ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ใช่ ข้านั้นได้สูญเสียความทรงจำของตัวเองไปตั้งแต่ก่อนที่ข้านั้นจะอายุได้ถึง 6 ขวบ ข้าไม่สามารถรับรู้เรื่องราวอะไรได้เลยในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น พอข้ารู้สึกตัวข้าก็ได้มาอยู่ในอาณาจักรแห่งหนึ่งซึ่งได้มารู้จักรในภายหลังว่านั่นคืออาณาจักรมังกรฟ้า”
“ในตัวของข้านั้นแถบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้าบนร่างกายและก็ของสองสิ่งนี้ อันแรกนั้นคือจี้หยก และอันที่สองก็คือนี่…”
ในขณะที่ จาง เทียนยีกำลังกล่าวอยู่นั้นเขาก็ได้นำตำราเล่มหนึ่งออกมา ซึ่งในหน้าปกของตำรานั้นก็ได้มีคำตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนเอาไว้อยู่สามคำคือ : ทักษะ ลับ ต้องห้าม
“ศิษย์พี่จางนี่มัน…”
ในทันทีที่ชูเฟิงได้เห็นนั้นเข้าก็ได้ตกอยู่ในอาการตกใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะดูเหมือนว่าเขานั้นจะได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
ว่าการที่ จาง เทียนยี สามารถบ่มเพาะพลังวิญญาณของตนได้ด้วยทักษะลับต้องห้ามนั้นเขาจะต้องไม่ได้พบเจอมันมาโดยบังเอิญเป็นแน่ แล้วที่สำคัญที่สุดคือการที่เขาได้มีทั้งจี้หยกและตำราทักษะลึกลับต้องห้ามนี้นั้นมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่าต้นกำเนิดของ จาง เทียนยี นั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ตัวข้าเองนั้นก็ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงได้สูญเสียความทรงจำไป แต่ที่ข้ารู้ได้อย่างแน่ชัดเลยก็คือว่าข้านั้นไม่ใช่คนของอาณาจักรมังกรฟ้าและก็ไม่ใช่คนของทั้งทวีป 9 อาณาจักร บางทีมันอาจมีแค่เครื่องรางจี้หยกชิ้นนี้เท่านั้นที่จะสามารถขัยความลับของชาติกำเนิดของข้าได้ว่าข้านั้นมาจากที่ไหนและบางทีมันก็อาจที่จะสามารถเรียกความทรงจำก่อนที่ข้านั้นจะอายุ 6 ขวบกลับมาได้”
“ฉะนั้นแล้วศิษย์น้องชูเฟิงเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องค้นหาสิ่งใดเป็นพิเศษเพื่อข้าปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตแต่ข้าขอเพียงแค่เจ้าให้ความสำคัญแก่มันแม้เพียงน้อยนิดก็เกินพอแล้ว เพราะถ้าพูดกันตามตรงแล้วนั้นข้าเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าชาติกำเนิดของข้านั้นมันจะอยู่ในทะเลภาคตะวันออกหรือไม่”
ใบหน้าของ จาง เทียนยี นั้นได้กล่าวออกมาพร้อมกับร้อยยิ้มแต่ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับดูเศร้าหมองยิ่งนัก
พ่อและแม่ของเขานั้นได้จากเขาไปในตอนที่เขามีอายุได้เพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น ชูเฟิงไม่สามารถที่จะจินตนาการออกได้เลยว่าเขานั้นจะต้องผ่านความยากลำบากมามากแค่ไหนกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้
แม้ว่าในวัยเด็กของเขานั้นชูเฟิงจะอยู่กับคนในตระกูลชูซึ่งสำหรับเขาแล้วมันก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่นักแต่อย่างน้อยมันก็ยังมีคนที่คอยดูแลเขา แต่สำหรับ จาง เทียนยี นั้นเขาไม่ได้มีอะไรเลยเมื่อนำมาเทียบกับชูเฟิงแล้วนั้นความเจ็บปวดและทรมานที่เขาได้อยู่ในตระกูลชูนั้นนับว่าเล็กเท่าขี้มดไปเลย
และที่สำคัญที่สุดชูเฟิงนั้นยังได้เบาะแสและรับรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับชาติกำเนิดของเขามาบางแล้วซึ่งเขาเองนั้นก็ได้ภูมิใจไปกับมัน ฉะนั้นแล้วชูเฟิงนั้นจึงให้ความรู้สึกที่เห็นอกเห็นใจและสามารถเข้าใจความรู้สึกของ จาง เทียนยี ในตอนนี้นั้นได้เป็นอย่างดี
“ศิษย์พี่จางท่านไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด แน่นอนว่าข้านั้นจะให้ความสำคัญแก่มัน”
“แต่โปรดเก็บเครื่องรางจี้หยกนี้ไว้กับตัวท่านเถิดข้านั้นจำสัญลักษณ์มันได้อยู่แล้ว.”
ชูเฟิงนั้นได้รับปากด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้นเขาก็ได้คืนจี้หยกนี้ให้แก่ จาง เทียนยี เพราะเขารู้ว่าจี้หยกอันนี้นั้นมีความสำคัญต่อ จาง เทียนยี มาก
“ข้าต้องขอโทษด้วยที่นำปัญหามาให้เจ้าศิษย์น้องชูเฟิง”
หลังจากที่ได้เห็นว่า ชูเฟิง นั้นตอบรับปากเขาใบหน้าของ จาง เทียนยี นั้นก็พลัดปรากฏรอยยิ้มที่มีความสุขขึ้นมาในทันที
หลังจากนั้นชูเฟิงและ จาง เทียนยี ก็ได้กลับไปที่โรงเตี๊ยม แต่ก่อนที่พวกเขานั้นจะกลับไปถึงใบหน้าของพวกเขาก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทันที
มันเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นได้พบกับกลุ่มควันมากมายลอยขึ้นมาเหนือจากโรงเตี๊ยม เห็นได้ชัดว่า ณ ที่แห่งนั้นจะต้องมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นภายในอย่างแน่นอน และที่สำคัญในตอนนี้ เจียง หวู่ชาง ซูรู่ และ ซูเหม่ย ก็ยังอยู่ภายในโรงเตี๊ยมมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ชูเฟิงและ จาง เทียนยี นั้นจะต้องเป็นกังวล
ณ ภายในโรงเตี๊ยมสถานที่ที่ชูเฟิงและคนอื่น ๆ ได้รับการจองเอาไว้นั้นในตอนนี้ได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปเรียบร้อยแล้ว
และในใจกลางของซากปรักหักพังนั้นก็ได้มี ซูรู่ และ ซูเหม่ย ยืนอยู่ใบหน้าของพวกเธอนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่โกรธแค้น พวกเขาทั้งสองคนนั้นได้ยืนสนับสนุนอยู่ด้านหลังของชายที่ชื่อว่า เจียง หวู่ชาง
“ฮ่า ๆ ข้าไม่เป็นไรนี่มันก็แค่รอยขีดข่วนเท่านั้น”
ในตอนนี้บนหน้าผากของ เจียง หวู่ชาง ได้มีตัวอักษรสีทองแพรวพราวคำว่า “ราชวงศ์” เขียนอยู่มันอาจจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาในตอนนี้นั้นได้ใช้พลังอำนาจทางสายเลือดของเขา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นบนร่างกายของเขานั้นก็ได้เต็มไปด้วยรอยแผลจำนวนเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนแม้แต่บนมุมปากของเขานั้นก็ยังมีเลือดไหลออกมา
และก็มีกลุ่มของผู้คนที่ยืนอยู่ในด้านหน้าของ เจียง หวู่ชาง นั้นก็คือกลุ่มคนของราชวงศ์ เซินถู่ พวกเขานั้นคือผู้ที่มอบรอยแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่ เจียง หวู่ชาง จำนวนนับไม่ถ้วน
“เหอะ เจ้านี่ชั่งหยิ่งผยองยิ่งนักข้าก็นึกว่าเจ้านั้นจะมีความแข็งแรงที่น่าประทับใจมากกว่านี้เสียอีก แต่ในความเป็นจริงเจ้ามันก็เป็นเพียงแค่ขยะชั้นต่ำเท่านั้น เจ้าแซ่เจียงใช่หรือไม่?”
ในขณะนั้นองค์ชาย เซินถู่ หลาง ก็ได้กล่าวถามออกมาด้วยความชิงชัง
“ใช่แล้วข้าแซ่ เจียง เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่”
เจียง หวู่ชาง ได้เช็ดรอยเลือดบนมุมปากของเขาและกล่าวตอบออกไปโดยไม่อายฟ้าดิน
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ? เฮอะ”
เซินถู่ หลาง หัวเราะเยาะและกล่าวออกไปว่า
“ จดจำเอาไว้แซ่ของมันนั้นคือเจียงฉะนั้นแล้วราชวงศ์ของมันนั้นก็ต้องเป็นราชวงศ์เจียง การที่ราชวงศ์ได้กำเนิดขยะชั้นต่ำเช่นมันนั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีความจำเป็นอันใดที่ราชวงศ์ของมันนั้นจะต้องดำรงอยู่บนโลกใบนี้อีก”
“เมื่อพวกเจ้ากลับไปยังราชวงศ์โปรดรายงานเรื่องนี้ให้แก่บิดาของข้าและส่งคนไปกำจัดราชวงศ์เจียงในทันที ทำให้ดูเหมือนว่าบนโลกใบนี้นั้นไม่เคยมีราชวงศ์เจียงมาก่อนและที่สำคัญจงกำจัดสายเลือดราชวงศ์ของพวกมันซะอย่าให้พวกมันได้มีชาติตระกูลสืบทอดต่อไปได้อีก”
“บัดซบนี่เจ้า !!”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น เจียง หวู่ชาง ก็ได้กัดฟันของเขาด้วยความโกรธแค้นและในขณะที่พูดจบเขาก็ได้พยายามที่จะกรโดดเข้าไปโจมตี เซินถู่ หลาง ในทันที
แต่ก่อนที่เขาจะได้เคลื่อนย้ายนั้นเขาก็ได้ถูกหยุดเอาไว้เสียก่อนโดย ซูรู่ เธอนั้นได้ส่งซิกเล็กน้อยด้วยการขมวดคิ้วของเธอเพื่อเป็นการตื่นว่าให้ใจเย็นลงก่อนและรอให้ชูเฟิงและ จาง เทียนยี นั้นกลับมาก่อนเมื่อถึงเวลานั้นแล้วค่อยจัดการ เซินถู่ หลาง ก็ยังถือว่าไม่สายจนเกินไป
เจียง หวู่ชาง นั้นเขาไม่ใช่คนที่โง่เขลาเขาในตอนนี้นั้นรู้ดีว่าเขาไม่สามารถที่จะเอาชนะ เซินทู๊ หลั่ง ได้หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเขาก่อนหน้านี้ ถ้าหากว่าเขานั้นยังบ้าบิ่นและฝืนบุกฝ่าเข้าไปเขานั้นจะต้องเจ็บตัวกลับมาเป็นแน่แล้วยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาได้ลาก ซูรู่ และ ซูเหม่ย เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยมันจะทำให้ชูเฟินนั้นต้องเสียใจมากเป็นแน่
ฉะนั้นแล้วเขาจึงทำได้แค่ต้องดับเปลวไฟในใจของเขาให้สงบลงและไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
“ท่านเจ้าเหนือหัว , ท่านเจ้าเหนือหัวโปรดหยุดเถิดโปรดหยุดเถิด! มันเป็นความผิดของข้าน้อยเองมันเป็นความผิดของข้าน้อย!”
เพียงแค่ในเวลานั้นก็ได้มีชายเฒ่าผู้หนึ่งแต่งตัวดุดีวิ่งออกมาพร้อมกับกล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ระดับพลังวิญญาณของชายเฒ่าผู้นี้นั้นนับว่าไม่ได้เป็นบุคคลที่อ่อนแอเขานั้นได้อยู่แล้วถึงระดับที่ 3 ของเขตแดนสวรรค์วิญญาณและเบื่องหลังของเขานั้นก็เต็มไปด้วยผู้ติดตาม , ระดับพลังวิญญาณของพวกเขานั้นก็ไม่ได้นับว่าอ่อนแอเมื่อมองไปยังเครื่องแต่งกายของเขาก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขานั้นเป็นคนรับใช้ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้และมีความเป็นไปได้ว่าชายเฒ่าผู้มีการแต่งตัวที่ดูดีผู้นี้นั้นจะเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม
“เจ้าเป็นใคร?”
