ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“บัดซบ นี่หรือว่าตาเฒ่าที่แสนน่ากลัวนั้นได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้!”
“ด้วยความแข็งแกร่งของเขามันเป็นที่แน่นอนว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์อย่างมากในสุสานจักรพรรดิ แล้วถ้าขืนเขายังเดินลึกเข้าไปแบบนี้มันไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียโอกาในการเก็บเกี่ยวของเราที่นี่อย่างนั้นหรอกหรือ?”
ทันที’ชูเฟิง’ได้สบถคำสาปแช่งออกมาเพราะเขาไม่เชื่อว่าชายชราที่สวมใส่ชุดสีดำนั้นจะแบ่งสมบัติบางอย่างในสุสานจักรพรรดิให้เขาจริง และถึงแม้ว่าตาเฒ่านั้นจะแบ่งให้เขาจริงมันก็ต้องเป็นสมบัติที่ไม่ได้เป็นสิ่งมีค่าอะไรอย่างแน่นอน
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นคนที่เกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกันและการที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งได้ค้นพบสมบัติโดยบังเอิญ มันก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องแบ่งสมบัติให้กับอีกคนหนึ่ง
แต่ด้วยเหตุนี้’ชูเฟิง’จึงไม่สามารถพูดคำใด ๆ ออกมาได้ เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และยังคงก้าวเดินลึกเข้าไปในสุสานจักรพรรดิกับราชวงศ์เจียง
ในช่วงต้นยังคงโชคดีและสถานการณ์โดยรอบยังคงอยู่ในความปกติพวกเขาได้พบวิญญาณชั่วร้ายเพียงแค่ไม่กี่ตนเท่านั้น และพวกมันก็ได้ถูกฆ่าตายโดยพวกเขา ขณะที่เดินเข้าไปลึกมากขึ้นเลื่อย ๆ ก็ได้มีหนึ่งดังขึ้นในหมู่พวกเขา
“ช้าก่อน”
อสูรราชันย์วานรวานรได้กล่าวและเดินขึ้นมาอยู่เบื่องหน้าของกลุ่มพร้อมพูดว่า
“มันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ”
“มันมีอะไรอย่างนั้นรึ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นมันทำให้ผู้คนตกอยู่ในความวิตกกังวลและถามอย่างระแวง
“ความจริงแล้วนั้นมันควรที่จะมีผู้ปกครองและอุปสรรคในสุสานจักรพรรดิมากกว่านี้ซิ แต่ในเส้นทางที่พวกเราได้ผ่านพ้นมานั้นกับค้นพบเพียงแค่เหล่าบริวารเท่านั้น และนอกจากเหล่าบริวารพวกนั้นแล้วพวกเราก็ไม่ได้ค้นพบอุปสรรคใด ๆ เลยในการเดินทาง”
อสูรราชันย์วานรวานร กล่าว
“ท่านอาวุโสมันอาจเป็นไปได้ว่าได้มีใครบางคนเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ก่อนหน้าพวกเราอย่างนั้นหรือไม่? ถึงได้ไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขวางกั้นพวกเราในการเดินลึกเข้าไปในสุสาน?”
องค์จักรพรรดิถามกล่าว
“มันมีความเป็นไปได้มากกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
อสูรราชันย์วานรวานรกล่าว
“ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ ๆ มันจะเป็นแบบนั้นไปได้เช่นไร ถ้ามันเป็นมาอย่างที่ท่านกล่าวว่าจริงอย่างน้อยมันย่อมต้องมีหลักฐานและร่องรอยบางอย่างหรือไม่ก็สิ่งก่อสร้างถูกทำลายทิ้งเอาไว้เบื่องหลังบ้างซิ แต่นี่มันกลับไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่พวกเราสามารถตรวจสอบได้เลยแม้แต่สิ่งก่อสร้างก็ยังอยู่ดีไม่มีร่องรอยไหนถูกทำลายเลยแม้แต่ชิ้นเดียวรวมไปถึงสภาพแวดล้อมทุกอย่างก็ยังคงปกติดี”
องค์จักรพรรดิถามด้วยความรู้สึกสงสัย
“และถ้าหากว่าคนผู้นั้นมีความสามารถที่แข็งแกร่งและยังเป็นผู้เชื่อมต่อฯที่มีทักษะจิตวิญญาณที่กล้าแกร่งบางทีเขาอาจจะหลีกเหลี่ยงจากผู้เฝ้าประตูสุสานและยังไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ในการทำลายประตูทางเข้าไว้เบื่องหลังได้ล่ะ.”
“จงคิดดูให้ดีดี สิ่งที่คอยเฝ้าสถานที่แห่งนี้เอาไว้นั้นก็คือเหล่าวิญญาณที่ชั่วร้าย และพวกมันก็มีนิสัยดุร้ายมาตั้งแต่กำเนิดมิหนำซ้ำพวกมันยังเปลี่ยนสายพันธุ์ของตัวเองได้ด้วยการฆ่าและกัดกินกันเอง”
“แต่ในทางกลับกันวิญญาณชัวร้ายที่พวกเราได้พบเจอก่อนหน้านี้นั้นมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ซึ่งพวกมันล้วนอยู่ในความสงบทั้ง ๆ ที่ตามความเป็นจริงแล้วพวกมันควรที่จะต่อสู้กันเองเพื่อกัดกินอีกฝ่าย”
“มันจึงมีเพียงแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น นั้นก็คือได้มีใครบางคนแยกพวกมันออกจากกันและบังคับให้พวกมันคอยไปเฝ้าระวังในจุดต่าง ๆ ของประตูอย่างเป็นระเบียบและสงบ แล้วยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ประตูทุกบานในสถานที่ที่นี้ยังถูกทำลายไปจนหมดสิ้นโดยที่พวกมันยังไม่ทันได้รู้ตัว ฉะนั้นแล้วพวกมันจึงทำได้แต่ยืนเฝ้าประตูอยู่แบบนั้นอย่างเป็นระเบียบและสงบเพื่อรอคอยเพียงแค่คำสั่งต่อไปเท่านั้น”
‘อสูรราชันย์วานร’อธิบาย
“นี่…”
ในทันทีในกลุ่มของพวกเขาบางคนเริ่มที่จะแสดงอาการที่ไม่สบายใจมากขึ้นเพราะคำพูดของ ‘อสูรราชันย์วานร’ นั้นดูสมเหตุสมผลกับสถานการณ์ในตอนนี้เพราะว่าธรรมชาติของวิญญาณชั่วร้ายนั้นมันไม่ได้มีนิสัยที่เป็นระเบียบและสงบ พวกมันไม่ควรที่จะถูกแยกออกจากกันและเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่พวกมันจะเฝ้าระวังอยู่ในพื้นที่ของพวกมันอย่างเป็นระเบียบและสงบ ฉะนั้นแล้วไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถควบคุมมันได้เช่นนี้พวกเขาจะต้องมีความสามารถที่พริกฟ้าทำลายสวรรค์ได้อย่างแน่นอน
“ท่านผู้อาวุโสท่านคิดมากเกินไป ความแข็งแกร่งของเจ้าของสุสานจักรพรรดินี้นั้นได้อยู่เกินความคาดหมายของพวกเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีความเข้าใจในกลไกลของเขา”
“บางทีเขาอาจได้วางกลไกลบางอย่างเอาไว้สำหรับการแยกวิญญาณชั่วร้ายให้ออกห่างจากกันก็เป็นได้ และอีกอย่างพวกมันก็เป็นเพียงแค่วิญญาณชั่วร้ายเท่านั้นมันคงจะไม่หนีพ้นจากการตรวจจับของพวกเราไปได้หรอกอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
หลังจากที่องค์จักรพรรดิได้กล่าวทุกคนก็ล้วนพยักหน้าของพวกเขาตามด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพราะหลังจากพวกเขาได้รับรู้ว่าในเวลาหนึ่งหมื่นปีได้มีข่าวลือมากมายนับไม่ถ้วนว่าเจ้าของสุสานจักรพรรดินั้นเป็นผู้ใช้อำนาจร่างกายศักดิ์สิทธิ์และการดำรงอยู่ของเขานั้นเป็นสิ่งลึกลับและพวกเขาไม่อาจที่จะทำความเข้าใจกับความลึกลับนี้ได้
“ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นดั่งเช่นที่ท่านกล่าว.”
อสูรราชันย์วานร เริ่มรำคาญที่จะต้องเถียงกับผู้คน เขาจึงได้เบะปากของเขาและไม่พูดมากอีกต่อไปพร้อมกับเดินไปข้างหน้า
“อย่าได้ชะล่าใจไปคำพูดของราชันย์วานรนั้นฟังดูมีเหตุผล พวกเจ้าควรที่จะระมัดระวังกันมากขึ้นกว่านี้อย่าได้หลงเชื่อเพียงแค่ข่าลือหมื่นปีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ พวกเจ้าต้องระมัดระวังให้มากขึ้นในตอนนี้”
เพียงแค่ในเวลานั้นบรรพชนเก่าแก่ของราชวงศ์เจียงก็ได้เอยคำพูดขึ้น
หลังจากที่พวกเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้นพวกเขาทุกคนต่างก็พยักหน้า เพราะพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าไม่ว่าจะความแข็งแกร่งหรือแม้แต่ตำแหน่งของเขา เขาก็ได้อยู่ในระดับที่สูงกว่าทุกคนในที่นี้แม้แต่อสูรราชันย์วานรก็ยังด่อยกว่าเขา นั้นจึงเป็นเหตุที่ว่าไม่มีใครในที่นี้กล้าที่จะไม่เชื่อฟังคำพูดของเขา
แต่ทันทีในขณะนี้มีเพียงแค่’ชูเฟิง’เท่านั้นที่เชื่อในคำพูดของอสูรราชันย์วานร เพราะสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้นล้วนเป็นฝีมือของชายชราชุดดำที่เข้ามายังสุสานจักรพรรดิก่อนหน้าพวกเขา
‘ชูเฟิง’คิดได้ว่ามีเพียงแค่สองเหตุผลเท่านั้นที่ว่าทำใดชายชราชุดดำถึงทำลายประตูทางเข้าแต่กลับไม่ฆ่าผู้เฝ้าประตู
อย่างแรก นั้นเป็นเพียงเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำใมเขาถึงได้ส่งข้อความทางจิตไปยัง’ชูเฟิง’แทนที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างอลังการ
อย่างที่สอง มันเป็นเพราะเขาจงใจที่จะปล่อยเหล่าผู้เฝ้าประตูพวกนั้นเอาไว้เพื่อหยุดยั้ง’ชูเฟิง’และคนอื่นๆ และเตือนให้พวกเขาได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังรอพวกเขาอยู่ในทางข้างหน้าและควรที่จะล่าถอยออกไป
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม’ชูเฟิง’ไม่กล้าที่จะบอกพวกเขาถึงตัวตนของชายชราชุดดำเพราะถ้า’ชูเฟิง’ได้กล่าวออกไปนั้นแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องล่าถอยออกไปอย่างไม่มีทางเลือกเมื่อรู้ถึงขีดจำกัดของตนเอง
แต่ยังใงก็ตาม’ชูเฟิง’ไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นในตอนนี้เพราะไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาได้นึกถึง ‘จือหลิง’ และครอบครัวของนางรวมไปถึงสัญญาที่ได้ให้ไว้กับนาง มันทำให้เขาไม่อยากที่จะพลาดโอกาสในการเก็บเกี่ยวในสุสานจักรพรรดิในครั้งนี้
ฉะนั้นแล้ว’ชูเฟิง’จึงไม่ได้เอยคำพูดใด ๆ ออกมาและก้าวเดินต่อไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้กับสถานการณ์โดยรอบ แต่หลังจากที่เดินลึกเข้าไปเลื่อย ๆ แล้วนั้นนอกจากได้พบเจอเหล่าผู้เฝ้าประตูที่แข็งแกร่งแล้วนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พบเจอสมบัติใด ๆ เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ในสุสานจักรพรรดิพวกเขาก็ได้เจอสถานที่ที่หนึ่งมันจึงทำให้พวกเขาก้าวเดินกันอย่างระมัดระวังมากขึ้น
ในด้านหน้าของ’ชูเฟิง’และคนอื่น ๆ นั้นพวกเขาได้ค้นพบพระราชวัง พระราชวังหนึ่ง มันชั่งงดงามและดูมีบารมีแต่บนยอดของพระราชวังนั้นได้มีรูปปั้นแปลกประหลาดมันเป็นรูปปั้นของนกขนาดใหญ่ ลักษณะของมันนั้นชั่งเหมือนกับนกยูง แต่มันดูสวยกว่านกยูงมากนักเป็นร้อยเท่าพันเท่า และยิ่งไปกว่านั้นมันชั่งดูองอาจเป็นไหน ๆ
และในทางข้าวของพระราชวังนั้นก็ได้มีแผ่นหินเขียนจาลึกเอาไว้ว่า
“ ทักษะเร้นลับหงส์สาคืนชีพ ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับมัน”
“ทักษะเร้นลับ! มันคือทักษะเร้นลับ!”
