง เขาจะให้ทุกคนได้รู้ว่า หวู่ฉิง เป็นเพียงชื่อ และรูปลักษณ์ปลอมของ ชูเฟิง เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เวลานั้นจะต้องเป็นเวลาที่ไม่มีผู้ใดสามารถข่มขู่หรือทำอันตรายใดๆ ต่อครอบครัวของเขาได้ภายในทะเลตะวันออก และมันจะต้องเวลาที่เขามีความแข็งแกร่งถึงขีดสุด และสามารถสยบหมู่เกาะประหารให้อยู่แทบเท้าของเขาได้แล้วเท่านั้น
ในทะเลที่กว้างใหญ่นี้ มีพื้นที่ขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออก มันจึงได้ชื่อว่า เขตทะเลตะวันออก
ทะเลโลหิตนิรันดร์นั้น ตั้งอยู่ที่ใจกลางของพื้นที่ทะเล ดังนั้น มันจึงเป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากผาคนรักอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในเขตทะเลตะวันออกนั้น มี ประตูเคลื่อนย้าย กระจายตัวอยู่อย่างมาก หากมีเงิน เรื่องระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
แม้ว่า ชูเฟิง จะไม่สามารถเรียกได้ว่าเขามั่งคั่งมากนัก แต่เขาก็พอมีที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมในการจ่ายสำการเปิดใช้ ประตูเคลื่อนย้าย อย่างไม่มีปัญหา
ดังนั้น หลังจากไม่กี่วัน ชูเฟิง ก็ได้มาถึง ทะเลโลหิตนิรันดร์ อย่างรวดเร็ว
“ไม่แปลกใจเลย ที่จะเรียกว่า ทะเลโลหิต เพราะน้ำทะเลที่นี่มันมีสีเลือดนี่เอง”
ชูเฟิง จ้องมองไปยังน้ำทะเล และอุทานออกมา เพราะน้ำทะเลโดยปกตินั้นจะเป็นสีฟ้า แต่น้ำทะเลที่นี่กลับมีสีแดงฉานคล้ายกับเลือด
แม้ว่ามันจะมีสีแดงคล้ายเลือด แต่มันก็ไม่ทำให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่เขากลับมองว่ามันสวยงามอย่างมาก
แม้ว่ามันจะมีสีเลือด แต่มันไม่ได้มีกลิ่นคาวเลือดแม้แต่น้อย มันยังส่งกลิ่นหอมเล็กน้อยออกมาอย่างต่อเนื่องแทน
นอกจากนี้ คลื่อนลมที่รุนแรงของเขตทะเลตะวันออกนั้นรุนแรงมาก มันสามารพสร้างคลื่นยักษ์ที่สูงเทียมฟ้าได้อย่างง่ายดาย แต่ที่ ทะเลโลหิตนิรันดร์ นี้ กลับไม่มีคลื่นลมแม้แต่น้อย พื้นผิวของทะเลเงียบสงบจนดูราวกับกระจกสีแดง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันถูกสาดแสงใส่ด้วยดวงอาทิตย์ แสงสีแดงระยิบระยับจะปรากฏขึ้นอย่างงดงาม ทำให้ผู้พบเห็นต่างถอนหายใจออกมาด้วยความชมเชยไปตามๆ กัน
ที่มา: