ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบทที่ 1042 – ผู้ที่มาระราน
หลังจากที่ได้ยิน ฉีคง ไจ้ชิง กล่าวอออกมาเช่นนั้น ชูเฟิง ก็รู้สึกชื่นชมผู้เชี่ยวชาญขั้นจักรพรรดิสงครามมากขึ้น
แต่เมื่อเขานึกถึง วานรเฒ่า และ ชู คงถ้ง พร้อมกับรูปปั้นที่คุ้มครองเส้นทางที่มาจากตระกูลชูของเขาแล้วนั้น มันจึงทำให้เขารู้สึกว่าเส้นทางสวรรค์นั้นมีความลึกลับอย่างมาก และมันก็ทำให้ความรู้สึกของเขาแตกต่างจากของ ฉีคง ไจ้ชิง
เขายังไม่ได้พบผู้เช่ายวชาญขั้นจักรพรรดิสงครามในดินแดนสงครามศักดิ์สิทธิ์แม้แต่คนเดียว แต่แม้แต่รูปปั้นที่คุ้มครองเส้นทางของตระกูลชูของเขานั้น ยังมีพลังถึงขั้นจักรพรรดิสงคราม นั้นจึงทำให้เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของตระกูลชูของเขาได้อย่างชัดเจน
วานรเฒ่าได้กล่าว่า ชูเฟิง มาจากโลกภายนอก และตระกูลชูนั้นสามารถทำให้ทุกขุมพลังของดินแดนสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้นสยบแทบเท้าของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ในตอนนั้น ชูเฟิง ไม่ได้เชื่อคำกล่าวของวานรเฒ่าแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้ เขากลับเชื่อคำกล่าวนั้นอย่างแท้จริง เพราะทั้ง วานรเฒ่า และ ชู คงถ้ง ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นจักรพรรดิสงคราม แต่พวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญขั้นจักรพรรดิสงครามทั่วๆ ไป เพียงแค่ออร่าพลังของพวกเขานั้นทก็สามารถทำให้ผู้คนหายใจได้ยากลำบาก ดังนั้น คำกล่าวของ วานรเฒ่า จึงเป็นเรื่องจริงอย่างมาก
ตระกูลของเขานั้นแข็งแกร่งอย่างมาก มันจึงทำให้ ชูเฟิง อยากจะท้าทายตระกูลของเขาเองอย่างมากเช่นกัน
แน่ที่เขาต้องการจะท้าทายตระกูลของเขาเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะคำกล่าวที่บอกว่าเขาเป็นคนนอก แต่เป็นเพราะเขาต้องการจะทวงศักดิ์ศรีของพ่อเขากลับมา และหากเขาจะทำเช่นนั้นได้ เขาจะต้องพิสูจน์ตัวเองในดินแดนสงครามศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน “ชูเฟิง ในตอนนี้เจ้ามีพลังขั้นจ้าวสงครามระดับเก้า มันเป็นช่วงที่สำคัญมาก อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ สระบรรพกาลนิรันดร์ จะเปิดออก ข้าจะส่งเจ้าพร้อมกับศิษย์ของหุบเขาไม้ครามตอนใต้ที่จะเข้าสู่หุบเขาไม้ครามในไปนี้ไปฝึกฝนที่นั่น !!””ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าน่าจะได้รับการบ่มเพาะพลังกลับมาไม่น้อย และในปีหน้าข้าจะส่งเจ้าไปอีกครั้ง ในตอนนั้นอาจจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันย์สงครามก็เป็นได้ !!””เมื่อเจ้าเข้าสู่ขั้นราขันย์สงคราม ข้าจะเป็นคนไปส่งเจ้าที่หุบเขาไม้ครามด้วยตัวของข้าเอง !!”
ในขณะนั้น ฉีคง ไจ้ชิง ก็กล่าวขัดความคิดของ ชูเฟิง ออกมา “สระบรรพกาลนิรันดร์ มันคืออะไรหรือ !?”
ชูเฟิง กล่าวถามด้วยความอยากรู้ “อ่า….ข้าเกือบลืมบอกเจ้าไป สระบรรพกาลนิรันดร์นั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการบ่มเพาะพลังของดินแดนสงครามศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ มันอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณทางธรรมชาติ และมีบางอย่างที่พิเศษอย่างมากไหลผ่านมัน !!””สิ่งพิเศษเหล่านั้นไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสมันได้ แต่แม้ว่าจะไม่สามารถเห็นหรือสัมผัสมันได้ มันก็สามารถช่วยให้การบ่มเพาะพลังเป็นไปอย่างง่ายดาย !!” ฉีคง ไจ้ชิง กล่าวอธิบาย “มันเป็นเช่นนี้นี่เอง !!”
ชูเฟิง พยักหน้ารับ ารบ่มเพาะพลังของดินแดนสงครามศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่เขาอยากจะลองสัมผัสดูเช่นกัน และเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ชูเฟิง จึงกล่าวถามออกมาว่า”
ผู้อาวุโส ต้องรอจนถึงปีหน้าเลยหรือ ถึงท่านจะส่งข้าเข้าไปยังหุบเขาไม้คราม !?”
ชูเฟิง ค่อนข้างกังวลอย่างมาก เพราะเขาต้องการเข้าสู่หุบเขาไม้ครามให้เร็วที่สุด แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา แต่มันก็คุ้มค่า หากเทียบทรัพยากรของที่นั่นกับที่หุบเขาไม้ครามตอนใต้แห่งนี้ ที่นั่นย่อทำให้เขาเติบโตได้อย่างรวดเร็วมากกว่าอย่างแน่นอน “ข้าคิดไว้ว่าจะส่งเจ้าไปยังหุบเขาไม้ครามก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถทะลสงเข้าสู่ขั้นราชันย์สงครามได้ แต่ถ้าหากเจ้าไปที่สระบรรพกาลนิรันดร์ และสามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นราชันย์สงครามได้ ข้าก็จะส่งเจ้าเข้าสู่หุบเขาไม้ครามภายในปีนี้ !!” ฉีคง ไจ้ชิง กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อ ฉีคง ไจ้ชิง กล่าวออกมาเช่นนี้ ชูเฟิง ทำได้เพียงฝืนยิ้มเท่านั้น เพราะเขาเข้าใจความหมายนี้ได้ดี ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาจะเข้าไปยังหุบเขาไม้ครามได้ในปีนี้ หรือปีหน้า ตราบใดที่เขาไม่สามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นราชันย์สงครามได้นั้น เขาย่อมหมดโอกาสที่จะเข้าสู่หุบเขาไม้คราม
หลังจากนั้น ชูเฟิง ยังคงพูดคุยกับ ฉีคง ไจ้ชิง เป็นเวลานาน แม้ว่าจะเลยเวลาอาหารเย็นมาแล้วก็ตาม ชูเฟิง ก็ยังไม่ได้กลับสู่ที่พักของเขา
พื้นที่รอบพระราชวังได้ถูกปรับปรุงไปขนาดใหญ่ ในเวลานี้ได้มีการสร้างตำหนักหลังงามขึ้นมาสองหนังอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในสองตำหนักนั้นมีขนาดใหญ่และงดงามอย่างมาก มันดูราวกับพระราชวังมากกว่าที่เป็นตำหนัก
และตำหนักทั้งสองหลังนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่พักของ ชูเฟิง และ หลี่ เล่ย ตำหนักเล็กกว่านั้นเป็นที่พักของ หลี่ เล่ย ส่วนตำหนักใหญ่ที่งดงามนั้นเป็นที่พักของ ชูเฟิง
การสร้างตำหนักทั้งสองหลังนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตำหนักทั้งสองหลังก็ถูกสร้างจนเสร็จ หลังจากสร้างเสร็จแล้วน้น ทักๆ คนก็จะเห็นหญิงสาวจำนวนมากวิ่งไปมาอยู่ภายใน และภายนอกตำหนักทั้สองหลัง
พวกนางคือคนรับใช้ของหุบเขาไม้ครามตอนใต้ พวกนางได้รับคำสั่งให้ตกแต่งคฤหาสน์ทั้งสองหลังให้เสร็จก่อนคืนนี้ เพื่อที่จะได้ให้ ชูเฟิง และ หลี่ เล่ย ได้เข้าพัก
ตำหนักที่พักของ หลี่ เล่ย นั้นได้รับการตกแต่งเพียงธรรมดาเท่านั้น เช่นเดียวกับตำหนักของศิษย์หลักของหุบเขาไม้ครามตอนใต้แห่งนี้
ในขณะเดีนวกันนั้น ตำหนักของ ชูเฟิง กลับถูกตกแต่งออกมาอย่างงดงามอย่างมาก แม้แต่สาวใช้ที่เข้ามาตกแต่งตำหนักนั้นยังพิเศษอย่างมาก เพราะการบ่มเพาะพลังของพวกนางนั่นนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ในเวลานี้ หากมีคนบอกว่า ชูเฟิง คือคนที่สำคัญที่สุดของหุบเขาไม้ครามตอนใต้ ทุกคนย่อมไม่อาจปฏิเสธคำกล่าวนี้ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น คนที่มาจากเขตทะเลใต้จึงรู้สึกหดหู่อย่างมาก เวลที่พวกเขามองมายังตำหนักทั้งสองหลัง แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
สำหรับ ชูเฟิง ที่ได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์นั้น การได้รับการดูแลเช่นนี้นับว่าเหมาะสม แต่สำหรับ หลี่ เล่ย นั้น สิ่งใดกันคือความเหมาะสมของเขา
พวกเขารู้ดีว่าที่ หลี่ เล่ย ได้รับรางวัลเช่นนี้ เป็นเพราะในตอนนั้น หลี่ เล่ย ได้ยื่นมือออกมาเพื่อปกป้องความถูกต้องสำหรับ ชูเฟิง
นี่จึงทำให้พวกเขาเสียใจอย่างมาก เพราะหากพวกเขาทำเช่นเดียวกับ หลี่ เล่ย ที่อธิบายความจริงออกไปให้กับผู้อาวุโสของตระกูลฮั่นฟัง พวกเขาอาจจะได้รับรางวัลเช่นนี้ และพวกเขาทั้งหมดจะต้องประสบความสำเร็จอย่างมากในหุบเขาไม้ครามตอนใต้เพราะ ชูเฟิง
แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้เช่นนั้น แต่พวกเขาได้ทำให้ ชูเฟิง เกือบตาย ถ้าหาก ชูเฟิง ไม่แกร่งพอเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
นี่จึงทำให้พวกเขาเดินในเส้นทางที่แตกต่างจาก หลี่ เล่ย อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่กันอย่างสงบ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จในหุบเขาไม้ครามตอนใต้แห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พวกเขาต้องการจะกอบกู้ความสัมพันธ์กับ ชูเฟิง นั้น เฉิน หลาง และ เฉิน หง ได้พาคนจากเขตทะเลใต้มารวมตัวกันเพื่อที่จะมาขอให้ หลี่ เล่ย ช่วยพูดกับ ชูเฟิง “อะไรนะ !? พวกเจ้าอยากให้ข้าช่วยพูดกับ ชูเฟิง ว่าให้ลืมเรื่องในวันนี้งั้นหรือ !?”
ในขณะนั้น อาการบาดเจ็บของ หลี่ เล่ย ได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์แล้บ และในเวลานี้เขาก็กำลังชื่นชมกับที่พักใหม่ของเขาด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขาได้ยินคำกล่าวของ เฉิน หลาง และคนอื่นๆ นั้น ใบหน้าของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความอึดอัด เนื่องจากในตอนนี้เขาได้รับการคุ้มครองจาก ชูเฟิง ดังนั้น หลี่ เล่ย จึงไม่กลัวต่อ เฉิน หลาง และคนอื่นๆ เขาจึงไม่ต้องกล่าวออกมาด้วยความสุภาพ เขาชี้ไปที่ เฉิน หลาง และทุกๆ คนก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าทุกคนฟังข้า ดีที่น้อง ชูเฟิง มีความเมตตา หากเป็นข้า ข้าคงจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด !!””โดยเฉพาะเจ้า เฉิน หง น้อง ชูเฟิง ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเจ้า แต่เจ้ากลับตอบแทนเขาด้วยวิธีนี้งั้นหรือ ลองถามหัวใจเจ้าดูว่าเจ้ายังเป็นคนอยู่ไหม !? หัวใจของเจ้ามันไม่มีค่าพอให้สุนัขกินด้วยซ้ำ !!”
เมื่อถูก หลี่ เล่ย ตำหนิออกมาเช่นนั้น เฉิน หง ทำได้เพียงก้มหน้าลง พร้อมกับดวงตาของค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดงกร่ำด้วยความละอายใจ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดได้เกิดขึ้นไปแล้ว มันจึงสายเกินไปที่นางจะมานั่งเสียใจ
เรื่องทั้งหมดได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น สิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้ มีเพียงความอับอายที่นางจะต้องแบกรับ และเผชิญหน้ากับมันไปตลอดกาลเท่านั้น “โอ้ !! น้ำเสียงของเจ้ามันอวดดีจริงๆ เจ้าคิดจะฆ่าคนจากเขตทะเลใต้พวกนี้งั้นหรือ !?”
จู่ๆ ในขณะนั้นก็มีเสียงตะโกนดังออกมาจากภายนอกตำหนัก
หลังจากได้ยินเสียงตะโกนนี้ ทุกๆ คน รวมถึงคนรับใช้ที่กำลังตกแต่งตำหนักอยู่ต่างสับสน พวกเขาทั้งหมดต่างหันมองไปทางเสียงตะโกนนั้น
เมื่อ หลี่ เล่ย และคนอื่นๆ หันกลับไปมองนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความระแวง และความสับสน เพราะในเวลานั้น มีคนสองคนที่กำลังเดินเข้ามาทางพวกเขา
ReaDMGA