ในทันทีที่ได้รู้พวกเขาก็ได้รู้สึกประหลาดใจยิ่งนักเพราะหลังจากที่พวกเขาทุกคนได้รู้ว่าทักษะเร้นลับนั้นคือสิ่งที่กล่าวขานกันว่าเป็นทักษะในตำนาน มันเป็นยิ่งกว่าสมบัติล้ำค่าเป็นไหน ๆ และการที่พวกเขาได้มาค้นพบมันโดยบังเอิญเช่นนี้นับว่าเป็นบุญหล่นทับหัวของพวกเขาโดยแท้
แต่ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้สึกตื่นเต้นมากอย่างไม่มีที่สิ้นสุดที่ได้เห็นคำจาลึกเขียนเอาไว้ว่าเป็นทักษะเร้นลับแต่ก็ไม่มีใครกล้าแม้แต่คนเดียวที่จะเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะพวกเขาต่างได้รับรู้ว่าบุคคลที่จะได้รับทักษะเร้นลับนี้มีเพียงแค่ชูเฟิงเท่านั้นและทุกอย่างมันก็ได้ขึ้นอยู่กับบรรพชนเก่าแก่ของราชวงศ์เจียงจะตัดสินใจ
มันเป็นเพราะว่าพวกเขาทุกคนต่างรู้ว้าถ้าหากทักษะเร้นลับจะเลือกหนึ่งในพวกเขาละก็ความเป็นไปได้มากที่สุดมันก็ต้องเป็นชูเฟิง หลังจากที่ชูเฟิงได้มีอยู่แล้ว 2 ทักษะเร้นลับในตำนาน
นอกจากนี้ในคำจาลึกหน้าพระราชวังนี้ มันยังได้ระบุข้อความไว้อีกว่า
“ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับมัน.”
มันยิ่งเป็นที่ชัดเจนเข้าไปใหญ่ว่ามันจะต้องเป็น’ชูเฟิง’อย่างแน่นอน เพรามันคงเป็นไปไม่ได้ที่การที่บุคคลที่ได้ทักษะเร้นลับในตำนานมาแล้วถึง 2 ทักษะจะเป็นคนที่อับโชค
“พวกเจ้าทั้งหมดรออยู่ที่นี่ ข้าและชูเฟิงจะเข้าไปด้วยกัน”
บรรพชนเก่าแก่ของราชวงศ์เจียงพูด
“ไม่ข้าจะไปพร้อมกับน้อยชายของข้าด้วย”
อย่างไรก็ตามอสูรราชันย์วานรได้กล่าวปฏิเสธในทันที
“อสูรราชันย์วานรเราสองคนนั้นเป็นถึงผู้เชื่อมต่อฯชุดม่วงและยังมีเพียงกันแค่ 2 คนเท่านั้น หนึ่งในพวกเราจะต้องอยู่ในที่แห่งนี้เพื่อคอยเฝ้าระวังหลังให้กับคนอื่น ๆ.”
“หากมันมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมาล่ะก็อย่างน้อยก็ยังมีคนใดคนหนึ่งที่คอยระวังหลังให้พวกเราสามารถที่จะนำผู้คนอื่น ๆ กลับไปได้อย่างปลอดภัย
“และในแง่ของระดับพลังวิญญาณแล้วนั้นข้ายังแข็งแรงกว่าเจ้า และถ้าหากมีภัยอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นแน่นอนว่าข้านั้นสามารถปกป้องเขาได้ดีกว่าเจ้าฉะนั้นแล้วเจ้าควรที่จะอยู่คอยปกป้องคนอื่น ๆ ด้านนอกเอาไว้นั้นแหละดีแล้ว” บรรพชนเก่าแก่รู้สึกเหมือนจะรู้ถึงความตั้งใจของ อสูรราชันย์วานรดังนั้นเขาจึงได้พยายามอธิบายด้วยหลักการและเหตุผล
..
#################################################################################################ที่มา: