ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปซวนหยวนได้คำนวณความเสี่ยงจากการกระทำของเขา
เยว่หรงจำเป็นต้องเร่งรีบที่จะไปเข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักจันทร์พฤกษา นั่นจะทำให้นางไม่มีเวลามากพอที่จะส่งคนมาจัดการกับซวนหยวนภายหลัง นอกจากนี้ ด้วยความภาคภูมิใจของนาง นางย่อมไม่บอกคนอื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ที่น่าอับอายที่พึ่งเจอ
ดังนั้น ซวนหยวนเลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก และเข้าไปในป่าเพื่อที่จะล่าสัตว์ต่อไป
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ที่สุสานได้มีศพมาเพิ่มมากขึ้น คนเหล่านั้นอาจจะเป็นผู้เสียชีวิตจากการอดอาหาร โรคร้าย หรือถูกฆ่า พวกเขาเหล่านั้นช่างเป็นดวงวิญญาณที่โชคร้าย ซวนหยวนไม่สามารถทำอะไรได้เพียงได้แค่ถอนหายใจ
ในโลกใบนี้ยากที่จะอยู่รอด เขาควรจะดูแลตัวเองเป็นอันดับแรก
พวกสัตว์อสูรระดับสูง ไม่ค่อยจะออกมาเพ่นพ่านแถวขอบป่า แต่ตัวของซวนหยวนก่อนหน้านี้นั้น ช่างโชคร้ายนักที่เจอกับอสูรหมียักษ์ที่ผลึกอสูร แต่เขาก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้โดยกริชของเขา
กริชถูกแขวนเอาไว้ที่เอวด้านซ้าย และกระบี่ปลายฟ้าถูกเหน็บไว้ข้างเอวขวา ส่วนแส้ เขาถือเอาไว้และกระโดดขึ้นหลังกู่ฉิง และเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปในป่า
เขาเจอกระต่ายและนกจำนวนมาก แต่พวกมันมีขนาดเล็กเกินไปและไม่สามารถนับได้ว่าเป็นอาหารว่าง เขาไม่ต้องการฆ่าสัตว์ทีละมากๆ เขาตัดสินใจฆ่าแต่สัตว์ใหญ่เท่านั้นที่จะสนองต่อความอยากอาหารของเขาได้
ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงดังคำรามคล้ายกับเสือ
เขาสะดุ้งด้วยความตกใจ แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นและประสบการณ์จากการต่อสู้ ทำให้เขามีความกล้าหาญมากขึ้น
ดวงตาของซวนหยวนเฉียบประกายด้วยความอันตราย พวกเขาพุงตรงไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าจะมีต้นไม้สูงใหญ่มากมาย แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพวกเขา
ซวนหยวนพุงไปตามทิศทางของเสียงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พบกับ “อสูรพยัคฆ์ทมิฬ” มันดูกระหายเลือดเป็นอย่างมาก และมีขนาดใหญ่กว่ากู่ฉิง มันมีความสูงประมาณ 2 ฟุต และมีความยาวมากกว่า 2 เมตรนับตั้งแต่หัวจรดหาง ด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของมัน อย่างน้อยมันต้องหนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันจิน
เนื้อของสัตว์อสูรนั่นอร่อยและมีประโยชน์มากกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไป
ซวนหยวนนึกขึ้นได้ว่า กู่เย่ ถูกอสูรพยัคฆ์ทำร้ายจนตาย ตอนนี้เองความเครียดแค้นของเขาก็ปะทุออกมา เขากระโดดขึ้นกลางอากาศและฟาดแส้ใส่อสูรพยัคฆ์ทมิฬ
อสูรพยัคฆ์ทมิฬไม่ได้รับรู้ถึงความมุ่งร้ายของซวนหยวน มันไม่มีความเร็วมากพอที่จะหลบการโจมตีของเขา และถูกด้วยเข้าด้วยแส้ มันคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด
อสูรตัวนี้ถึงจะไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน มันมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับวัวสิบสี่ตัว คนปกติไม่สามารถที่จะทำอันตรายต่อมันได้
แส้ของซวนหยวนนั้นได้บดขยี้อุ้งเท้าหน้าของมัน ทำให้มันให้มันไม่สามารถหลบหนีได้
ซวนหยวนชักกระบี่ออกมา และแทงเข้าไป ผ่านหลังทะลุถึงหัวใจของมัน ทำให้อสูรพยัคฆ์ทมิฬตกตายในทันที
เสียงคำรามที่อ้อยอิ่งเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจดังออกมาอยู่ภายในใจของซวนหยวนก่อนที่มันจะตาย ใครจะรู้ว่ามีสัตว์อสูรจำนวนเท่าไหร่ ที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้
แต่ถ้าเกิดมีสัตว์อสูรมากกว่า 3 ตัวโจมตีเขาพร้อมกัน เขาคงตายไปนานแล้ว
ซวนหยวนแบกร่างของมันขึ้นไปบนหลัง และกระโดดกลับขึ้นไปบนหลังกู่ฉิง, เขาหัวเราะ “ ไปกันเถอะ เราได้แก้แค้นให้กู่เย่ด้วยกระฆ่าอสูรพยัคฆ์ทมิฬแทนแล้ว น้ำหนักของมันอย่างน้อย1300จิน มันมีน้ำหนักมากกว่าหมูป่าเสียอีก เราคงไม่อดอยาก ไปอีกนาน ฮ่าๆๆ ”
กู่ฉิงเห่าหอนและนำซวนหยวนออกจากป่า บนทางที่จะกลับไปบ้านต้นไม้ เขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง
พวกเขาทั้งสองอยู่บนหลังม้า ซวนหยวนจดจำสายพันธุ์ของม้าได้ มันคือม้าพระจันทร์สีเลือด เป็นสายพันธุ์ม้าที่มีความแข็งแกร่งและรวดเร็ว พวกมันสามารถวิ่งได้ 800 ไมล์ในแต่ละวัน พวกมันดูเหนือกว่ามากเมื่อเทียบกับม้าสีแดงของเยว่หรง
พวกเขาสวมเสื้อคุมยาวสีขาว ที่ด้านหน้าและด้านหลังของเสื้อคุมมีรูปพระจันทร์เต็มดวงปักไว้
ผู้ชายนั้นมีร่างที่สูงใหญ่และดูแข็งแรง ส่วนผู้หญิงสะอาดสะอ้านและสง่างาม
พวกเขามองมาอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นซวนหยวนและสัตว์อสูรที่เขาแบกไว้บนหลัง หญิงสาวจึงกล่าวขึ้นว่า
“ โปรดหยุดก่อน หนุ่มน้อย ”
ซวนหยวนหยุดอยู่กับที่ และสังเกตด้วยความระมัดระวัง “ มีอะไรให้ข้าช่วยงั้นหรือ?”
“ครอบครัวของเจ้าไปไหนซะละ?” นางยิ้ม นางดูเหมือนจะไม่เป็นอันตราย
“ ข้าเป็นเด็กกำพร้าและข้าออกล่าเพื่อประทังชีวิต ท่านต้องการสิ่งใด?” ซวนหยวนกล่าว, ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะเข้าใจความตั้งใจของหญิงสาว เขาหัวเราะและพูดด้วยเสียงอันดัง“ ไม่ต้องกังวลไปพ่อหนุ่ม ข้าเป็นสาวกของของสำนักจันทร์พฤกษา พวกเรามาพร้อมกับผู้อาวุโส เพื่อที่จะทดสอบผู้ที่จะเข้าร่วมเข้าร่วมสำนักของเรา เจ้ายังเยาว์วัยนักแต่กลับสามารถฆ่าอสูรพยัคฆ์ทมิฬได้ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ทำไมเจ้าไม่มากับพวกเราเพื่อเข้ารับการทดสอบล่ะ? เจ้าอาจจะกลายเป็นศิษย์ของสำนักเฉกเช่นแบบพวกเรา เราจะได้กลายเป็นพี่น้องที่ฝึกวรยุทธไปด้วยกัน ”
ซวนหยวนหวั่นไหวไปกับข้อเสนอของพวกเขา เขาคิด “ เยว่หรง เป็นคุณหนูแห่งตระกูลเยว่ แต่นางกลับอยากที่จะกลายเป็นศิษย์ของสำนักจันทร์พฤกษาทำให้นางรีบกลับมาที่เมืองจันทร์สลาย ดูเหมือนมันจะเป็นสำนักที่มีความแข็งแกร่งภายในโลกแห่งการต่อสู้นี้ ถ้าท่านอาจารย์ยินดีที่จะอยู่สอนข้า ข้าคงไม่สนใจเกี่ยวกับมันมากนัก แต่นางจะจากไปในอีกหนึ่งเดือน ข้าคงอาจจะต้องใช้โอกาสนี้”
ซวนหยวนพยักหน้าและยิ้ม แต่เขาดูเหมือนต้องการที่จะขอโทษ
“สำนักจันทร์พฤกษาดูเหมือนจะเป็นสำนักที่ยอดเยี่ยม แต่ข้ายังมีอีกหลายสิ่งที่จำเป็นจะต้องดูแล ดังนั้นตอนนี้ ข้าจึงไม่สามารถที่จะไปเข้าร่วมการทดสอบได้ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องจัดการภายใน 20 กว่าวันนี้”
หญิงสาวยิ้มขึ้น , “ ไม่เป็นไร พวกเราจะอาศัยอยู่ในเมืองจันทร์สลายมากกว่า 20 วัน พวกเราจะส่งข่าวออกไปเกี่ยวกับการเข้าร่วมการทดสอบ จะมีผู้คนมากมายต้องการที่จะเข้าร่วม เจ้าจะมีเวลามากพอที่จะจัดการกับธุระของเจ้า ”
ซวนหยวนมีความสุขมากและกล่าว “ ขอบพระคุณท่านมาก ”
แต่ทันใดนั้น ซวนหยวนก็คิ้วขมวดและเริ่มจะลังเลเล็กน้อย ชายคนดังกล่าวเลยถามขึ้นว่า“เจ้าสามารถบอกพวกเรา เกี่ยวกับปัญหาของเจ้าได้ไหม?”
ซวนหยวนดูลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าว
“ ได้สิ ตระกูลเยว่แห่งเมืองจันทร์สลายนั้น พวกมันช่างโหดเหี้ยมและอำมหิตยิ่งนัก! โปรดดูที่หลุมศพเหล่านั้น หลายศพถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมโดยพวกมัน! ไม่กี่วันที่ผ่านมาหนึ่งในพี่น้องของข้าถูกพวกมันทุบตีจนตาย พวกมันทำราวกับข้านั้นเป็นเพียงเศษขยะ! และกล่าวได้ว่าไม่มีใครสนใจถ้าข้าตกตายไป ถ้าเข้าไปในเมือง ข้ากลัวว่าข้าจะตกตายด้วยน้ำมือของหนึ่งในข้ารับใช้ของพวกมัน ก่อนที่ข้าจะได้เข้ารับการทดสอบ ”
ซวนหยวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเครียดแค้น และเกลียดชัง
ชายที่ดูเย็นชา เมื่อได้ยินในสิ่งที่ซวนหยวนกล่าว “ ไอพวกตระกูลเยว่กับปราศจากการถูกควบคุม พวกเราจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ศิษย์พี่หญิงรองรับทราบ ถึงแม้ศิษย์พี่ใหญ่ของเราจะมาจากตระกูลเยว่ แต่พวกมันก็ไม่สามารถที่จะกำเริบเสิบสานได้.. พ่อหนุ่ม! รับเอานี่ไป นี่คือตราประทับแห่งสำนักจันทร์พฤกษา คนจากตระกูลเยว่จะไม่กล้าที่จะทำร้ายเจ้าตราบเท่าที่เจ้ายังมีมัน!”
ซวนหยวนนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขายื่นมือออกไปรับอย่างสุภาพและกล่าว“ ขอบคุณท่านทั้งสองสำหรับความเมตตา ข้ามีนามว่า ซวนหยวน ข้าขอทราบนามของท่านทั้งสองได้หรือไม่?
”
“ ข้ามีนามว่า สื่อคงหยู และนี่คือศิษย์น้องหญิงของข้า หลิวเพียวซู่ ” สื่อคงหยู มีผิวที่ค่อนข้างเข้ม เขาดูเป็นคนที่จริงจังพอสมควร ตราประทับที่เขาให้กับซวนหยวนนั้นทำมาจากหยกขาวที่มีคุณภาพสูง
“ ยินดีที่ได้พบพวกท่าน แล้วค่อยเจอกันที่เมืองจันทร์สลายในอีก20วัน ข้าต้องไปแล้ว ขอตัวก่อน ” ซวนหยวนนำตราประทับเก็บใส่กระเป๋าและกล่าวอำลา จากนั้นเขาก็วิ่งกลับไปที่บ้านต้นไม้
หลิวเพียวซู่มองไปที่ซวนหยวนและหัวเราะคิกคัก“ ซวนหยวน อืมม เป็นชื่อที่ดี น่าสนใจจริงๆ พวกเราคงจะพบกับเด็กที่มีพรสวรรค์เข้าแล้ว”
“นั่นก็ใช่ เป็นเด็กหนุ่มที่มีศักยภาพยิ่งนัก ถึงเขาจะยังดูเด็กนักและถึงแม้จะอยู่เพียงแค่จุดสูงสูดของขอบเขตนักสู้ แต่เขากลับสามารถสังหารอสูรพยัคฆ์ทมิฬที่มีผลึกอสูรได้ …. ไปกันเถอะ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่ใหญ่คงกำลังทะเลาะกันอยู่ เราควรจะไปกันได้แล้ว” คงหยู ยิ้มและกระตุ้นม้าของเขาเพื่อให้มันเดินทางต่อ หลิวเพียวซู่ติดตามมาอย่างใกล้ชิด..