เซินถู่ หลาง ชายตามองไปที่เจ้าของโรงเตี๊ยมด้วยความเหยียดหยัน
“ท่านเจ้าเหนือหัวข้าน้อยนั้นคือเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้”
เจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้เศษเดนเจ้าเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้อย่างนั้นรึ? เจ้ากล้าดียังใงถึงได้มาปรากฏตัวในด้านหน้าขององค์ชายของข้า ?!”
หลังจากที่ได้รู้ว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นเป็นใครองครักษ์ของราชวงศ์ เซินถู่ ที่อยู่ในระดับที่ 4 แดนสวรรค์วิญญาณก็ได้จับคอเสื้อของชายเฒ่าขึ้นมาพร้อมกับคำรามออกมาด้วยความโกรธในทันที
“อย่าเสียมารยาท! โปรดใส่ใจกับมารยาทเสียหน่อยสิพวกเรานั้นเป็นคนที่มีฐานะสูงส่งอย่างนั้นไม่ใช่หรือใง”
เซินถู่ หลาง กล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่แปลก
“ครับท่าน”
ด้วยคำพูดที่ได้ออกมาจากปากของ เซินถู่ หลาง นั้นมันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขานั้นได้รับการปกป้องเจ้าของโรงเตี๊ยม
“ขอบพระคุณท่านเจ้าเหนือ, หัวขอบพระคุณท่านเจ้าเหนือหัว, ขอบพระคุณท่านเจ้าเหนือหัว”
หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นก็ได้กราบคารวะต่อ เซินถู่ หลาง ในทันทีเพราะว่าความแข็งแรงของเขานั้นมันทำให้เขาหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ทว่าสิ่งที่เขาไม่ได้รู้เลยนั้นก็คือ เซินถู่ หลาง นั้นไม่ใช่บุคคลที่เรียบง่ายบนใบหน้าของเขาได้ปรากฏรอยยิ้มที่แปลกขึ้นมาพร้อมกับพูดออกมาว่า
“ในเมื่อว่าเจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้านั้นเป็นใครเหตุใดในตอนที่ข้าได้มาถึง เจ้าถึงกลับไม่ออกมาต้อนรับและเตรียมห้องพักที่ดีให้แก่ข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านั้นควรที่จะได้รับการลงโทษเช่นไรกับการกระทำผิดของเจ้าในครั้งนี้?”
“อ…อะ…อะ…ข้าไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นการแสดงออกของเจ้าของโรงเตี๊ยมก็กลายเป็นแข็งค้างไปในทันทีและเขาเริ่มที่จะถอยหลังไปที่ละก้าวที่ละก้าว
“โทษของเจ้าคือ…ความตาย!”
ทันทีใบหน้าของ เซินถู่ หลาง นั้นก็กลายเป็นเลือดเย็นเขาได้ฝาดฝ่ามือของเขาลงไปอย่างรุนแรงที่ใบหน้าของชายเฒ่าผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมในทันที
พลังงานสวรรค์ที่รุนแรงนั้นได้ฉีกผ่านร่างกายของเขาและ
*** โครม ***
เจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นกลายเป็นหมอกเลือดและสลายหายไปในอากาศในทันที
“อ้า! ฆ่าแล้ว! ฆ่าแล้ว! แท้จริงคนจากราชวงศ์ เซินถู่ ได้ฆ่าคนของทะเลภาคตะวันออก!”
เมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมของพวกเขานั้นได้ถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตามันก็ได้ปรากฏเหงื่อเย็นขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเขาและในตอนนี้พวกเขานั้นก็ได้กรีดร้องกันออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวพวกเขานั้นได้รีบวิ่งกระจัดกระจายกันออกไป
“พวกเจ้ากำลังคิดว่าจะไปไหนหื้ม? พวกเจ้าทุกคนจงตายตามเจ้านายของพวกเจ้าไปซะ”
แต่เพียงในขณะนั้น เซินถู่ หลาง ก็ได้กล่าวออกมาอย่างเย็นชาและเหวี่ยงแขนของเขาที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจสวรรค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดกวาดหลายสิบผู้เชียวชาญเขตแดนแก่นแท้วิญญาณลงกลายเป็นกองเลือดไปในทันที
ที่มา: